คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 127 กลับบ้าน
“คุณชายสี่!” เด็กรับใช้ในจวนตระกูลหมิงเห็นหมิงเฉิงเดินออกมาจากศาลว่าการก็รีบเข้าไปต้อนรับเขา
ผ่านไปสามวันหมิงเฉิงที่กลับมาเสมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง เขาเป็นพยานบุคคลสำคัญ หลายวันมานี้เขาถูกควบคุมตัวอยู่ในศาลว่าการ ถึงแม้จะได้รับการปฏิบัติดูแลเป็นอย่างดี แต่ก็สูญเสียอิสรภาพ
“ท่านขอรับ” หมิงเฉิงรีบร้องเรียกเจ้าหน้าที่ที่มาส่งเขา “ไม่ทราบว่าท่านพ่อของข้า…”
เจ้าหน้าที่รู้ว่าเบื้องบนให้ความสำคัญกับเขาจึงตอบกลับอย่างใจดีว่า “ใต้เท้าได้สั่งการให้ปล่อยตัวบิดาของท่านกลับจวน บิดาของท่านจะได้รับการปล่อยตัวในไม่ช้าโปรดรอที่นี่สักครู่”
“ขอบคุณท่านมากขอรับ” หมิงเฉิงคารวะ
ผ่านไปไม่นานในที่สุดเขาก็เห็นนายท่านสี่ถูกปล่อยตัวออกมาเช่นกัน
“ท่านพ่อ!” นายท่านสี่ดูซีดเซียวกว่าหมิงเฉิงเล็กน้อย แต่ก็ยังดูมีชีวิตชีวาอยู่
เขาพยักหน้า “กลับกันก่อนเถอะ” สองพ่อลูกขึ้นรถม้าเดินทางกลับไปยังจวนตระกูลหมิง
“ท่านพ่อ!” บนรถม้าสองพ่อลูกเผชิญหน้ากันหมิงเฉิงลังเลที่จะพูด มีหลายเรื่องที่เขาอยากพูดกับนายท่านสี่เพียงแต่พวกเขาสองพ่อลูกไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกัน จึงไม่กล้าเอื้อนเอ่ยออกไปสักที
“อยากถามอะไรก็ถามมาเถอะ เพราะอาจไม่มีโอกาสได้ถามอีกในอนาคต…” ทัศนคติของนายท่านสี่แตกต่างจากในอดีตมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องนี้หรือไม่ถึงได้คิดอะไรมากขึ้น
หมิงเฉิงอ้าปากเขาหลับตาลงแล้วในที่สุดก็พูดออกไปว่า “วันนั้นที่ท่านพ่อทะเลาะกับท่านแม่ ลูกได้ยิน…”
นายท่านสี่ชะงัก “ท่านพ่อกับท่านป้าสาม…”
“นั่นเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว” นายท่านสี่พูดขัดเขา
“แต่ท่านพ่อออกมาเพื่อเป็นพยาน” หมิงเฉิงลดเสียงลงในใจรู้สึกสับสน
“…เพื่อท่านป้าสามใช่หรือไม่ขอรับ” ไม่คิดว่าหมิงเฉิงจะถามกับเขาตรงๆ เช่นนี้ นายท่านสี่ไม่รู้จะตอบอะไรออกไปอยู่สักพัก
มีหลายพันคำพูดในใจผ่านไปนานเขาจึงตอบกลับไป “เรื่องนี้…ไม่ใช่เรื่องดีที่จะพูดกับลูกหลาน แต่ในเมื่อเจ้ามีข้อสงสัยในใจ หากพ่อไม่พูดให้ชัดเจน เจ้าคงไม่สบายใจไปทั้งชีวิต เฉิงเอ๋อร์ ที่เจ้าพูดมาไม่ผิดปีนั้นพ่อได้พบท่านป้าสามก่อน แต่เพราะความผิดพลาด ลุงสามของเจ้าได้เอ่ยปากก่อน หลังจากนั้นพวกเราก็ต่างคนต่างแต่งงานเรื่องนี้ได้ผ่านไปนานแล้ว…”
“หลังแต่งงานกับท่านแม่ของเจ้า ไม่นานเจ้าก็เกิดมาพ่อเลยไม่คิดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว ไม่ว่าอดีตจะเป็นอย่างไร แต่พวกเราต่างแต่งงานมีครอบครัวกันไปแล้ว มีสถานะเป็นลุงเป็นพี่สะใภ้จะนึกถึงเรื่องเก่าไปทำไมกันเพียงแต่พ่ออารมณ์ร้อน ดูแลแม่ของเจ้าได้ไม่ดีเลยไม่คิดถึงความรู้สึกของนางเลย…”
พูดถึงเรื่องนี้นายท่านสี่หลุบสายตาลง
ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เขาถอนหายใจแล้วพูดต่อ “หลังจากเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น พ่อก็รู้สึกละอายใจ สิบปีที่ผ่านมานี้ทั้งกลางวันและกลางคืน พ่อรู้สึกผิดต่อท่านป้าสามของเจ้า รู้ดีว่านางถูกเหยียดหยามแต่ก็มองดูอย่างเงียบๆ พ่อทำเพื่อนาง แต่ก็ไม่ได้ทำเพื่อนาง เฉิงเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
หมิงเฉิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฮูหยินสาม แต่เขาฉลาดพอจึงเดาได้ว่าเรื่องราวภายในที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มีแค่ถูกท่านอาหกขืนใจ
เวลานี้ท่านพ่อของเขาตัดใจได้แล้วจึงรู้สึกโล่งใจ และพูดเสียงเบา “ท่านพ่อทำเพื่อความผิดชอบชั่วดีและเพื่อศีลธรรม”
คนที่สบายใจไม่ได้มีแค่หมิงเฉิง นายท่านสี่ได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกสบายใจเช่นกัน เขาพูดออกมาว่า “พ่อไม่ได้สูงส่งเช่นเจ้าแค่ไม่อยากโทษตัวเองหรือทรมานใจไปตลอดชีวิต ความรักไม่ใช่เรื่องบังคับกันได้พ่อรู้สึกผิดต่อแม่ของเจ้า ไม่อยากรู้สึกผิดต่อพวกเจ้า พ่อเป็นคนอ่อนแอไร้ความสามารถไม่สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเจ้าได้ แต่อย่างน้อยพ่อจะไม่ทำให้พวกเจ้าต้องอับอาย…”
“ท่านพ่อ!” ดวงตาของหมิงเฉิงแดงขึ้น
นายท่านสี่ตบไหล่เขา “เป็นความผิดของพ่อเอง พ่อคิดเสมอว่าการสั่งสอนอย่างเคร่งครัดเป็นเรื่องดีต่อพวกเจ้า แต่กลับละเลยเรื่องอื่นไป พ่อไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแม่ของเจ้าเกลียดพ่อแค่ไหน พอคิดดูอีกทีเป็นเพราะพ่อดูแลนางได้ไม่ดีจริงๆ นี่เป็นความผิดที่ไม่สามารถแก้ไขได้…”
หลังจากผ่านเรื่องวุ่นวายไปไม่กี่วันหมิงเฉิงก็ได้เข้าใจหลายๆ อย่าง เขาพูดเบาๆ ว่า “ไม่แปลกใจเลยท่านพ่ออย่างที่ท่านพูดความรักห้ามกันไม่ได้…”
ยามยังเยาว์วัยการเต้นของหัวใจคือแสงจันทร์ในชีวิตของเขา เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเป็นสามีและพ่อของผู้อื่น แต่โชคชะตากลั่นแกล้ง และเป็นโชคร้ายของฮูหยินสามที่ทำให้เขาปล่อยวางไม่ลง
“เมื่อก่อนลูกคิดถึงแต่ความรู้สึกของท่านแม่ ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของท่านพ่อเลย ลูกขอโทษขอรับ…”
เมื่อเห็นความสำนึกผิดของหมิงเฉิงทำให้นายท่านสี่ตำหนิตนเอง “เป็นเพราะพ่อไม่ดีเองทำให้พวกเจ้าต้องเป็นทุกข์”
………….
เมื่อสองพ่อลูกกลับมาถึงเรือนก็เข้าไปพบฮูหยินผู้เฒ่าก่อน ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นพวกเขาก็รู้สึกประหลาดใจ นางพูดออกไปไม่กี่คำก็ให้พวกเขารีบกลับไปพักผ่อน
ทั้งสองคนกลับมายังเรือนฝั่งตะวันตก ฮูหยินสี่ก็ได้เตรียมเสื้อผ้าและอาหารไว้ให้แล้ว พวกเขาอาบน้ำก่อนแล้วค่อยรับประทานอาหาร และในที่สุดสองพ่อลูกก็ได้ทานข้าวกันอย่างสบายใจ
หมิงเฉิงเห็นหมิงเซียงมองเขาตาปริบๆ จึงยิ้มออกมาแล้วลูบหัวนาง “พี่สี่บอกแล้วว่าไม่เป็นอะไร อาเซียงไม่เชื่อหรือ”
หมิงเซียงพยักหน้าและดึงแขนเสื้อของเขา “พี่สี่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ ได้ยินว่าการทรมานเพื่อสอบสวนนั้นรุนแรงมาก…”
“วางใจเถอะ พี่ไม่ใช่นักโทษ” หมิงเฉิงพูดอย่างอ่อนโยน “ใต้เท้าเจี่ยงดูแลพวกเราเป็นอย่างดี อยู่ที่ศาลว่าการในฐานะพยาน ตอนนี้คดีได้จัดการเรียบร้อยแล้วจึงให้พวกเรากลับมาได้ น้องดูสิ พี่สี่สบายดีมาก ไม่มีบาดแผลแม้แต่นิดเดียว มีเพียงแค่อาหารที่ศาลว่าการไม่อร่อยหลายวันมานี้เลยไม่ได้กินอิ่มเท่าใดนัก”
หมิงเซียงโดนเขาขำใส่จึงถาม “แล้วพี่สี่จะทานอีกหรือไม่เจ้าคะ”
หมิงเฉิงลูบท้อง “ไม่ทานแล้ว ทานไปนิดเดียวก็อิ่ม รู้สึกย่อยยาก วันต่อไปคงต้องทานช้าๆ เสียแล้ว”
“อืม…” จู่ๆ หมิงเซียงก็ก้าวไปข้างหน้านางจับแขนของหมิงเฉิงแล้วเอนศีรษะพิงไหล่ของเขา “พี่สี่ทำข้ากลัวมาก หลายวันมานี้ข้ากลัวว่าพี่จะถูกตี ท่านแม่ก็กลัว กังวลจนนอนไม่หลับ…”
หมิงเฉิงยิ้มแล้วปลอบใจนาง “ไม่เป็นอะไรแล้ว อย่ากังวลไปเลย เรื่องทั้งหมดผ่านไปแล้ว”
“อืม…” หมิงเซียงเผยรอยยิ้มสดใสออกมา
ภายในห้องนอน นายท่านสี่และฮูหยินสี่อยู่ในบรรยากาศที่แตกต่างออกไป
ก่อนหน้านี้สองสามีภรรยาทะเลาะกันครั้งใหญ่และแยกกันอยู่มาสักพัก เวลานี้ฮูหยินสี่ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี หลังปรนนิบัตินายท่านสี่ที่ทานอาหารเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองคนก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ผ่านไปสักพักเป็นนายท่านสี่ที่พูดออกมาก่อน “หลายวันมานี้เหนื่อยมากพอแล้ว นอนพักสักหน่อยเถอะ”
“อืม…” ฮูหยินสี่ตอบรับแล้วเดินไปที่เตียง ทั้งคู่นอนลงแต่กลับไม่มีผู้ใดหลับเลย ฮูหยินสี่ล้มตัวลงนอนในหัวของนางเต็มไปด้วยความคิดเต็มไปหมด และทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงจากด้านข้าง “ท่านนอนหรือยัง”
นางตกใจแล้วรีบตอบ “ท่านพี่อยากดื่มน้ำหรือ”
กำลังจะลุกขึ้นแต่ก็ถูกนายท่านสี่ดึงตัวไว้ “ท่านไม่ต้องรีบ ข้าก็แค่…มีเรื่องอยากคุยกับท่าน”
หลังจากทรมานมาหลายวัน ฮูหยินสี่ก็รู้สึกเสียใจภายหลังแล้วในเวลานี้เมื่อเห็นว่าเขาพูดเสียงต่ำเล็กน้อยนางก็รู้สึกใจอ่อน “ท่านพี่พูดมาเถิด”
นายท่านสี่ถอนหายใจก่อนพูดว่า “วันนั้นข้าผิดเอง” เขาชะงักแล้วพูดต่อ
“หลายปีที่ผ่านมาข้าผิดเอง ข้าคิดว่าจะเป็นสามีที่ดีไม่เหมือนน้องหก แต่กลับไม่คิดเลยว่าครอบครัวจำเป็นต้องใช้ความรู้สึกมากกว่านี้ หลังจากนี้ข้าจะพยายามปรับอารมณ์ตนเองจะไม่ทำเช่นนั้นกับท่านอีกแล้ว”
………………………………………….