คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 142 ข้อตกลงแรก
หมิงเวยรู้ว่าตนเองต้องหาผู้ช่วย
นางเป็นสตรี ตัวตนในปัจจุบันของนางอยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางอำนาจจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะแทรกแซงสถานการณ์ทางการเมืองได้
ตามแผนที่นางวางไว้หลังจากเข้าเมืองหลวงต้องจัดการเรื่องหนึ่งก่อนเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้
แต่มันยังไม่พอ…
หากไม่ต้องการเดินไปบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยเลือด นางจะต้องไม่ให้ฮ่องเต้ทั้งสามหลังจากเหวินตี้ได้ขึ้นครองบัลลังก์
เฉียนเฟ่ยตี้ หลิงตี้ โฮ่วเฟ่ยตี้
หากคิดจะทำการใหญ่ขนาดนั้น นางจำเป็นต้องมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สามารถแทรกแซงทางการเมืองและสามารถยืนอยู่ในศูนย์กลางของสถานการณ์ได้
ในความเป็นจริงแล้วหยางชูไม่ค่อยตรงตามความต้องการของนาง สถานะของเขาสูงส่งพอสมควร แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ซ่อนตัวตนที่แท้จริงของเขา
แล้วตัวตนที่แท้จริงของเขาคืออะไรนั้นมันก็ยากที่จะจินตนาการได้
คนที่มีความลับมากมายเพียงนั้นจะสามารถเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจได้จริงหรือ นางได้แต่สงสัย
เขาหยิ่งผยองเกินไป แม้แต่องค์ชายยังต้องหลีกเลี่ยงเขา ประวัติศาสตร์บอกพวกเราว่าคนเช่นนี้มักจะมีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ เมื่อถึงคราวฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ก็จะถูกคิดบัญชีย้อนหลังและมีจุดจบที่น่าสลดใจ
นางไม่เคยอ่านบันทึกเกี่ยวกับเขาในชีวิตก่อน แต่ก็มีแนวโน้มสูงที่จะมีจุดจบเช่นนั้น…
หากเปรียบเทียบกันแล้วเจี่ยงเหวินเฟิงสอดคล้องกับความต้องการของนางมากกว่า
ขุนนางผู้มีชื่อเสียงที่เล่าสืบต่อกันมาในประวัติศาตร์ ซึ่งได้ยืนยันคุณสมบัติของเขาเป็นอย่างดี เขาสอบผ่านบัณฑิตขั้นสูง เป็นจิ้นชื่อตั้งแต่อายุยังน้อย ขอเพียงมีประสบการณ์ที่มากเพียงพอก็มีคุณสมบัติที่จะเข้าแวดวงการเมืองได้
แต่หลังจากได้พูดคุยกันก็ได้รู้ว่าเขามีบุคลิกที่เรียบร้อยไม่อวดรู้ กล้าที่จะมุ่งมั่นรับผิดชอบ
แต่น่าเสียดายดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีความทะเยอทะยานในเรื่องนี้สักเท่าไรนัก เขามุ่งเน้นไปที่การสืบสวนคดีที่ไม่ยุติธรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้นนางจึงต้องถอยมายังตัวเลือกที่สอง
เมื่อไม่สามารถเข้าหาเจี่ยงเหวินเฟิงได้จึงต้องหันไปพึ่งหยางชูแทน
หยางชูไม่มีอะไรไม่ดี เขายังเด็กและยังไปไกลกว่านี้ได้อีก อีกทั้งเขายังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฮ่องเต้และยังควบคุมองค์กรลับของฮ่องเต้อย่างหวงเฉิงซืออีก
มนุษย์…มีบุคลิกที่ค่อนข้างซับซ้อนและควบคุมยาก แต่ก็มีด้านดีอยู่ในใจซึ่งผ่านด่านทดสอบได้ยาก…
โชคดีที่หยางชูไม่มีทางล่วงรู้ถึงความคิดที่อยู่ในใจของนาง ไม่เช่นนั้นหากรู้ว่าตนเองเป็นตัวเลือกรองลงมาคงได้แตกหักกันไปข้างแน่…
เขานั่งอยู่บนฟูกและเงียบไป กำลังทวนคำพูดที่หมิงเวยพูดออกไปเมื่อครู่
“ต้าฉีล่มสลายในปีใดหรือ”
“หกสิบปีหลังจากนี้”
“แค่หกสิบปีหรือ…”
หมิงเวยตอบ “อันที่จริงสามสิบปีหลังจากนี้ กฎหมายบ้านเมืองพังพินาศย่อยยับ อีกสามสิบปีต่อมาทำได้แค่เพียงฝืนยึดลมหายใจเฮือกสุดท้ายซึ่งล่มสลายง่ายกว่าที่คิดไว้มาก”
“ต้าฉีล่มสลาย หนึ่งปีต่อมาฉู่ใต้ก็ล่มสลายตาม หมายความว่ามืมือที่สามใช่หรือไม่หรือจะเป็นเป่ยหู”
หมิงเวยพูดเสียงเบา “เป็นหูเหริน แต่พูดให้ถูกก็คือเป็นราชวงศ์เว่ยตะวันตกที่ก่อตั้งโดยหูเหริน”
“เว่ยตะวันตกงั้นหรือ” หยางชูเลิกคิ้ว “ท่านหมายถึงหูเหรินก่อตั้งราชวงศ์จะเป็นไปได้อย่างไร พวกเขาถูกแบ่งออกเป็นเผ่าน้อยใหญ่ต่างๆ ต่อสู้กันตลอดเวลา ผู้ใดจะไปมีความสามารถในการรวมพวกเขาด้วยกันได้”
หมิงเวยถอนหายใจ “ท่านต้องยอมรับว่าในใต้หล้านี้จะมีสิงห์ร้ายทะเยอทะยานจำนวนหนึ่งอยู่เสมอ พวกเขาสามารถทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการยกย่องจากประวัติศาสตร์ ราชวงศ์เว่ยตะวันตกปรากฏขึ้นในอีกไม่ช้า ตอนนี้คือศักราชหย่งเจียปีที่สิบแปด ในอีกสองปีพวกเขาจะปรากฏตัวขึ้นทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นฉีเหนือ ทำให้แคว้นฉีเหนือติดอยู่ในการโจมตีสองด้านจนไม่สามารถพิชิตทางใต้หรือรวมแผ่นดินตรงกลางได้”
พูดถึงตรงนี้นางก็ชะงักไปพักหนึ่ง “สำหรับพวกเราที่เป็นคนรุ่นหลังแล้วราชวงศ์ฉีเหนือไม่เคยเป็นราชวงศ์ที่รวมเป็นหนึ่งเดียว พวกเขาไม่สามารถล้มแคว้นฉู่ใต้ได้ สุดท้ายก็ตายด้วยน้ำมือของหูเหริน ในประวัติศาสตร์แล้วพวกเขาเป็นเพียงราชวงศ์เล็กๆ ที่ยึดครองดินแดนที่แตกแยกเท่านั้น”
เส้นเลือดปูดขึ้นที่หน้าผากของหยางชู สงสัยว่าอาจเป็นเพราะคำพูดของนางทำให้เขาโกรธหรือเปล่า
ต้าฉีในสายตาของเขานั้นแข็งแกร่งมาก รุ่งเรืองและมั่งคั่งด้วยกำลังทหารและม้าที่แข็งแกร่งซึ่งตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลา เมื่อเวลานั้นมาถึงการส่งกองกำลังไปทางใต้หรือรวมแผ่นดินตรงกลางยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง
แต่หมิงเวยบอกเขาไปว่าความแข็งแกร่งนี้สามารถอยู่ได้เพียงหกสิบปี ไม่สิแค่สามสิบปีเท่านั้น
สามสิบปีนี้จะต้องพบเจอกับอะไรบ้างกัน
“แล้วจุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงไหน” เขาพยายามข่มอารมณ์เอาไว้และมองหาปมของปัญหา
“เจ็ดปีหลังจากนี้” หมิงเวยพูดไปตามตรง “เหวินตี้สิ้นพระชนม์ ผู้ที่สืบทอดบัลลังก์คือบุตรที่ไม่เอาไหน”
“เหวินตี้…” เขาพูดเสียงเบา “เป็นพระสมัญญานาม[1]ของพระองค์หรือ”
“ใช่”
หยางชูเผยรอยยิ้มที่ไม่สามารถอธิบายได้ “พระองค์ประสบความสำเร็จในการบริหารราชการ นามนี้เหมาะสมแล้ว”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้น “เอาล่ะข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก” จากนั้นเขาก็เดินออกไป
“เดี๋ยวสิ!” หมิงเวยตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่ออก “นี่ท่านได้รับผลประโยชน์แล้วก็จะไปทั้งอย่างนี้เลยงั้นหรือ”
หลังจากที่นางพูดเรื่องสำคัญเสร็จเขาก็ไม่แสดงท่าทีอะไรแล้วจะจากไปอย่างนี้เนี่ยนะ
หยางชูหยุดแล้วมองนางอย่างหยอกล้อ “เป็นท่านที่พูดออกมาเอง ข้าไม่ได้บังคับท่านเลยแม้แต่น้อย”
“….”
เขาคลี่พัดแล้วโบกอย่างสบายๆ “จุดแข็งของทั้งสองฝ่ายไม่เท่ากันอยู่แล้ว ท่านเอาอะไรมาคิดว่าข้าต้องทำตามหลักยุติธรรม สำหรับข้าแล้ว ท่านในฐานะผู้ช่วยดูเหมือนจะอ่อนแอไปหน่อย!”
หมิงเวยไม่ได้โกรธแต่กลับยิ้ม “ได้ หากท่านเดินพ้นประตูนี้ไป อย่ามาเสียใจในภายหลังแล้วกัน”
ด้วยความโกรธนางจึงยิ้มหวานเป็นพิเศษ หยางชูหรี่ตาเล็กน้อย เขาหยุดชะงักจากนั้นก็หันกลับมายิ้มให้ “ท่านจริงจังอะไรขนาดนั้น ข้าแค่ล้อท่านเล่นเอง!”
เขากลับมานั่งบนฟูกอีกครั้ง แสดงท่าทางปฏิบัติต่อนางด้วยความจริงใจ “ในเมื่อท่านมีความจริงใจขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกกับท่าน ข้าสาบานต่อหน้าท่านย่า ตราบใดที่ข้ายังใช้แซ่หยาง เรื่องนี้จะไม่มีวันหลุดออกไปแน่นอน”
หมิงเวยเหล่มองเขา “ไม่มีการเจรจางั้นหรือ”
“ไม่มีการเจรจา”
หมิงเวยพยักหน้า “ได้ ข้าไม่บังคับท่าน”
เมื่อเห็นเขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกจึงรีบพูดออกไปว่า “แต่ถ้าให้ข้าเดา…”
หยางชูยิ้ม “หากท่านต้องการคาดเดาจริง ไม่ว่าท่านอยากรู้อะไร ไม่มีทางที่จะไม่พูดออกมา”
“สัญญาแล้วนะ”
“คำพูดของสุภาพบุรุษ พูดแล้วไม่กลับคำ”
หมิงเวยไม่สนใจประโยคหลังนางถามกลับไป “ท่านเป็นสุภาพบุรุษงั้นหรือ”
“นี่!”
“ข้าก็ล้อเล่นเหมือนกัน” หมิงเวยยื่นมือมาตบมือกันกับเขา
“พวกเราเป็นพันธมิตรเบื้องต้นกันแล้วใช่หรือไม่”
หยางชูตอบอย่างเกียจคร้านว่า “ยังเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องพันธมิตร แม้ว่าก่อนหน้านี้ข้าจะล้อเล่น แต่ท่านก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าท่านไม่แข็งแกร่งพอใช่หรือไม่ ไม่ต้องพูดถึงตัวตนของท่านในตอนนี้ แค่เรื่องเคล็ดวิชาตัวท่านในตอนนี้ก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นเสวียนชื่อมือหนึ่งได้” ร่างกายที่มีพลังน้อยนิดนี้เป็นข้อบกพร่องของนาง
หมิงเวยกลับตอบไปว่า “ข้าขอแก้ไขหน่อย ข้าเป็นปรมาจารย์แห่งชีวิต ไม่ใช่เสวียนชื่อ”
หยางชูสงสัย “ปรมาจารย์แห่งชีวิตแล้วอย่างไร”
“ปรมาจารย์แห่งชีวิตไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพลังอย่างเดียว ข้าคิดว่าหลังจากเกิดเรื่องที่วัดเป่าหลิงท่านคงเข้าใจจุดนี้ดี”
หยางชูโต้แย้ง “มันคงจะดีถ้าตอนนั้นข้าเปลี่ยนไปขอความช่วยเหลือจากเสวียนชื่อท่านอื่น!”
หมิงเวยดึงปิ่นปักผมสีทองออกมาแกว่งเล่น “ท่านคิดว่าทุกคนจะสามารถดูกุญแจสิบสองห่วงออกงั้นหรือ”
“….”
“หากท่านไม่เชื่อในความสามารถของข้าก็ไม่เป็นไร” นางสอดปิ่นกลับไปที่เดิมแล้วจัดแขนเสื้อ “ได้ยินว่าเสวียนชื่อที่เสวียนตูกวันนั้นเก่งกาจมาก ทำไมท่านไม่ลองไปหาดูว่ามีคนที่เหมือนกันกับข้าหรือไม่เล่า”
หยางชูแตะคางพลางใช้ความคิด “ได้ หากหาไม่พบข้าจะยอมรับว่าท่านมีคุณสมบัติ แต่ถ้าหากตามหาพบ…”
“ข้าจะเชื่อฟังท่าน”
หยางชูพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ท่านพูดแล้วรักษาคำพูดด้วย”
……………………………
[1] พระสมัญญานาม : พระนามของจักรพรรดิในพระบรมโกศที่ได้รับหลังสิ้นพระชนม์แล้ว