คุณหนู4สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 41
ตอนที่ 41 คนจากอาราม
หลายวันต่อมา ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ก็ไม่ได้ออกไปจากโรงเตี๊ยมแสงจันทร์เลย
นักฆ่าสาวในร่างอดีตคุณหนูมุ่งเน้นการฝึกร่างกายของตนเองและขณะเดียวกันก็สอนทักษะการต่อสู้และการเคลื่อนไหวให้กับเสี่ยวโร่วไปด้วย ซึ่งในเรื่องนี้ก็ทำให้สาวใช้ตัวน้อยได้ประโยชน์อย่างมาก
แม้ว่าพรสวรรค์ของเสี่ยวโร่วจะแสนธรรมดา ทว่านางเป็นเด็กฉลาดและมีไหวพริบ ภายใต้การชี้แนะของฉินอวี้โม่ เด็กสาวจึงก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ภายในห้าวันนางไม่เพียงทำให้ระดับพลังที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ของตัวเองมั่นคงได้เท่านั้น แต่ยังเริ่มเห็นสัญญาณของการจะเลื่อนขึ้นสู่ขั้นถัดไปแล้วด้วย
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับชั่วพริบตา ในตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งวันจะถึงวันอสูรล้อมเมืองแล้ว ช่วงค่ำของวันนี้จะมีการจัดเลี้ยงที่จวนเจ้าเมือง
ฉินอวี้โม่ที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยออกมาจากโรงเตี๊ยมพร้อมกับเสี่ยวโร่วเพื่อมุ่งไปยังจวนเจ้าเมือง พวกนางทั้งสองเตรียมตัวตั้งแต่ช่วงเช้าเพื่อให้ดูสุภาพและเป็นเกียรติแก่เจ้าภาพของงาน
หญิงสาวทั้งสองมิได้สวมชุดบุรุษเหมือนเช่นที่ผ่าน ๆ มาอีกแล้ว วันนี้พวกนางมาในชุดสตรีที่ดูเรียบร้อยและงดงาม
ฉินอวี้โม่สวมอาภรณ์ยาวสีขาวสะอาดตา ผมยาวสลวยและดำขลับถูกถักเปียและเก็บเป็นมวยไว้ครึ่งศีรษะอย่างประณีต และส่วนที่เหลือถูกปล่อยให้สยายยาวอยู่ด้านหลัง แม้จะไร้ซึ่งเครื่องประดับอย่างอิสตรีทั่วไปชื่นชอบสวมใส่ ทว่าด้วยใบหน้างดงาม เรือนร่างสมส่วน อีกทั้งผิวที่ผิวขาวเนียนละเอียดน่าทะนุถนอม เมื่ออยู่ในชุดกระโปรงยาวสีขาวสว่างเช่นนี้ก็ทำให้อดีตคุณหนูดูราวกับเป็นเทพธิดาลงมาจุติบนโลกมนุษย์
ส่วนเสี่ยวโร่ว วันนี้นางสวมสุดสีเขียวที่ดูน่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อพวกนางเดินไปตามถนนก็เป็นที่สะดุดตาและเป็นจุดสนใจของคนไม่น้อย
…แม้นบุรุษใดในใต้หล้ามีวาสนายลโฉมนารี ดั่งมีมนต์สะกดต้อง จิตเลื่อนล่องหลุดลอย กาลเคลื่อนคล้อยมิล่วงรู้ ใจผูกอยู่เพียงขวัญตา แม้โลกาพินาศสิ้น แม้ชีวินล่วงลับดับหาย เพียงได้ใกล้นาถอนงค์ ใจปลดปลงลงแทบเท้านาง…
เหล่าบุรุษที่เดินผ่านถึงกับตกตะลึง พวกเขามองตามพวกนางจนเหลียวหลัง ความงดงามชวนให้หลงใหลจนหลงลืมไปสิ้นทุกสิ่งอย่าง ลืมแม้กระทั่งว่าตอนนี้ตนเองกำลังทำสิ่งใด เช่นว่า… ลืมมองทางข้างหน้า
— ตุบ ! —
เมื่อเห็นว่ามีบุรุษอีกคนแล้วที่เดินไปชนกับผู้อื่น เสี่ยวโร่วก็อดหัวเราะคิกคักออกมาไม่ได้
“คิกคิก คุณหนู ท่านช่างงดงามยิ่งนัก พอพวกเขาเห็นท่านก็แทบจะเดินต่อกันไม่ได้เลย นี่ก็คนที่สิบแล้วนะเจ้าคะ ที่เดินไม่ดูทางชนนู่นชนนี่จนล้มลงไปเช่นนั้น”
เสี่ยวโร่วหันไปมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาเทิดทูนราวกับกำลังมองเทพเซียนจากแดนสวรรค์
ในวันนี้คุณหนูของนางงดงามกว่าผู้ใด เป็นความงามด้วยรูปโฉมดั้งเดิมที่สวรรค์สรรค์สร้างอย่างจริงแท้ ก่อนหน้านี้คุณหนูสี่ของนางเคยแต่งหน้าและสวมใส่เครื่องประดับยามได้ออกนอกจวนอยู่บ้าง แม้ว่านั่นจะดูสวยงามไม่แพ้ใคร ทว่าสาวใช้ตัวน้อยกลับคิดว่ามันดูฉูดฉาดและจงใจปรุงแต่งเกินไปมากกว่า
ตอนนี้เมื่อไม่ได้สวมเครื่องประดับใด ๆ และไร้ซึ่งอาภรณ์ชั้นยอดกลับทำให้คุณหนูดูงดงามมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เวลานี้ฉินอวี้โม่ดูมีสง่าราศีและน่าดึงดูดเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ต้องสนใจพวกเขา เดินต่อเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางส่ายศีรษะและบอกให้เสี่ยวโร่วเดินต่อ
ตัวเธอเองก็คิดอยู่เสมอว่า ร่างของคุณหนูสี่–ฉินอวี้โม่ผู้นี้นั้นสวยมาก สวยทั้งในแบบของดินแดนนี้และในโลกใบเดิมที่เธอจากมา แต่เธอก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่า รูปลักษณ์นี้จะเป็นที่ดึงดูดสายตาของคนได้มากขนาดนี้ แค่เดินถนนยังมีผู้ชายหลงจนเหลียวหลัง แบบนี้ก็ทำให้นักฆ่าสาวแอบตกใจและประหม่าอยู่บ้างเช่นกัน
เนื่องจากจวนเจ้าเมืองเยว่กวางนั้นมีขนาดใหญ่มาก อาณาเขตบริเวณภายในก็กว้างขวางใหญ่โตทำให้ถึงแม้กำแพงจวนจะติดต่อกับพื้นที่ส่วนต่างๆ ของเมืองอย่างหลากหลาย แต่การเดินไปให้ถึงยังประตูทางเข้าจะต้องใช้เวลากว่าครู่หนึ่ง
เมื่อเดินออกจากโรงเตี๊ยมมาตามถนนได้ไม่นานนัก ฉินอวี้โม่ก็พบกับสมาชิกของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียน
เมื่อเห็นสหายใหม่ผู้แสนเก่งกล้า เหล่าสมาชิกของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนก็มองดูอย่างตกตะลึง ก่อนจะหันมองหน้ากันไปมา และอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย พวกเขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ค่ำวานนี้ที่ป่าแสงจันทร์ เป็นเพราะว่าฉินอวี้โม่สวมใส่ชุดบุรุษและรวบผมตึงดูทะมัดทะแมงจึงทำให้รูปโฉมงดงามของนางไม่ได้เฉิดฉายเท่ากับวันนี้ อีกทั้งพวกเขาทั้งหมดก็กำลังสนใจและชื่นชมในความแข็งแกร่งของสตรีผู้นี้มากกว่า จึงไม่ได้ใส่ใจกับรูปลักษณ์ของสหายผู้แสนเก่งกล้ามากนัก
ทว่าวันนี้ราวกับว่าพวกเขาได้เห็นเทพธิดาลงมาเดินอยู่บนโลกมนุษย์ จู่ ๆ สมองของพวกเขาก็ว่างเปล่าและกล่าวอะไรไม่ออก ทหารรับจ้างหนุ่มทั้งหลายได้แต่นิ่งอึ้งไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใดออกไปดี
การได้อยู่ใกล้ ๆ ฉินอวี้โม่เช่นนี้นับว่าพวกเขาโชคดีมาก และพวกเขาเองก็มีความสุขมากแล้ว
เมื่อได้มองดูรูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่ ชื่อเซียวก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นฉินอวี้โม่ที่บึงสายหมอกมาแล้ว ตอนนั้นเขาก็คิดว่านางงดงามมาก แต่เป็นเพราะเวลานั้นมีเรื่องราวมากมายหลายอย่างให้สนใจทำให้ไม่มีเวลาได้พินิจดูความงามของสตรีตรงหน้ามากนัก
ตอนนี้เมื่อได้มองดูชัด ๆ ใกล้ ๆ หัวใจของเขาก็อดที่จะสั่นไหวไม่ได้
ในฐานะที่เป็นหัวหน้าของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียน เป็นธรรมดาที่ชื่อเซียวจะเคยพบปะกับผู้คนมาแล้วมากมาย และสตรีที่มีรูปโฉมงดงามเขาก็เคยเห็นมาไม่น้อย แม้แต่สตรีที่เป็นที่เล่าลือกันว่างดงามติดอันดับหนึ่งในสิบของแผ่นดินหวนหลิงเขาก็เคยเห็นมาบ้างแล้ว
ทว่าเมื่อได้มาเห็นฉินอวี้โม่ในวันนี้ ในหัวใจของบุรุษเลือดนักสู้ก็พลันคิดเอาว่า… โฉมนารีทั้งสิบคนนั้นคงจะเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ
ความงามของนางนั้นออกมาจากภายในและไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งหรือพึ่งพาเครื่องประดับ เป็นความงดงามที่ดูสูงส่ง มาดมั่น ภาคภูมิแต่ไม่หยิ่งยโส ในทางตรงข้าม นางก็เป็นบุคคลที่น่าคบหามาก ซึ่งนั่นก็ดึงดูดให้ไม่ว่าผู้ใดต่างก็อยากจะเข้าไปชิดใกล้เพื่อทำความรู้จักกับสตรีผู้นี้ให้มากขึ้น
“ช่างบังเอิญยิ่งนัก แม่นางฉินก็มาเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารก่อนวันอสูรล้อมเมืองเหมือนกันใช่หรือไม่ ?” ชื่อเซียวหาเรื่องกล่าวทักทายโฉมสะคราญของเขาเพื่อที่จะหยุดนางไว้
เมื่อได้พบเจอชื่อเซียวและเหล่าสหายแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนระหว่างทางเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็ประหลาดใจเล็กน้อย สตรีผู้งดงามยิ้มทักทายพวกเขา
…และรอยยิ้มนั้นของเทพธิดาเดินดินก็ทำให้เหล่าทหารหาญแห่งกองทหารรับจ้างระดับหนึ่งหน้ามืดจนแทบจะเป็นลมล้มพับไป…
เดิมทีเพียงแค่รูปลักษณ์ของนางก็งดงามและมีเสน่ห์มากแล้ว ยิ่งเมื่อได้เห็นสาวงามส่งยิ้มมาให้กับพวกเขาเช่นนี้ก็ทำให้ทุกคนใจเต้นเร็วยิ่งกว่ารัวกลอง ลมหายใจก็ถี่กระชั้นเสียจนแทบจะเป็นลมเพราะความตื่นเต้น
“ใช่ พวกเราก็มาที่เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่จวนเจ้าเมืองเหมือนกัน” ฉินอวี้โม่ก้มหัวทักทายกลับ
เสี้ยวฮังกลืนน้ำลายก่อนที่จะรีบปรับสีหน้าและยิ้ม
“แม่นางฉิน ข้าขอแนะนำว่าแม่นางควรจะสวมผ้าปิดหน้าตอนออกมาข้างนอกหรือไม่ก็สวมใส่ชุดของบุรุษเช่นเดิม มิฉะนั้นแล้ว พวกเรารวมถึงนายน้อยก็อาจจะเขินอายเกินกว่าจะยืนข้างแม่นางได้ หากอยู่ใกล้แม่นางพวกเราคงพูดอะไรกันไม่ออก”
เสี้ยวฮังเป็นบุรุษผู้ตรงไปตรงมา เขาพูดในสิ่งที่คิดออกไปในทันที
การได้ยืนอยู่ใกล้เทพธิดาเช่นนี้จะให้พวกเขาสงบใจมิให้ละเมอเพ้อพกไปได้อย่างไรกัน !
“คิก ๆ ! หึ ๆ ๆ”
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วหลุดขำออกมาพร้อมกัน เสี้ยวฮังผู้นี้เป็นคนตรง ๆ อย่างแท้จริง
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี้ยวฮัง ชื่อเซียวก็อดหัวเราะไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เขาก็คิดว่าเสี้ยงฮังพูดถูก หากนางยังท่องไปทั่วดินแดนด้วยสภาพนี้ เขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าบุรุษทั่วทุกสารทิศมาหลงใหลในตัวโฉมงามของเขามากมายเพียงใด
“เช่นนั้นพวกเราก็เดินไปจวนเจ้าเมืองพร้อมกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มก่อนจะเดินเข้าจวนเจ้าเมืองและมุ่งไปยังเรือนหลักของจวน
แท้จริงแล้วงานเลี้ยงอาหารค่ำก่อนวันอสูรล้อมเมืองที่ว่านั้นก็มิได้มีสิ่งพิเศษหรือกิจกรรมเพิ่มเติมอื่น ๆ มากมาย เพียงแต่ท่านเจ้าเมืองต้องการให้บรรดาแขกของท่านผู้มาเยือนยังเมืองเยว่กวางแห่งนี้ได้ทำความรู้จักกันไว้ อีกทั้งยังเป็นการกระชับสัมพันธ์อันดีของทุกฝ่ายก่อนเทศกาลจะเริ่มต้นขึ้น
เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาภายในบริเวณอันกว้างใหญ่ของจวนเจ้าเมืองได้ ฉินอวี้โม่พบว่าลั่วอวิ๋นมายืนรอพวกนางอยู่ก่อนแล้ว
ทันทีที่เห็นฉินอวี้โม่เดินเข้ามา สีหน้าของลั่วอวิ๋นก็ไม่ได้แตกต่างจากชื่อเซียวก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย ทว่าบุตรชายของเจ้าเมืองเยว่กวางยังสามารถดึงหน้ากลับมาได้อย่างรวดเร็ว
“ฮ่าฮ่า แม่นางมาจริงๆ ด้วย”
ลั่วอวิ๋นหัวเราะแก้เขินพร้อมกับแจกรอยยิ้มมีไมตรีก่อนจะพากลุ่มของฉินอวี้โม่เดินตรงไปยังเรือนหลักของจวนซึ่งเป็นสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงในครั้งนี้
“มะ… แม่นางอวี้โม่ เหตุใดวันนี้ถึงได้มาในอาภรณ์สตรีเช่นนี้เล่า ?”
ลั่วอวิ๋นมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาซับซ้อน เมื่อแรกที่ได้เจอแม่นางผู้นี้ที่ประตูเข้าเมือง เขาเองก็ทราบว่านางเป็นสตรีที่งดงามมากผู้หนึ่ง แต่เนื่องด้วยชุดบุรุษที่นางสวมใส่จึงทำให้ความงามนั้นถูกจำกัดอยู่มาก ในตอนนั้นลั่วอวิ๋นจึงไม่ได้ตกตะลึงในรูปโฉมของนาง
แต่วันนี้นางเปลี่ยนมาสวมใส่ชุดสตรีซึ่งทำเอาบุตรชายเจ้าเมืองอย่างเขาหวั่นไหวจนถึงขึ้นพูดจาติดขัดไม่เป็นธรรมชาติ
แต่เรื่องนี้ก็จะโทษเขาไม่ได้ เพราะตราบใดที่ยังเป็นบุรุษอกสามศอกและไม่ได้นิยมการตัดแขนเสื้อ หากได้เห็นสตรีที่งามล้ำถึงเพียงนี้ก็ต้องเกิดอาการประหม่าเช่นที่เขาเป็นกันทั้งนั้น
“ทำไมกัน มันไม่สวยอย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อเห็นท่าทางเขินอายและดูไม่ปกติของลั่วอวิ๋น ฉินอวี้โม่ก็อดจะหยอกล้อเขาเล่นไม่ได้
“ไม่ ๆ มันสวยมากเลยล่ะ”
ลั่วอวิ๋นส่ายศีรษะและรีบกล่าวออกมาอย่างตกใจ
“ถึงแม้ว่าชุดสตรีจะไม่สะดวกเท่าของบุรุษ แต่อย่างไรข้าก็ยังเป็นผู้หญิง ผู้หญิงต้องรักสวยรักงามเป็นธรรมดา”
ฉินอวี้โม่ยิ้มขำกับท่าทางของคุณชายตระกูลใหญ่แห่งเมืองเยว่กวาง
มาถึงตอนนี้ เธอก็อดคิดถึงชุดผู้หญิงสวย ๆ แถมยังใส่สะดวกของแฟชั่นยุคศตวรรษที่ 21 ที่เธอจากมาไม่ได้ ถ้าเกิดเธอได้ลองใส่ชุดแฟชั่นสมัยใหม่พวกนั้นมาเดินอวดโฉมในโลกมายาแห่งนี้ อดีตสาวนักฆ่าก็จินตนาการไม่ออกเลยว่าปฏิกิริยาของเหล่าบุรุษทั้งหลายจะเป็นยังไง
“ข้าว่าวันหลังแม่นางสวมผ้าปิดหน้าอาจจะดีกว่า เอาที่เป็นแบบของสตรีก็ไม่เลวร้ายนัก”
ตอนนี้ฉินอวี้โม่กำลังถูกบรรดาแขกเหรื่อทุกคนที่มางานเลี้ยงมองดูคล้ายกับนางเป็นสัตว์หายากก็มิปาน และมิใช่เพียงภายในที่แห่งนี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงตอนที่นางเดินอยู่ด้านนอกด้วย ไม่ว่าจะไปที่ใดสตรีเลอโฉมก็ถูกสายตานับไม่ถ้วนจับจ้อง ยิ่งไปกว่านั้นสายตาของหลายคนยังแฝงร่องรอยแห่งความไม่ปรารถนาดีเอาไว้ทั้งหญิงและชาย
และการที่ลั่วอวิ๋นพูดเช่นนี้นั้นก็เป็นเพราะหวังดีกับสหายผู้งดงามรวมไปถึงตัวเขาเองด้วย… เดินข้างคนงามอย่างฉินอวี้โม่แล้วหัวสมองของเขามันว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออกอย่างแท้จริง !
“ไว้ข้าจะลองคิดดู”
วันนี้มีอีกคนหนึ่งแล้วที่พูดกับนางเช่นนี้ ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับคำด้วยรอยยิ้ม เธอเริ่มรู้สึกว่ารูปโฉมของร่างกายนี้เป็นเหมือนดาบสองคม ที่บางครั้งมันก็อาจจะนำภัยมาสู่ตัวได้
ขณะนั้นเองพวกเขาทั้งหมดก็เดินมาจนถึงสถานที่จัดงานเลี้ยงเรียบร้อยแล้ว เจ้าภาพของงานนี้คือลั่วชิงซานผู้เป็นเจ้าเมืองแห่งเมืองเยว่กวางและบิดาของลั่วอวิ๋น เขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้สำหรับเจ้าภาพหลักของงาน เมื่อท่านเจ้าเมืองวัยกลางคนเห็นว่าตอนนี้บรรดาแขกผู้มาร่วมงานทั้งหลายต่างก็หันไปมองยังทิศทางหนึ่งกันอย่างพร้อมเพรียงด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นก็ทำให้เขาอดที่จะมองตามไปยังทิศทางนั้นไม่ได้
เมื่อมองออกไป ลั่วชิงซานก็เห็นบุตรชายของตัวเองเดินเคียงคู่มากับสาวน้อยรูปโฉมงดงามผู้หนึ่ง ทั้งสองกำลังมุ่งหน้าเข้ามาในส่วนที่เป็นพื้นที่จัดงาน
เมื่อบุรุษวัยกลางคนผู้ครองเมืองหน้าด่านแห่งจักรวรรดิใหญ่เห็นบุตรของตนกำลังสนทนากับสามงามอย่างออกรสและดูมีความสุขเป็นอย่างมาก เขาก็พยักหน้า… ‘ดูเหมือนเจ้าลูกชายคนนี้คงจะเติบใหญ่จนถึงวัยที่สมควรจะมีคู่ครองแล้วสินะ’
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้มองดูหญิงสาวผู้นั้นอย่างชัดเจนอีกครั้ง เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าท่านเจ้าเมืองเยว่กวางก็ยังคงพยักหน้าพร้อมกับยิ้มชอบใจ
หญิงสาวผู้นี้นอกจากจะงดงามอย่างหาได้ยากแล้ว ยังมีฝีมือสูงส่งทั้งที่อายุยังน้อยซึ่งถือว่าหาได้ยากยิ่งกว่า ไม่ผิดเลยถ้าจะกล่าวว่าทั่วทั้งแผ่นดินหวนหลิง สตรีอย่างฉินอวี้โม่นั้นนับว่ายากที่จะค้นพบได้ ถ้าหากว่าบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนชอบพอแม่นางผู้นี้ บิดาอย่างเขาก็พร้อมจะสนับสนุนเต็มที่
ลั่วชิงซานตัดสินใจเรื่องนี้ได้ในพริบตา … ก็แน่นอนล่ะ หากว่าจะทำให้ได้ลูกสะใภ้ที่เพียบพร้อมถึงเพียงนี้มา แล้วเหตุใดเขาจะไม่ชอบล่ะ ?
“คารวะท่านเจ้าเมือง”
ลั่วอวิ๋นพาฉินอวี้โม่ และกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนมาถึงตรงหน้าลั่วชิงซานเรียบร้อยแล้ว ฉินอวี้โม่กล่าวทักทายกับผู้เป็นเจ้าเมืองเยว่กวางอย่างนอบน้อม
“ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก แม่นางฉิน เจ้าเป็นสหายที่ดีของอวิ๋นเอ๋อร์ ฉะนั้นเรียกข้าว่าท่านลุงก็ได้”
ลั่วชิงซานยิ้มพลางกล่าวขึ้นมาอย่างเป็นกันเอง
“แม่นางฉินอายุยังน้อย ทว่ากลับฝีมือสูงทั้งยังมีกิริยามารยาทงดงาม เป็นวาสนาของอวิ๋นเอ๋อร์แล้วที่ได้เป็นสหายกับเจ้า”
เรื่องที่ฉินอวี้โม่มอบผลหลิวหลีให้ ลั่วอวิ๋นไม่ได้ปกปิดผู้เป็นบิดา ด้วยเหตุนั้นทำให้ลั่วชิงซานรู้สึกชื่นชอบนางมากยิ่งขึ้นไปอีก หากเขาได้นางเป็นลูกสะใภ้ก็นับว่าบุญวาสนาที่ฟ้าประทานให้แล้ว
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ในเมื่อลั่วชิงซานกล่าวเช่นนั้น นางก็ยินดีจะทำตาม นางคิดว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่งเพราะหายากนักที่ผู้ที่เป็นถึงเจ้าเมืองจะวางตัวเป็นกันเองได้ถึงเพียงนี้
ลั่วอวิ๋นมองบิดาของตัวเองด้วยความประหลาดใจ… เขารู้สึกว่าท่าทีของท่านพ่อในวันนี้ดูผิดปกติมากเกินไปแล้ว
ปกติบิดาของเขาเป็นบุรุษที่ทั้งเข้มงวดจริงจังและเจ้าระเบียบ การที่เขาดูเป็นกันเองกับคนรุ่นเยาว์อย่างนี้เป็นภาพที่หาได้ยากมาก ก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะชื่นชมผู้ใดมากแค่ไหนก็ไม่เคยแสดงท่าทีที่ชัดเจนถึงเพียงนี้ออกมา
“อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าต้องดูแลแม่นางฉินให้ดี อย่างได้ละเลยนาง เข้าใจหรือไม่ ?”
ลั่วชิงซานมองสบตาบุตรชายพร้อมกล่าวกำชับ
ลั่วอวิ๋นพยักหน้าก่อนจะพาฉินอวี้โม่ออกไปหาที่นั่งเหมาะ ๆ
ทุกคนต่างก็ประหลาดใจกับการปรากฏตัวของฉินอวี้โม่ ยิ่งเมื่อได้เห็นท่าทีสนิทสนมเป็นกันเองที่ลั่วชิงซานและลั่วอวิ๋นมีต่อนางแล้ว พวกเขาต่างก็หันมามองหน้ากันพลางคิดไปว่าฉินอวี้โม่จะต้องเป็นบุตรีของตระกูลใหญ่สักตระกูลอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาเองก็ควรจะปฏิบัติต่อคุณหนูผู้นี้อย่างนอบน้อมและให้เกียรติเช่นกัน
ชื่อเซียวเองก็กล่าวทักทายลั่วชิงซาน เขานำพาเหล่าสมาชิกแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนคารวะท่านเจ้าเมืองเยว่กวางอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะหาตำแหน่งที่นั่งของตนเองและคณะแล้วแยกย้ายกันนั่งที่
ท้องฟ้าเริ่มจะมืดลงบ้างแล้ว ตอนนี้แขกเขรื่อทั้งหลายต่างก็เริ่มทยอยเข้ามากันจนเกือบจะครบ ภายในเวลาไม่นานเก้าอี้ผู้ร่วมงานในเรือนใหญ่ของเจ้าเมืองก็ถูกจับจองกันจนแน่นขนัด
เหลือเพียงเก้าอี้ที่อยู่ติดกับที่นั่งของลั่วชิงซานเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ยังคงว่างอยู่
“ตรงนั้นเป็นที่ของผู้ใดกัน ? เหตุใดถึงยังไม่มีใครมานั่ง…”
เมื่อเห็นว่าแขกทุกคนต่างก็มาถึงกันแล้วยกเว้นเพียงแต่แขกผู้ถูกจัดให้นั่งในตำแหน่งใกล้กับท่านเจ้าเมืองเท่านั้นที่ยังว่าง บรรดาแขกเหรื่อทั้งหลายจึงอดไม่ได้ที่จะหันมาพูดกันถึงเรื่องนี้
“นี่มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือ ให้ทุกคนมานั่งรอคนผู้นั้นเพียงคนเดียวเช่นนี้ !”
เริ่มมีคนแสดงความไม่พอใจออกมาแล้ว ในตอนนี้เห็นได้ชัดเลยว่าผู้มาร่วมงานเลี้ยงทั้งหลายกำลังไม่ชอบใจเจ้าของที่นั่งผู้มาสายจนทำให้การเริ่มงานเลี้ยงล่าช้ากว่ากำหนด
ฉินอวี้โม่เองก็เกิดความสงสัยอยู่บ้าง ทว่าเป็นตอนนั้นเองที่ลั่วอวิ๋นซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยตอบขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“ตรงนั้นเป็นที่นั่งของแขกจากอาราม”
แขกจากอารามอย่างนั้นเหรอ ? ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
.
.
.