คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 121 ฆ่าตัวตาย
ในที่สุดหนึ่งวันอันยาวนานก็ได้ผ่านไป แสงอรุณยามเช้าสาดส่องเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ เหล่าเจ้าหน้าที่เริ่มกวาดถนน
ศพถูกยกขึ้นวางบนรถเข็น เสื้อเกราะ อาวุธและของอื่นๆ ถูกโยนทิ้ง จากนั้นพวกเขาก็ทำความสะอาดพื้นที่เปื้อนเลือด…
ในคุกแออัดไปด้วยผู้คนตั้งแต่กลางดึกนักโทษก็เข้ามาเรื่อยๆ เจี่ยงเหวินเฟิงยุ่งมากจนดวงอาทิตย์ส่องแสงได้ราวสามไม้ไผ่[1] เขาถึงมีเวลาพักผ่อน ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องเขาพบว่าหยางชูในตอนนี้ดูราวกับว่าเพิ่งตื่นนอนทำเอาเขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“คุณชายเป็นคนสบายๆ จริงๆ ขณะที่พวกเรายุ่งจนแทบไม่มีเวลาพัก”
หยางชูขัดฟันไปพลางพูดกับเขาว่า “ตอนออกมาข้าพูดไปแล้วว่า เรื่องออกแรงให้เป็นหน้าที่ของข้า เรื่องอื่นให้ท่านจัดการ เรื่องต่อสู้ข้าจัดการให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนท่านก็จัดการผลที่ตามมาซึ่งยุติธรรมมาก”
เจี่ยงเหวินเฟิงคิดเมื่อวานไฟไหม้ภูเขาจากนั้นก็พบทางลับ ตามด้วยหินเทพธิดา…เขายังไม่ได้พักจริงๆ นั่นแหละ
จนถึงกลางดึกหลังจากจัดการหยวนคุนเสร็จเขาก็กลับห้องแทบไม่ไหวจึงเข้าไปนอนหลับในห้องทำงานของตน
ในวันธรรมดาตนเห็นเขาทำตัวดีมีระเบียบจนลืมนึกถึงอายุของเขาไป พอมาคิดดูอีกทีเขายังเป็นเด็กหนุ่มอายุน้อยอยู่เลย! ทั้งสองใช้เวลารับประทานอาหารเช้าเพื่อพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานกัน
“เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมุ่งเน้นไปที่นายท่านสาม” เจี่ยงเหวินเฟิงปอกเปลือกไข่พลางพูดว่า “คดีฉีตงจวิ้นอ๋องมีบุคคลสำคัญอยู่สามคน คนแรกคือนายท่านสาม คนที่สองคืออู๋ควน ส่วนคนที่สามคืออู่อี้ ในบรรดาสามคนนี้อู่อี้เป็นคนจัดการทุกเรื่อง เป็นนักคาดการณ์ถึงเป็นการกบฏแต่ก็เป็นเพียงแค่ใช้ประโยชน์จากโอกาส เดิมทีไม่คิดที่จะลงมือทำอยู่แล้ว”
หยางชูรับไข่ที่ปอกเปลือกแล้วมาจากเขา แกะไข่ขาวไว้กับตนเองแล้วนำไข่แดงใส่ในชามของอีกฝ่าย
“อู่อี้ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคนเช่นเขาคู่ควรกับฉีตงจวิ้นอ๋องแล้ว” เจี่ยงเหวินเฟิงมองเขาแต่ไม่พูดอะไร
หยางชูมองชามของตนเอง “ข้าวต้มเหมือนกันกับท่าน”
เจี่ยงเหวินเฟิงชี้ “แต่ไข่ข้าเป็นคนปอก”
“ก็เหมือนกันหรือไม่เหตุใดใต้เท้าเจี่ยงถึงได้ขี้เหนียวเช่นนี้ ข้าให้ไข่แดงกับท่านไม่ใช่หรือ ท่านอายุเยอะแล้ว ทานไข่แดงเยอะๆ เสริมไว้ ข้ายังอายุน้อยทานแค่ไข่ขาวก็พอแล้ว”
“….” ดูเหมือนเขาจะเคยได้ยินอาหว่านพูดว่า หากคุณชายทานไข่ต้มเขาจะทานแค่ไข่ขาว แล้วหัวข้อสนทนาก็ดำเนินต่อไป “ต่อมาก็นายท่านสาม หากไม่ใช่เพราะถูกเขายุยง ฉีตงจวิ้นอ๋องคงไม่มีความคิดนี้แน่”
หยางชูหัวเราะ “ท่านไม่ต้องเห็นแก่หน้าเขาหรอก เขามีความคิดนี้อยู่แล้ว แค่ไม่มีความสามารถในการทำก็เท่านั้น เป็นเรื่องน่าอายจริงๆ ที่ตระกูลเจียงทำตัวงี่เง่าเช่นนี้”
การวิจารณ์คนในราชวงศ์เช่นนี้มีแต่ผู้ที่มีสายเลือดเดียวกันเท่านั้นที่สามารถทำได้ เจี่ยงเหวินเฟิงไม่ออกความเห็นในเรื่องนี้เขาพูดต่อไปว่า
“ทางด้านอู๋ควน ดูเหมือนว่าเขาจะนำอำนาจไปอยู่ในมือฉีตงจวิ้นอ๋องถึงได้หลงไปในทางที่ผิด”
หยางชูส่ายหน้า “ข้าคิดว่ามันไม่ง่ายถึงเพียงนั้นสิ่งที่นายท่านสามทำนั้นมีเส้นทางที่ชัดเจนมาก แรงจูงใจก็เพียงพอ แต่สำหรับอู๋ควนยังคลุมเครืออยู่มาก เขาเป็นข้าราชการขั้นสี่ สอบผ่านบัณฑิตขั้นสูง อายุก็กำลังดี ตราบใดที่เขาสะสมความสำเร็จทางการเมืองมากพอกลับไปเมืองหลวงก็ได้เลื่อนขั้นโดยไม่ต้องพูดถึงเลย เหตุใดจะต้องมาติดตามจวิ้นอ๋องที่ไม่มีอำนาจด้วย มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด! ”
ใช่ จะมีความผิดไหนหนักกว่าการกบฏอีก เจี่ยงเหวินเฟิงมองไข่แดงที่แช่อยู่ในข้าวต้มอย่างใช้ความคิด กระบวนการความคิดของนายท่านสามนั้นชัดเจนมาก
ความสำเร็จที่โดดเด่นของนายท่านหมิงเซียงทำให้เขาปรารถนาคุณงามความดีของปู่ตนเอง สิ่งที่บัณฑิตคนหนึ่งแสวงหามากที่สุดไม่มีอะไรมากเกินกว่าการสนับสนุนให้ฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์และสร้างโลกที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรือง และเขามีความเฉลียวฉลาดเพียงพอที่จะตระหนักถึงอุดมคตินี้ แต่เนื่องจากเรื่องในอดีตที่เขาไม่ถูกให้ความสำคัญ
ดังนั้นเขาจึงเข้าร่วมในคดีกบฏหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องด้วยแรงจูงใจที่เพียงพอ
แต่น่าเสียดายที่ตำแหน่งของฮ่องเต้ในตอนนี้มั่นคงมาก ทุกสิ่งที่พวกเขาทำจึงถูกเปิดเผยล่วงหน้า ความพยายามทั้งหมดของพวกเขาเลยสูญเปล่า
หลังจากนั้นนายท่านสามใช้เรื่องการตายที่เป่ยหูถอนตัวออกไปเงียบๆ ก่อนแล้วแอบกลับมายังตงหนิงที่เป็นบ้านเกิดของบรรพบุรุษอีกครั้ง ในเวลานี้เขาไม่ได้มีความคิดเกี่ยวกับการตระหนักถึงอุดมคติของตนเองเลย แต่เป็นการแก้แค้นเพียงเท่านั้น
แล้วท่านเจ้าเมืองอู๋ล่ะ เรื่องกบฏเช่นนี้สามารถมีผลต่อชีวิตของคนทั้งครอบครัวได้เลย ตัวเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เหตุใดจึงต้องเดินลงมายังน้ำโคลนนี้ด้วย
“อู๋ควนอยู่ที่ใดหรือ” หยางชูถาม
“เขาอยู่ในคุก” เจี่ยงเหวินเฟิงตอบ “เมื่อวานหากไม่ใช่เพราะคนของหวงเฉิงซือคอยจับตามองอยู่ก็เกือบจะปล่อยให้เขาหลุดมือไปแล้ว”
หยางชูพยักหน้าเขาทานหมั่นโถวชิ้นสุดท้ายแล้วหยิบส้มมายัดใส่ไว้ในแขนเสื้อ “ข้าจะไปพบเขา”
เจี่ยงเหวินเฟิงตอบ “ให้ข้าไปเถอะ เขาเป็นคนกะล่อนในวงการข้าราชการ เรื่องนี้ข้าคุ้นเคยมากกว่าท่าน”
หยางชูหัวเราะ “ท่านไม่ต้องห่วงหรอก หากพูดถึงความลับในราชการไม่มีใครคุ้นเคยไปกว่าหวงเฉิงซือแล้ว” เขาลุกขึ้นบ้วนปาก “ท่านไปพักก่อนเถอะ อายุก็ไม่น้อยแล้วจะเทียบกับคนหนุ่มสาวอย่างพวกเราได้อย่างไร” พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องไปอย่างสง่าผ่าเผย
เจี่ยงเหวินเฟิงจ้องมองที่ประตูไม่ขยับไปไหน ผ่านไปสักพักเขาจึงถามออกมา “เชี่ยนเหนียง…ข้าแก่แล้วจริงๆ หรือ”
ควันลอยออกมาจากแขนเสื้อของเขา มันค่อยๆ วนรอบตัวเขาและในที่สุดก็หยุดอยู่ข้างแก้มแล้วถูเบาๆ
…………
หยางชูออกจากศาลว่าการ ซากศพบนถนนถูกเคลื่อนย้ายออกไปจนเหลือเพียงคราบเลือดจำนวนมากซึ่งใช้เวลามาพักหนึ่งแล้วยังทำความสะอาดไม่เสร็จ
“คุณชาย!” อาสวนเดินตามมา “จะไปที่คุกหรือขอรับ”
หยางชูพยักหน้าและมองไปที่เมืองชั้นในภายใต้ดวงอาทิตย์ นี่เป็นเช้าที่เงียบที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา ไม่มีแม้แต่คนออกมาทานอาหารเช้าเลยด้วยซ้ำ
บางครั้งก็จะมีหัวสองหัวโผล่ออกมาแอบมองตามรอยแตกของประตูแล้วหดหัวกลับอย่างรวดเร็ว กองกำลังหลี่ชวนยังคงค้นหากลุ่มกบฏตามบ้าน การมีอยู่ของพวกเขาดูเหมือนจะเป็นเสียงเดียวในเมืองเก่าแก่แห่งนี้
“เจ้าไปส่งตัวฝูมาเมื่อวานนางเป็นอย่างไรบ้าง”
อาสวนตอบ “แม่นางหมิงสบายดีขอรับ คนในตระกูลหมิงไม่ได้ทำอะไรนาง”
“….” หยางชูโกรธ “ข้าถามถึงตัวฝู เจ้าพูดถึงนางทำไมกัน”
อาสวนกะพริบตาปริบๆ ไม่ถูกหรือ เขาอยู่ข้างกายคุณชายมาสิบกว่าปี คุณชายพูดอะไรออกมาเขาก็สามารถเดาความนัยที่แท้จริงได้ ครั้งนี้เขาเดาผิดงั้นหรือ
แน่นอนว่าเขาไม่พูดเรื่องนี้ออกมาอยู่แล้ว…
“อ้อ” อาสวนตอบ “แม่นางตัวฝูดีขึ้นแล้วขอรับ ชีพจรคงที่มาก แต่ดูเหมือนจะยังทำให้คนตกใจกลัวเล็กน้อย”
หยางชูหยิบส้มออกมา เขาไม่ได้ปอกเปลือกเพียงแค่ใช้มือพลิกมันเล่นไปมา
“อาสวน เจ้าคิดว่าสิ่งที่นางกล่าวมามีเรื่องใดเป็นจริงบ้าง ปรมาจารย์แห่งชีวิต มันน่าอัศจรรย์เพียงนั้นเชียวหรือ”
อาสวนส่ายหัวอย่างตรงไปตรงมา “ข้าน้อยไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับเคล็ดวิชาเท่าไรขอรับ”
หยางชูถอนหายใจ “อันที่จริงแล้วปีนั้นข้ามีโอกาสได้ไปเรียนรู้วิชา แต่คนที่เต็มใจสอนวิชาให้ข้าพอถูกข้าต่อว่าก็วิ่งหนีไปเลย…”
อาสวนตอบ “ท่านหมายถึงท่านอาจารย์ผู้นั้นหรือขอรับ”
หยางชูเหล่มองเขา “เขาเป็นอาจารย์ข้าตอนไหนกันก็แค่สอนเพลงกระบี่หนึ่งชุดให้ข้า วรยุทธ์ของข้าท่านปู่ท่านย่าของข้าสั่งสอนให้ต่างหาก”
“ขอรับ” อาสวนจะเถียงเขาได้อย่างไร “ข้าน้อยกล่าวผิดไปแล้วขอรับ” เห็นเขาเป็นเช่นนี้หยางชูก็รู้สึกเบื่อจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป
ทั้งสองเดินไปถึงคุกโดยไม่พูดอะไร เมื่อครู่เพิ่งพูดถึงท่านเจ้าเมืองอู๋ ทางฝั่งผู้คุมก็วิ่งออกมาตะโกน “ท่าไม่ดีแล้ว! นักโทษฆ่าตัวตาย!”
อาสวนคว้าตัวผู้คุมเอาไว้ “นักโทษคนใด! ฆ่าตัวตายอย่างไรยังหายใจอยู่หรือไม่”
ผู้คุมตกใจ “เป็นท่านเจ้าเมืองอู๋ขอรับ! เขาใช้ปิ่นปักผมของตนเองแทงเข้าไปในตา ตอนนี้ไม่หายใจแล้วขอรับ”
…………………………………………….
[1] ดวงอาทิตย์ส่องแสงได้ราวสามไม้ไผ่ : เทียบกับเวลาปัจจุบันคือ 8-9 โมงเช้า