คุณหนู4สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 43
ตอนที่ 43 เหยียดหยาม
ในเวลานี้บรรยากาศภายในพื้นที่จัดเลี้ยงอาหารค่ำแห่งจวนเจ้าเมืองเยว่กวางกำลังร้อนระอุ ลิ่วเยว่จ้องมองลั่วอวิ๋นด้วยความโกรธแค้น สายตาของบุรุษจากอารามโหดร้ายหมายชีวิต ทว่าทางฝ่ายลั่วอวิ๋นก็หาได้เกรงกลัวไม่ บุตรชายเจ้าเมืองหน้าด่านแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นใช้สายตาแข็งกร้าวจ้องกลับไปอย่างไม่ลดละเช่นกัน
“เจ้าเป็นใครถึงกล้าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของอาราม ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้วรึ ?!”
เมื่อเห็นสีหน้าและสายตาที่จ้องมองกลับมาของลิ่วอวิ๋นก็ทำให้ลิ่วเยว่ยิ่งเดือดดาลขึ้นไปอีก
วันนี้ลั่วอวิ๋นเองก็สวมใส่ชุดสีน้ำเงินเช่นกัน แม้มันจะใกล้เคียงกับชุดของลิ่วเยว่อยู่บ้าง ทว่าเมื่อบุรุษทั้งสองยืนใกล้กันแล้วมันกลับต่างกันอย่างมิอาจเทียบ แต่เดิมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มของลิ่วอวิ๋นก็ดูสง่างามมากแล้ว เมื่อสวมใส่อยู่บนกายของเขาก็ยิ่งขับให้ดูสูงส่งน่านับถือ และทำให้อาภรณ์ของลิ่วเยว่ดูจืดจางไปถนัดตา
“ฮ่า ๆ เกิดมาข้าก็เพิ่งจะเคยพบเคยเห็นคนหน้าด้านไร้ยางอายที่เกี้ยวพานสตรีไม่สำเร็จก็โกรธจนคิดจะลงมือฆ่า คนในอารามมีใบหน้าหนาเป็นกำแพงเช่นเจ้ากันหมดเลยหรือ ?”
ลั่วอวิ๋นเย้ยหยันลิ่วเยว่ด้วยเสียงเย็นชา เขาไม่ชอบลิ่วเยว่ผู้นี้เลยแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพราะความไร้ยางอายจนเกินเหตุของอีกฝ่าย ลั่วอวิ๋นก็ไม่อยากจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องของคนผู้นี้
“ข้าก็ได้ยินคนเขาว่ากันมาแบบนั้นเช่นกัน คนจากอารามมีแต่พวกไร้ยางอาย”
ชื่อเซียวลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วกล่าวส่งเสริมลั่วอวิ๋นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เจ้าเป็นใคร ? เจ้าเองก็คิดจะยุ่งเรื่องของข้าด้วยอย่างนั้นรึ ?!”
เมื่อเห็นชื่อเซียวลุกยืนขึ้น ลิ่วเยว่ก็ตกใจไม่น้อย เขาไม่คิดว่าจะมีคนขวัญกล้าคิดต่อต้านและท้าทายเขามากมายเพียงนี้ มิใช่แค่สองคน แม้แต่คนสติไม่สมบูรณ์เพียงคนเดียวก็ไม่ควรจะกล้าหยามเกียรติของคนจากอาราม
วันนี้ชื่อเซียวมาในชุดอาภรณ์ยาวสีแดงปักลวดลายประณีตบรรจง ที่เอวสอบคาดไว้ด้วยเข็มขัดที่เข้ากับลายปักบนเนื้อผ้า ดูงดงามโดดเด่น เมื่อรวมกับรอยยิ้มมีเสน่ห์บนใบหน้าคมก็ทำให้ลิ่วเยว่รู้สึกอิจฉา
“ฮ่าฮ่า ข้าก็ไม่อยากจะยุ่งเรื่องของเจ้านักหรอก แต่สตรีที่เจ้ากำลังล่วงเกินอยู่คือสหายของข้า แน่นอนว่าข้าไม่สามารถทนดูอยู่เฉย ๆ ได้”
ชื่อเซียวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ทว่าน้ำเสียงกลับเย็นเยียบ เขาพูดพลางเดินเข้าไปหยุดข้างกายฉินอวี้โม่ แล้วกล่าวอีกครั้งด้วยเสียงนุ่มนวล
“ต้องขอโทษด้วยที่เมื่อครู่ข้าช่วยเจ้าไม่ทัน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มไม่ถือสา ทันทีที่ลิ่วเยว่ลงมือชื่อเซียวก็รีบลุกขึ้นมา แต่เป็นเพราะลั่วอวิ๋นสกัดฝ่ามือนั้นไว้ก่อนแล้ว เขาจึงไม่ได้เคลื่อนไหว
“สหายเจ้า ?”
ลิ่วเยว่มองฉินอวี้โม่และกล่าวเย้ยหยัน “เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงได้อวดดีไม่ไว้หน้าข้า ที่แท้ก็มีองครักษ์พิทักษ์สาวงามอยู่มากมายนี่เอง”
เมื่อเห็นสีหน้าและแววตารวมถึงได้ฟังถ้อยคำกระแนะกระแหนเหมือนสตรีของลิ่วเยว่ ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เป็นเพราะนางเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายดีจึงนางไม่อยากถือสาหาความคนเช่นนี้
“ถูกต้องพวกเขาคือสหายข้า สหายข้ามิใช่มีเพียงความแข็งแกร่งและพรสวรรค์สูงส่ง แต่ยังต้องสุภาพ รู้กาลเทศะ รู้จักมารยาท ต่างจากเจ้าที่ต่อให้อยากเป็นองครักษ์พิทักษ์ผู้ใดก็คงไม่มีใครต้องการ”
วาจาของฉินอวี้โม่นั้น แต่ละคำถูกเอ่ยออกมาด้วยความตั้งใจจะเสียดสีอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ กล้ามาต่อปากต่อคำกับนางมันเท่ากับรนหาที่ตาย
“ฮ่า ๆ แม่นางฉินกล่าวถูกแล้ว แค่เห็นหน้าข้าก็อยากจะอาเจียนแล้ว ใครมันจะอยากเป็นสหายกับคนอย่างเจ้า”
“ใช่ ใช่ ถือตัวว่ามาจากอารามคิดจะทำอะไรก็ได้ นี่ถ้าข้าบอกว่าหน้าของคนผู้นี้หนากว่ากำแพง ข้าจะถูกสับเป็นชิ้น ๆ รึเปล่านะ ?”
“กำแพงเรอะ ? ข้าว่าแค่กำแพงคงไม่พอให้เทียบซะแล้วล่ะมั้ง !”
“ ชู่! พวกเจ้าพูดอะไรไม่เกรงกลัวเลย… ข้าว่าที่หน้ากว่ากำแพงก็หินผนังถ้ำละมั้ง หรือนับภูเขาทั้งลูกเลยดีนะ ?”
เหล่าสมาชิกของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนเองต่างก็สุดจะทนกับลิ่วเยว่แล้วเช่นกัน เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็ออกปากเอ่ยเห็นด้วยและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างอดไม่ได้ วาจาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยามลิ่วเยว่
แต่เดิมพวกเขาก็ชื่นชมในตัวฉินอวี้โม่กันมากอยู่แล้ว ในตอนนี้เมื่อได้เห็นว่ามีผู้ไม่ปรารถนาดีมาก่อกวนนาง เหล่าบุรุษนิสัยซื่อตรงคิดเห็นอย่างไรก็แสดงออกและพูดไปเช่นนั้นอย่างทหารแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนจึงทนไม่ได้และกล่าวขึ้นมาอย่างไม่เกรงกลัวสถานะของอีกฝ่าย
เมื่อได้ยินคำพูดเหน็บแนมอย่างตั้งใจของสมาชิกกองทหารรับจ้างชื่อเหยียน ใบหน้าของลิ่วเยว่ก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินไปชั่วขณะ ตอนนี้เขาคล้ายเป็นตัวตลกของงานเลี้ยงไปแล้ว ทว่าเมื่อมองเห็นว่าข้างกายฉินอวี้โม่มีทั้งชื่อเซียวกับลั่วอวิ๋นยืนเคียงข้างอยู่ บุรุษไร้ยางอายก็เริ่มอ้ำอึ้งไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกไป
แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งมาก แต่การมาเข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมืองครั้งนี้เขามาตัวคนเดียวไม่ได้พาผู้ติดตามมาด้วย และจากการประเมินด้วยสายตาความแข็งแกร่งของลิ่วอวิ๋นและชื่อเซียวก็ไม่ได้แย่ แม้ว่าจะมีอสูรมายาระดับเทวะอยู่ แต่หากต้องสู้กันจริง ๆ เกรงว่าตัวเขาเองจะมีปัญหาไม่น้อย
“ฮ่า ๆ ทุกท่านโปรดฟังสักครู่ ข้าคิดว่าตอนนี้อาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันดีที่เรามาร่วมงานเลี้ยงกัน มันจะดีกว่าหรือไม่หากยอมถอยกันคนละก้าวเพื่อให้งานเลี้ยงดำเนินต่อไปได้”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มอึดอัด บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวไกล่เกลี่ย
ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรของเมืองเยว่กวาง เขาไม่ได้มีเรื่องขัดแย้งกับทางสตรีงดงามผู้นั้น ทว่าเขาก็ยังคงยำเกรงต่อขุมกำลังที่คอยสนับสนุนลิ่วเยว่อยู่ ถ้าหากวันนี้เขาทำประโยชน์ให้คนจากอารามหรือช่วยเขาแก้หน้าได้เล็กน้อย ในอนาคตสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรของเขาก็อาจจะได้ประโยชน์กลับมาบ้างก็ได้
“เอาล่ะ เชิญทุกท่านนั่งลงเถิด วันนี้ข้าชวนทุกท่านมาร่วมงานเลี้ยงเพื่อกระชับมิตรและสานสัมพันธ์มิใช่เพื่อเหตุผลอื่นใด ฉะนั้นก่อนที่ทุกท่านจะคิดทำสิ่งใดลงไปโปรดไตร่ตรองให้รอบคอบอีกสักนิด”
ลั่วชิงซานที่เป็นเจ้าภาพหลักกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ดังไม่เบาเพื่อทำลายความอึดอัดภายในพื้นที่แห่งนี้
แม้ว่าถ้อยคำที่เขาใช้จะฟังคล้ายมีเจตนาลดทอนข้อขัดแย้ง ทว่ามันก็ดูเหมือนกับเป็นการเอ่ยเตือนลิ่วเยว่ไปในคราวเดียวกัน… ‘วันนี้เขาตั้งใจเชิญทุกคนมาร่วมมื้ออาหารไม่ใช่ทะเลาะวิวาท ฉะนั้นแล้วแม้ว่าจะเป็นคนจากอารามก็ควรจะให้เกียรติเขาในฐานะเจ้าภาพสักหน่อย’
“เหอะ เห็นแก่หน้าเจ้าเมืองวันนี้ข้าจะไม่ถือสาเอาความพวกเจ้าก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วชิงซาน ลิ่วเยว่ก็เปล่งเสียงออกมาอย่างเย็นชา ก่อนจะหันหลังและเดินกลับไปนั่งยังตำแหน่งที่ถูกจัดเตรียมไว้เช่นเดิม
เมื่อเห็นว่าลิ่วเยว่ยอมถอยกลับไปนั่งที่ ฉินอวี้โม่ องครักษ์ซ้ายขวาของนาง สาวใช้น้อย รวมถึงสมาชิกแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนก็มองเขาด้วยสายตาดูถูก
แน่นอนว่าลิ่วเยว่มองเห็นสายตาพวกนั้นดี ทว่าตอนนี้เขาต้องอดกลั้นเอาไว้ ภายในหัวของบุรุษจากขุมกำลังมากอำนาจหมุนเร็วจี๋ เขาพยายามคิดหาหนทางตอบโต้คนพวกนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อลบล้างความอายในครั้งนี้… ‘คอยดูเถอะพวกชั้นต่ำ ข้าจะทำให้พวกเจ้าต้องสำนึก !’
“ขอบคุณมาก”
ฉินอวี้โม่ส่งยิ้มหวานหยดให้กับลั่วอวิ๋นและชื่อเซียวก่อนจะเอ่ยปากขอบคุณ
“พวกเราเป็นสหายกันมิใช่หรือ จะเกรงใจกันไปทำไม ?”
ลั่วอวิ๋นหันไปมองชื่อเซียวและพยักหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
ฉินอวี้โม่ยิ้มรับบาง ๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม คำพูดของลั่วอวิ๋นที่บอกว่า ‘ทุกคนเป็นสหายกัน’ นั้นทำให้เธอรู้สึกซาบซึ้งอยากบอกไม่ถูก ในชีวิตก่อนที่เธอเป็นนักฆ่า มันยากมากที่เธอจะมีคนที่ยอมเป็นเพื่อนจริง ๆ สักคน พอมาอยู่ในโลกนี้ เธอจึงไม่เคยคิดเลยว่า แค่ผ่านมาไม่กี่วันจะได้เพื่อนที่ดีมาแล้วถึงสองคน
‘เป็นสหายกัน’ ประโยคนี้ก้องอยู่ในหัวของฉินอวี้โม่ และทำให้อดีตสาวนักฆ่าอดยิ้มน้อย ๆ ขึ้นมาอย่างมีความสุขไม่ได้
เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูมีความสุขของฉินอวี้โม่ ลั่วอวิ๋นกับชื่อเซียวก็หันมองหน้ากัน สองบุรุษยกยิ้มอย่างพึงพอใจ
“อันที่จริง ที่ข้าเชิญชวนทุกท่านมาร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำในคืนนี้ก็เพราะมีบางอย่างอยากจะแจ้งให้ทุกท่านทราบ”
เมื่อเห็นแขกในงานนั่งลงประจำที่กันเรียบร้อยแล้ว ลั่วชิงซานก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนจะกล่าวเข้าประเด็นตามที่ตั้งใจไว้
“อย่างที่เราทุกคนทราบกัน เมืองเยว่กวางของเราจะถูกอสูรมายาบุกล้อมโจมตีในทุก ๆ ห้าปี และในทุกครั้งที่เมืองถูกโจมตี สำนักเจ้าเมืองก็จะตั้งรางวัลเอาไว้สำหรับผู้ที่ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุดในวันอสูรล้อมเมือง”
“ครั้งก่อน รางวัลที่สำนักเจ้าเมืองได้จัดไว้ให้ก็คือกระบี่อเวจีมรกต กระบี่เล่มนั้นคืออาวุธระดับวิญญาณที่ทรงพลังมาก ข้าคิดว่าทุกท่านก็คงจะได้ยินกันมาบ้างแล้ว ในครั้งนี้ทางเราก็ได้จัดเตรียมรางวัลเอาไว้ด้วยเช่นกัน ซึ่งข้าขอแสดงความยินดีกับทุกท่านไว้ล่วงหน้าเพราะรางวัลสำหรับครั้งนี้มีความพิเศษและยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าครั้งก่อนมาก”
กระบี่อเวจีมรกตคืออาวุธระดับวิญญาณที่ตีโดยปรมาจารย์ช่างหลอมอาวุธผู้มีฝีมือสูงส่ง มันทั้งทรงพลังและคมกริบ
ในดินแดนนี้ อาวุธจะถูกแบ่งออกเป็นหกระดับ ได้แก่ ระดับทองแดง, ระดับเงิน, ระดับทอง, ระดับวิญญาณ, ระดับสมบัติ, ระดับวิจิตร และระดับศักดิ์สิทธิ์ เพียงแค่อาวุธระดับวิญญาณก็ถือเป็นอาวุธที่หลอมขึ้นมาได้ยากเย็นอย่างยิ่งแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงอาวุธในระดับสูงขึ้นไปที่ถือว่าหาได้ยากยิ่งกว่ายาก
ดังนั้นกระบี่ระดับวิญญาณจึงถือเป็นรางวัลที่ล้ำค่ามากแล้ว การที่ทางสำนักเจ้าเมืองจัดเตรียมรางวัลระดับนั้นไว้ให้ในเทศกาลอสูรล้อมเมืองครั้งก่อนก็เพื่อกระตุ้นขวัญกำลังใจของเหล่านักล่าอสูร แน่นอนว่าไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมปรารถนาจะครอบครองอาวุธล้ำค่า ดังนั้นทุกคนจึงพยายามอย่างหนักเพื่อคว้าชัยชนะ คงไม่ผิดหากจะกล่าวว่าพวกเขาถูกสำนักเจ้าเมืองใช้ความมั่งคั่งมาสร้างแรงจูงใจ
เมื่อได้ยินว่ารางวัลของปีนี้ล้ำค่ายิ่งกว่าครั้งก่อน ผู้มาร่วมงานเลี้ยงทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง ตอนนี้บรรยากาศภายในพื้นที่แห่งนี้เริ่มเร่าร้อนขึ้นแล้ว
“ท่านเจ้าเมือง ท่านพอจะให้เราได้ชมรางวัลชนะเลิศในครั้งนี้สักหน่อยจะได้รึไม่ ?”
มีบางคนที่อดใจไม่ไหวจนต้องถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ลั่วชิงซานพยักหน้าพร้อมกับยิ้มสนุกสนานและกล่าว “แน่นอน ไม่มีปัญหา”
สิ้นคำพูดนั้น เขาก็คว้าเอากระบี่อ่อนเล่มหนึ่งที่มีความบางไม่ต่างจากกระดาษออกมาจากแหวนมิติ
“นี่คือรางวัลของปีนี้ กระบี่ปีกจักจั่น”
ทันทีที่ได้เห็นรูปลักษณ์ของกระบี่เล่มบางในมือของท่านเจ้าเมือง ฉินอวี้โม่ก็หมายตาหมายใจมันไว้เรียบร้อยแล้ว
แม้จะบางราวกับกระดาษ แต่ทว่าคมกริบอย่างไร้ที่เปรียบ ประกายแสงจากคมกระบี่ที่สาดส่องออกมาดูงดงามชวนหลงใหล มันถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีตบรรจง อีกทั้งยังมีขนาดกะทัดรัดพกพาสะดวก นับว่าเป็นกระบี่ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความรวดเร็วคล่องตัวอย่างแท้จริง
“กระบี่ปีกจักจั่นนี้เป็นอาวุธระดับวิญญาณเช่นกัน อย่างไรก็ตาม มันเป็นอาวุธที่สามารถพัฒนาและเลื่อนระดับได้”
ต้นประโยคที่ได้ยินทำให้เหล่านักล่าอสูรที่มาร่วมงานเลี้ยงรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย ทว่าเมื่อท่านเจ้าเมืองเอ่ยจนจบประโยค ดวงตาของทุกคนก็วาวโรจน์ราวกับจะลุกเป็นไฟขึ้นทันที ตอนนี้บรรยากาศในงานเลี้ยงร้อนระอุจนแทบจะเดือดพล่านขึ้นมาแล้ว
คำว่าสามารถเลื่อนระดับได้นั้น หมายความถึงขอเพียงตามหาวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการหลอมและช่างหลอมที่มีฝีมือสูงมากพอมาได้ก็จะสามารถทำให้มันพัฒนาขึ้นไปสู่ระดับที่สูงขึ้นได้
“ไม่เพียงเท่านั้น การพัฒนาของมันเป็นแบบไร้ขีดจำกัด หรือจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือกระบี่ปีกจักจั่นสามารถเลื่อนระดับจนกลายเป็นอาวุธในตำนานเลยก็ได้”
ลั่วชิงซานกล่าวเสริมพร้อมกับแจกรอยยิ้มให้แก่บรรดาแขกที่เขาเชิญมาร่วมงานเลี้ยงผู้กำลังจับจ้องมาด้วยดวงตาเป็นประกาย
คำบอกเล่าที่ว่า มันไร้ขีดกำจัด นั้นก็หมายความว่า กระบี่ปีกจักจั่นนี้มีโอกาสที่จะพัฒนาไปจนถึงระดับศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดหรือจะพัฒนาต่อไปจนกลายเป็นสุดยอดอาวุธซึ่งเป็นตำนานแห่งอาวุธในหมู่อาวุธเลยก็ว่าได้ และถึงแม้ว่าโอกาสจะมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นจะน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แต่ก็ยังนับมีความเป็นไปได้ ดังนั้นมูลค่าของกระบี่ปีกจักจั่นนี้ไม่ควรจะด้อยกว่าอาวุธระดับสมบัติซึ่งเป็นระดับที่อยู่เหนือขึ้นไปจากระดับของมันอีกหนึ่งระดับอย่างแน่นอน
คำบอกเล่าของท่านเจ้าเมืองทำให้จิตใจของอดีตนักฆ่าสาวหวั่นไหวไปไม่น้อยเช่นกัน กระบี่เป็นหนึ่งในอาวุธที่เธอโปรดปราน แม้ว่าปกติในฐานะนักฆ่าอาวุธที่มักจะใช้กันบ่อย ๆ ก็คือกริชหรือมีดก็ตาม
ในตอนนี้ หากเปรียบเทียบอารมณ์ของทุกคนเป็นไส้ตะเกียงก็ราวกับว่าไส้ตะเกียงนั้นถูกจุดจนลุกโชติช่วงขึ้นมาแล้ว เหล่าผู้ร่วมงานเลี้ยงทั้งหลายต่างก็ซุบซิบ ถกเถียงกัน วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องของรางวัลสำหรับเทศกาลอสูรล้อมเมืองในครั้งนี้กันอย่างออกรส
ฉินอวี้โม่ที่กำลังพูดคุยกับเสี่ยวโร่วอยู่สังเกตเห็นว่าลิ่วเยว่ผู้ถูกด่าทอและประณามหยามเหยียดไปอย่างหนักเมื่อครู่ได้ลุกออกไปจากที่นั่งแล้ว
“เจ้าตามไปและคอยจับตาดูว่าเขาคิดจะทำอะไร”
ฉินอวี้โม่กระซิบบอกกับเสี่ยวเฮยตัวน้อยที่เกาะอยู่บนไหล่อย่างแผ่วเบา
เสี่ยวเฮยพยักหน้าและบินออกไปจากไหล่ของฉินอวี้โม่ทันที
ภายในสวนกว้างที่ค่อนข้างมืดมิดของจวนท่านเจ้าเมือง ลิ่วเยว่กำลังยืนทำหน้าถมึงทึงมองลมมองฟ้าอยู่ แววตาของเขากำลังขุ่นมัวและมืดมนอย่างถึงที่สุด ภายในงานเลี้ยงเขาถูกเย้ยหยันและต้องเสียหน้าต่อหน้าทุกคนอย่างมาก แต่เนื่องจากแขกทุกคนกำลังจับตามองเขาจึงไม่กล้าลงมือทำเรื่องเกินเลย นี่ทำให้ลิ่วเยว่ผู้ยโสโอหังมาตั้งแต่ยังเล็กรู้สึกโกรธแค้นและอัดอั้นตันใจแทบกระอักเลือด
“ท่านคือผู้มีพรสวรรค์อันโดดเด่นที่มาจากอาราม ลิ่วเยว่ใช่หรือไม่ ?”
ในขณะที่กำลังยืนเคร่งเครียดอยู่ท่ามกลางความมืด เขาก็ได้ยินเสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น จากทางด้านหลัง คนผู้นั้นค่อยๆ เดินเข้ามาหาพลางพูดกับเขาด้วยท่าทางนอบน้อม
“เจ้าเป็นใคร มีธุระอะไรกับข้า ?”
เมื่อลิ่วเยว่ได้ยินเสียงเรียก เขาก็หันหน้ากลับมามองก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชา
“ข้าน้อยเป็นคนผู้หนึ่งที่รู้สึกเลื่อมใสในตัวท่านมาก วันนี้ข้าเห็นท่านถูกหยามเกียรติกลางงานเลี้ยงจึงรู้สึกเห็นใจท่าน”
ชายผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้อย่างช้า ๆ และในที่สุดใบหน้าของเขาก็เผยออกมาให้เห็น
บุรุษผู้นี้มิใช่ใครอื่นแต่เป็นหลี่เปียว หัวหน้าของกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจผู้เคยมีเรื่องขัดแย้งกับฉินอวี้โม่มาก่อนหน้านี้
“เหอะ เจ้าไม่จำเป็นต้องเห็นใจข้า เพราะอย่างไรไม่ว่าใครหน้าไหนที่กล้ามาหยามข้าลิ่วเยว่ผู้นี้ก็จะไม่มีจุดจบที่ดีแน่ !”
เมื่อได้ยินวาจาของหลี่เปียว ลิ่วเยว่ก็เปล่งเสียงตอบออกมาอย่างเย็นชา ทว่าแม้จะกล่าวคำคล้ายไม่แยแส แต่ท่าทีของเขาก็ดูคล้ายจะพึงพอใจในคำประจบสอพลอของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย
“บอกข้ามา ที่เจ้ามาหาข้ามีจุดมุ่งหมายอะไร ?”
ลิ่วเย่วไม่ใช่คนโง่ เขาไม่คิดว่าคนผู้นี้จะเพียงแต่บังเอิญผ่านจึงเดินเข้ามาเจรจาทักทายด้วยเรื่องเรื่อยเปื่อยกับเขาอย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆ ๆ นายน้อยลิ่วเยว่ฉลาดจริง ๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดท่านจึงเป็นถึงผู้มีพรสวรรค์สูงส่งในอาราม”
หลี่เปียวยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้าก่อนจะเข้าไปใกล้ลิ่วเยว่มากขึ้น
“บังเอิญว่าก่อนหน้านี้ ข้าน้อยเองก็เพิ่งจะมีเรื่องบาดหมางกับสตรีแสนจองหอง–ฉินอวี้โม่ผู้นั้น และกำลังต้องการจะเอาคืนในสิ่งที่นางทำผิดต่อพวกเรา และที่ข้ามาหาท่านก็เพราะต้องการถามว่าท่านลิ่วเยว่สนใจอยากจะร่วมมือกับพวกเราจัดการสตรีอวดดีหรือไม่ ?”
“ร่วมมือรึ ? ไหนลองว่ามาซิ ?!”
ลิ่วเยว่ถามออกไปด้วยความสนใจ
.
.
.