คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 134 กรรมตามสนอง
จนกระทั่งตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าถึงได้รู้ว่าที่หมิงเวยพูดไว้ก่อนหน้านี้ ว่าสิ่งที่นางต้องเผชิญต่อไปนี้อาจโหดร้ายไปบ้างหมายถึงอะไร
นางต้องเห็นลูกของตนเองตายต่อหน้าต่อตา!
นี่เป็นผลกรรมที่นางต้องได้รับในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด!
“ลูกหก ลูกของข้า! แม่ขอโทษเจ้า แม่สอนเจ้าไม่ดีเอง…” หมิงเวยไม่แม้แต่จะมองหน้าพวกนาง แต่หลุบตามองนายท่านสองแทน
“ท่านลุงสอง ท่านอาหกเป็นสัตว์ร้ายโดยสมบูรณ์ เลวทั้งภายในและต่อหน้า แล้วท่านล่ะ”
นายท่านสองส่งเสียงในลำคอและพูดเสียงต่ำ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ฆ่าข้าเลยสิ!”
หมิงเวยหัวเราะ “ฆ่าท่านงั้นหรือ ง่ายเกินไปหรือเปล่า! ท่านสมควรได้รับรางวัลจากข้าเสียก่อนสิ!”
เมื่อเห็นสายตาที่มองด้วยความอาฆาตแค้นของนายท่านสอง หมิงเวยก็ถอนหายใจ “ท่านลุงสอง หลานเห็นใจท่านจริงๆ การที่ท่านตกลงมาอยู่จุดๆ นี้ได้ ท่านลุงเกลียดหลาน แต่ไม่คิดจะเกลียดน้องสามของท่านเลยใช่หรือไม่”
นายท่านสองจ้องมองนางด้วยดวงตาแดงก่ำ
หมิงเวยยังคงยิ้ม “อย่ามองหลานเช่นนั้น อันที่จริงคนที่ท่านควรเกลียดมากที่สุดไม่ใช่หลาน ต่อให้ไม่มีหลานไม่ช้าก็เร็วท่านก็ต้องตกลงมาเป็นดั่งเช่นวันนี้อยู่ดี”
นายท่านสองหัวเราะเสียงเย็น “ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร เจ้าชนะจะพูดอย่างไรก็ได้”
หมิงเวยยิ้มเยาะ “พวกท่านมันโง่กันทั้งตระกูล! ถูกนายท่านสามหลอกจนหัวหมุน คิดว่าตระกูลหมิงจะสามารถผงาดขึ้นมา และกอบกู้ศักดิ์ศรีของบรรพบุรุษกลับคืนมาได้งั้นหรือ น่าขันเสียจริง!”
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร!” นายท่านสองกล่าวดูถูก “ราชวงศ์ตระกูลเจียงเป็นหนี้พวกเรา!”
หมิงเวยพูดอย่างไม่เกรงใจ “ท่านนี่โง่จริงๆ เอาอะไรมาคิดว่าฉีตงจวิ้นอ๋องจะสามารถนั่งบนตำแหน่งนั้นได้ เขาห่างจากศูนย์กลางอำนาจมานานเท่าไรแล้ว สิบแปดปีที่ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ ปีนั้นเส้นสายที่ฉินอ๋องทิ้งเอาไว้ถูกกำจัดจนราบคาบหมดแล้ว เขาไม่สามารถมีส่วนร่วมในวงการทหารและการเมืองได้อีก แม้เขาจะยกธงก่อกบฏ ออกศึกโดยไร้ข้ออ้างอันควร แต่ตัวเขาจะประคับประคองได้นานเท่าไรกันเชียว มันก็แค่ขนมชิ้นใหญ่ที่นายท่านสามวาดไว้ให้ท่านเห็นก็เท่านั้นแหละ!”
“เจ้า…”
“ถามเขาสิว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น!” หมิงเวยยิ้ม “เพราะว่าเป้าหมายของท่านกับเขาไม่เหมือนกันยังไงล่ะ!”
“ไร้สาระ!”
“ไม่เชื่ออย่างนั้นหรือ” หมิงเวยเหลือบมองเขาอย่างดูถูก “ถ้าอย่างนั้นหลานขอถามท่านสักหน่อย ฉีตงจวิ้นอ๋องมีทหารในมือกี่คนกัน”
นายท่านสองชะงัก
“หลานจะบอกท่านให้ แม้ว่ากองทหารตงหนิงจะเป็นของเขาทั้งหมด แต่ก็ไม่เกินสามหมื่นนายรวมจำนวนที่เพิ่มขึ้นมาลอยๆ ด้วยแล้วคำนวณแล้วก็ไม่เกินสองหมื่นคน”
หมิงเวยมองเขา “ท่านรู้ไหมว่าในปีที่ไท่จู่ออกรบที่ทางใต้ใช้จำนวนทหารกี่คน” นางรู้ว่าเขาไม่สามารถตอบได้จึงพูดต่อไปว่า “สามหมื่นนายพร้อมกองทหารส่งกำลังบำรุง ประชาชนที่ระดมกำลังมารวมขั้นต่ำห้าแสนนาย! นี่ยังไม่นับกองทหารชายแดนที่ประจำการทางเป่ยเจียง แคว้นฉู่ใต้ไม่สงบ เป่ยเจียงเองก็ยังไม่แน่นอน หลายสิบปีมานี้กองทัพแคว้นต้าฉีไม่เคยลดลงเลย พวกท่านคิดจะต่อกรด้วยกองกำลังเพียงสองหมื่นนายงั้นหรือ ฝันเร็วไปหน่อยนะ!”
ในช่วงเกิดความจราจลยังสามารถจัดการได้แล้วในตอนนี้ที่ใต้หล้าอยู่ในความสงบสุข กองทัพจำนวนแค่นี้จะไปเพียงพออะไร
นายท่านสองได้ยินเช่นนั้นก็ผงะ แต่ยังพูดออกไปว่า “ใครบอกเจ้าว่าจำเป็นต้องยกทัพ จวิ้นอ๋องเป็นสายเลือดของไท่จู่…”
“เฮอะ!”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบก็ถูกหมิงเวยหัวเราะใส่ “การยึดครองตำแหน่งมีอยู่สองทาง หนึ่งคือกองกำลังทหาร สองคือการเมือง เส้นทางแรกไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว เส้นทางที่สองยิ่งน่าขันฝ่าบาทมีองค์ชายห้าพระองค์ มีสามพระองค์ที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ตำแหน่งจะมาตกที่เขาได้อย่างไร แม้แต่ประตูเมืองหลวงเขายังไม่เคยเหยียบเข้าไปด้วยซ้ำ! ยิ่งไปกว่านั้นในปีที่มีการแย่งชิงบัลลังก์ ฉินอ๋องมีชื่อเสียในเรื่องสังหารพี่น้องของตนเอง การให้ลูกหลานของเขาไปนั่งในตำแหน่งนั้นถือเป็นการเยาะเย้ยสายเลือดโดยตรง!”
สายตาของหมิงเวยเลื่อนไปมองนายท่านสาม “ขนาดหลานยังดูออกมีหรือที่นายท่านสามจะดูไม่ออก เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่มีทางที่ฉีตงจวิ้นอ๋องจะทำสำเร็จ ตระกูลหมิงจะสามารถผงาดขึ้นมา และกอบกู้ศักดิ์ศรีของบรรพบุรุษกลับคืนมาได้อะไรกัน เหลวไหลทั้งนั้น! เขาแค่ต้องการก่อกวนสถานการณ์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่เขาวางไว้ก็เท่านั้น เขาถึงไม่ลังเลที่จะฝังศพตระกูลหมิงทั้งหมด น่าตลกที่ว่าสิบปีมานี้ท่านช่วยเขาปกปิดตัวตน วิ่งเต้นแทนเขาทุกอย่าง ท้ายที่สุดก็เป็นการขุดหลุมฝังตระกูลตนเองแล้วยังให้เขาด่าท่านว่าโง่ในใจได้อีก!”
นายท่านสองตะลึงกับคำพูดของนาง เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองนายท่านสาม
“น้องสาม…” นายท่านสามนั่งอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเฉยเมยไม่สนใจ
ท่าทีของเขาทำให้สติของนายท่านสองค่อยๆ กลับมา สิ่งที่เด็กคนนี้พูดมา…ดูเหมือนว่าจะเป็นความจริง
“ทำไม” นายท่านสองไม่รู้ว่าตนกำลังถามใครอยู่ “พวกเราคุยกันแล้วไม่ใช่หรือ ไท่จู่ไร้เมตตาธรรม ทอดทิ้งบรรพบุรุษเพราะฉะนั้น…”
นายท่านสามหัวเราะเสียงเย็น “โง่!”
“น้องสาม!” นายท่านสองโกรธมาก “หลอกข้าจริงๆ งั้นหรือ”
นายท่านสามยังคงไม่สนใจ
“น้องสาม!” เส้นเลือดปูดขึ้นที่หน้าผากนายท่านสองเขาดึงคอเสื้อของอีกฝ่าย “ทำไมไม่ตอบเล่า! เจ้าหนีออกมาจากเป่ยหู ข้าช่วยเจ้าปกปิดตัวตนไว้ เจ้าบอกว่าเจ้าต้องช่วยฉีตงจวิ้นอ๋อง ข้าช่วยเจ้าติดต่อจัดการเรื่องให้เจ้าทุกอย่าง เจ้าอยากให้ข้าทำอะไรข้าก็ทำ แต่ทุกอย่างนี้เจ้าโกหกงั้นหรือ เจ้าโกหกข้างั้นหรือ!”
หมิงเวยมองพวกเขาอย่างเฉยชา “รสชาติของการถูกหลอกมันไม่ดีเลยใช่หรือไม่ เมื่อเทียบกับท่านแม่แล้วก็คงไม่เท่าไหร่ นายท่านสองตอนที่ท่านใช้ท่านแม่โดยไม่สนใจสิ่งใดเลย เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าท่านเองก็เป็นเบี้ยที่ถูกหลอกใช้เหมือนกัน ท่านปฏิบัติต่อท่านแม่อย่างเลือดเย็นผู้อื่นก็ปฏิบัติต่อท่านอย่างเลือดเย็นเช่นกัน ท่านคิดว่าตนเองไม่ผิดก็สมควรแล้วที่มีจุดจบอย่างเช่นวันนี้”
นายท่านสองที่ไม่ได้รับคำตอบจากนายท่านสามก็โกรธมาก
“ไอ้เจ้าบ้า!” เขาพุ่งตัวไปข้างหน้าจะกัดนายท่านสาม แต่น่าเสียดายที่องครักษ์ดึงตัวเขาไว้ได้ก่อนจึงไม่ทันได้กัด
นายท่านสองตะโกนด่าเสียงดังราวกับว่าเขาต้องการกลืนกินนายท่านสาม
หมิงเวยปล่อยให้เขาด่าจนเหนื่อยแล้วพูดต่อไปว่า “ท่านเป็นพยานคนสำคัญและต้องถูกพาตัวเข้าเมืองหลวงเลยไม่สามารถฆ่าท่านได้ แต่…”
หมิงเวยยื่นมือไปกดหน้าผากของนายท่านสอง นายท่านสองต้องการผละออกแต่ไม่สามารถทำได้เพราะถูกองครักษ์กดตัวเอาไว้
หมิงเวยพูดเบาๆ “ท่านทำให้ท่านแม่เหมือนตกอยู่ในนรก ข้าก็จะทำให้ท่านมีชีวิตอยู่ในนรกจริงๆ!” พอพูดจบพลังก็พุ่งออกจากฝ่ามืออัดเข้าไปในทันที!
ทันใดนั้นนายท่านสองก็เบิกตากว้าง รูม่านตาของเขาขยายออกราวกับว่าเห็นบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัว
“อ้า!” เขาร้องออกมามือเท้าสั่นระริก
“ท่านพ่อ!” หมิงฮ่าวคิดจะพุ่งเข้าไปหา แต่ถูกฮูหยินสองรั้งเอาไว้
“ลิ่วเอ๋อร์ นี่เป็นกรรมตามสนองท่านพ่อของลูกทำเรื่องไม่ดี เขาสมควรได้รับมันแล้ว” หมิงฮ่าวหลั่งน้ำตาไม่คิดที่จะเข้าไปหาอีก
หยางชูเลิกคิ้วแล้วถาม “เขายังต้องขึ้นศาลจะปล่อยให้เขาเป็นเช่นนี้ไม่ได้นะ!”
หมิงเวยลดมือลงแล้วตอบ “ท่านวางใจเถอะข้าแค่ทำให้เขา ‘ป่วย’ ไม่สามารถอาละวาดเหมือนคนทั่วไปได้ก็เท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา” หยางชูพยักหน้า “ตั้งแต่คุมตัวไปจนถึงสอบสวนแล้วประหารชีวิตใช้เวลาครึ่งปีแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา”
หมิงเวยมองห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย นายท่านหกที่แทงคอตาย ฮูหยินหกที่กอดศพร้องไห้อย่างขมขื่น ฮูหยินผู้เฒ่าที่ทุบหน้าอกตนเองแล้วร้องไห้ นายท่านสองที่กำลังบ้าคลั่ง
ครอบครัวนายท่านสี่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รวมถึงฮูหยินสองที่รั้งหมิงฮ่าวอย่างเอาเป็นเอาตาย
หมิงเวยเลิกสนใจแล้วโบกมือ “พาพวกเขากลับไปเถอะ”
ผู้ที่สมควรได้รับผลกรรมนั้นได้รับผลกรรมคืนไปแล้ว ส่วนคนที่ไม่ต้องรับผลกรรมก็ให้พวกเขาชดใช้ด้วยตนเอง
“นอกจากท่าน” นางมองนายท่านสาม
……………………………