คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 180 ไม่มี
ผู้คุมกฎเลิกแขนเสื้อของหลิ่วเจินเอ๋อร์ขึ้นเผยให้เห็นแขนที่ไม่มีร่องรอยการถูกกัดแต่อย่างใด
เหวินหรูตกตะลึง “แต่ข้าเห็นจริงๆ…”
หมิงเวยได้แต่หัวเราะในใจงูขาวเป็นวิญญาณกายหยาบงูพิษร้ายแรงของมันหายไปนานแล้ว ร่างแปลงที่แสดงออกมาก็ไม่มีพิษแล้วจะทำให้ถึงตายได้อย่างไร
หลิ่วเจินเอ๋อร์ถูกกัดก็จริง แต่งูขาวเป็นแค่ดวงวิญญาณ ส่วนที่ถูกโจมตีแน่นอนว่าต้องเป็นดวงวิญญาณของคนจะไปมีบาดแผลให้เห็นได้อย่างไรกัน
บาดแผลที่พวกนางเห็นตอนนั้นก็เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
ใช่ ตรวจสอบไปก็ไม่มีหลักฐาน
ผู้คุมกฎหน้าตึง มองเหวินหรูและคนอื่นๆ ด้วยสายตาเย็นชา แม้นางจะรู้ว่าเรื่องราวในครั้งนี้จะเป็นเพียงอุบัติเหตุ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหล่าคุณหนูห้องหลิงหานก่อเหตุกลั่นแกล้งขึ้น งั้นให้บทเรียนพวกนางสักหน่อยก็คงจะดี
“พวกเจ้ามีอะไรจะอธิบายหรือไม่”
“อาจารย์…” เหวินหรูกำลังจะพูด แต่ก็ถูกพี่สาวที่อยู่ด้านหลังขัดไว้ก่อน
คุณหนูสามตระกูลเหวินตอบ “บางทีพวกเราอาจจะตาลายจริงๆ เจ้าค่ะ!”
ผู้คุมกฎพยักหน้า คุณหนูสามตระกูลเหวินผู้นี้รู้ดีว่าควรถอยออกมา
“เรื่องที่ว่ามีการปล่อยงูเข้ามาไม่เป็นความจริงในเมื่อพวกเจ้าจงใจสร้างเรื่องขึ้นมา วันนี้กลับไปคัดกฎระเบียบสิบรอบแล้วมาส่งข้าในวันรุ่งขึ้น”
“แต่อาจารย์เจ้าคะ!”
ผู้คุมกฎมอง “ทำไม เจ้าไม่ยอมรับงั้นหรือ”
การเป็นนักเรียนของสถานศึกษาหมิงเฉิงได้แสดงว่าต้องมีพื้นฐานครอบครัวที่ดี เหล่าคุณหนูเมื่อถูกอีกฝ่ายจ้องกลับมาก็ก้มหน้าลงและรีบตอบกลับไปว่า
“เจ้าค่ะ”
“แล้วยืนทำอะไรกันอยู่ แยกย้าย!”
“เจ้าค่ะ…” เหล่าเด็กสาวแยกย้ายกันเดินจากไป แต่ก่อนจากไปคุณหนูสามตระกูลเหวินมองมาทางหมิงเวยด้วยสายตาเย็นชาพร้อมกับรอยยิ้มเย็นเยือกปรากฏขึ้นที่มุมปาก
บัญชีในครั้งนี้ข้าจะจดจำไว้!
หมิงเวยทำเป็นมองไม่เห็นนางทำความเคารพต่อผู้คุมกฎ “ขอบคุณผู้คุมกฎที่คืนความยุติธรรมให้เจ้าค่ะ”
ผู้คุมกฎมองนางอยู่นานเมื่อเห็นว่าคุณหนูตระกูลเหวินเดินจากไปไกลแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครมาจากไหน แต่ที่นี่คือสถานศึกษาหมิงเฉิง ไม่อนุญาตให้มีเรื่องทะเลาะกัน!”
หมิงเวยยิ้ม “อาจารย์โปรดวางใจ ข้ามีน้ำใจต่อผู้อื่นเสมอผู้ใดไม่ร้ายกับข้า ข้าก็ไม่ร้ายกลับเจ้าค่ะ”
ผู้คุมกฎพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินจากไป
เฉินเสวียอวี้รู้สึกกังวลเล็กน้อยหลังจากคิดเรื่องนี้อยู่สักพักนางก็พูดออกไปว่า “ต่อไปเจ้าหลีกเลี่ยงพวกนางหน่อยนะ อย่ามีเรื่องกันเลย”
หมิงเวยก้มหัวรับคำอย่างเชื่อฟัง “เจ้าค่ะ”
อีกด้านหนึ่งของกำแพง จี้เสียวอู่ได้ยินเช่นนั้นเขาก็โล่งใจ เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกายเขามีสีหน้างงงวย “จี้เหวย นั่นลูกพี่ลูกน้องของเจ้าหรือ นางปล่อยงูออกมากัดคนงั้นหรือ”
พูดจบก็ถูกจี้เสียวอู่ตบศีรษะ “ปล่อยงูออกมากัดคนอะไรกัน พวกนางใส่ความน้องข้าต่างหาก” แล้วเขาก็ตะโกนข้ามกำแพงไป
“เจ้าเลิกเรียนหรือยัง”
เสียงของหมิงเวยดังข้ามมา “พี่ห้าอยากกลับบ้านแล้วหรือ งั้นท่านไปรอข้าที่ประตูสถานศึกษาสิ”
“ผู้ใดรอเจ้ากัน!” จี้เสียวอู่พึมพำแล้วโบกมือให้พรรคพวกของตนเอง “ไป! เลิกเรียนแล้ว!” เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มดังห่างไกลออกไป หมิงเวยก็ก้มหน้าลง คนอื่นจากไปหมดแล้วเหลือซุนเว่ยเพียงคนเดียว ซุนเว่ยที่ยังคงตกใจกลัวจึงไม่กล้ามองนาง
“เมื่อครู่ทำได้ดีนี่ไม่พูดเรื่องข้าออกไป” ผู้ใดจะรู้ว่าซุนเว่ยที่ได้ยินประโยคนี้จะร้องไห้ออกมาเสียงดัง
“พวกนางไม่ปล่อยข้าไว้แน่ พวกนางไม่ปล่อยข้าแน่…”
“พวกนาง…” หมิงเวยถามด้วยความสนใจ “เจ้าหมายถึงพวกคุณหนูสามตระกูลเหวินน่ะหรือ”
ซุนเว่ยนั่งยองๆ บนพื้นแล้วขดตัวเป็นลูกกลมๆ นางกอดแขนตนเองด้วยท่าทางดูหวาดกลัว ไม่ว่าจะพูดอย่างไรซุนเว่ยก็เป็นบุตรสาวขุนนาง เหตุใดถึงมีท่าทางหวาดกลัวเช่นนี้ได้
หมิงเวยนั่งลงตามนางแล้วถามออกไป “พวกนางทำอะไรเจ้ากันแน่ถึงทำให้เจ้าหวาดกลัวเช่นนี้ เจ้าไม่ใช่หัวหน้าห้องหรอกหรือ อาจารย์ทั้งหลายคงไว้ใจเจ้ามาก พวกนางรังแกเจ้าทำไมเจ้าไม่ไปบอกอาจารย์ล่ะ”
“เจ้าไม่เข้าใจหรอก!” ซุนเว่ยตะโกนออกมา
หมิงเวยตบหัวนางเบาๆ “เพราะข้าไม่เข้าใจถึงได้ถามเจ้าไง!”
ซุนเว่ยตัวสั่นอยู่นานกว่าจะพูดออกมา “พวกนางจับข้ากดน้ำพอข้าเกือบหมดลมหายใจถึงดึงข้าขึ้นมาจากนั้นก็กดลงไปอีก…”
หมิงเวยเลิกคิ้วคุณหนูพวกนั้นเล่นกันโหดร้ายถึงเพียงนี้เลยหรือ นี่เป็นการทรมานที่ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ เลย
“ข้าก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น แต่พวกนางบอกว่าหากไม่เรียกเจ้าออกมา พวกนางจะ…ฮืออ…” ซุนเว่ยก้มหน้าร้องไห้
“แล้วทำไมเจ้าถึงได้มาเรียนอยู่ที่นี่ล่ะ ในเมื่อไม่ต้องเข้าสอบรับราชการ”
ซุนเว่ยเช็ดน้ำตาก่อนกล่าว “ครอบครัวของข้าเป็นบัณฑิตหากเข้าเรียนสถานศึกษาหมิงเฉิงแล้วถูกไล่ออกมาผู้อื่นจะมองอย่างไรกัน”
“….” หมิงเวยพูดไม่ออก นางป่วยหรือเปล่า ชื่อเสียงมันสำคัญเพียงนั้นเลยหรือ
พูดถึงเรื่องนี้ซุนเว่ยก็หนาวจนตัวสั่นระริก “พวกนางต้องคิดหาวิธีจัดการข้าเป็นแน่ ข้าจะทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี…”
หมิงเวยมองนาง “เดิมทีวันนี้เจ้าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ข้าจึงไม่อยากใส่ใจเจ้า แต่เห็นแก่เจ้าที่ตกอยู่ในสภาพน่าสงสารเช่นนี้ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ซุนเว่ยมองนางด้วยความแปลกใจ
หมิงเวยมองซ้ายมองขวาจากนั้นก็ลุกขึ้นหักกิ่งไม้ นางหยิบมีดเล่มเล็กออกมาแล้วลงมือทำนกหวีดแบบง่ายๆ นางใช้ท่านิ้วมือ ร่ายพลังและปิดผนึกพลังบางส่วนไว้ในนั้น
“เอ้า จากนี้ถ้าพวกนางรังแกเจ้าอีกให้เจ้าเป่าสิ่งนี้แล้วจะมีเซียนมาช่วยเจ้า จำไว้ว่าเจ้ามีโอกาสแค่สามครั้งเท่านั้น” ซุนเว่ยรับนกหวีดนั้นมาด้วยความมึนงง
หมิงเวยตบหัวนางเบาๆ “เจ้าอย่าได้ลองสุ่มสี่สุ่มห้าล่ะ ใช้หนึ่งครั้งโอกาสหมดไปหนึ่งครั้ง” พูดจบนางก็เดินออกจากสถานศึกษาไป
หมิงเวยหรี่ตามองพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน ซุนเว่ยเป็นหัวหน้ามีหน้าที่รับผิดชอบบันทึกพฤติกรรมนักเรียนในห้องหลังจากนี้หากต้องโดดเรียนโดยไม่ให้ครอบครัวรู้หมิงเวยคงปิดบังนางไม่ได้…
หมิงเวยเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปหาตัวฝูพบว่าร่างกายของตัวฝูนั้นสกปรก ผมเผ้ายุ่งเหยิง
“เจ้ากลิ้งบนพื้นไปกี่รอบหรือ”
“คุณหนู…” ตัวฝูดูขี้ขลาด
“พูดมาเถอะ” ตัวฝูเกือบจะร้องไห้ “บ่าวทำให้คุณหนูเดือดร้อน บ่าว บ่าวจัดการสาวใช้ของคุณหนูพวกนั้นแล้วเจ้าค่ะ…”
หมิงเวยจับคางอีกฝ่ายที่อีกนิดก็จะชิดอกขึ้นแล้วถามออกไป “เจ้าคงไม่จัดการพวกนางโดยไม่มีเหตุผล พวกนางตีเจ้าใช่หรือไม่” ตัวฝูพยักหน้าทั้งน้ำตา
หมิงเวยถอนหายใจแล้วลูบหัวนาง “เอาล่ะ ข้ารู้แล้วพวกเรากลับกันเถอะ”
ตัวฝูตกใจ “คุณหนู ไม่ ไม่เป็นไรใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“อืม” หมิงเวยชม “เจ้าจัดการได้ดีแล้ว” แล้วหมิงเวยก็พบจี้เสียวอู่ที่ประตูสถานศึกษา ทั้งสองพาตัวฝูกลับบ้านอย่างเชื่องช้า
“กลับมาแล้วขอรับ” จี้เสียวอู่ผลักประตูอย่างอ่อนแรง
จี้ฮูหยินที่กำลังสั่งให้ย้ายกระถางดอกไม้เจียดเวลาหันมามองพวกเขาแล้วนางก็จ้องจี้เสียวอู่ด้วยแววตาดุร้าย
“จี้เสียวอู่! เจ้าไปทะเลาะกับผู้อื่นมาอีกแล้วหรือ”
จี้เสียวอู่ตบเสื้อผ้าที่สกปรกของตนอย่างใจเย็น “เปล่านะขอรับ! แค่ฝุ่นเล็กน้อยเท่านั้น”
“ยังจะมาเล่นลิ้นอีก!” จี้ฮูหยินคว้าคอเสื้อเขา “นี่คืออะไร เลือดของผู้ใดกัน”
จี้เสียวอู่ก้มลงมองแล้วรู้สึกว่าท่าไม่ดีแล้ว นี่คือเลือดกำเดาของจ้าวต้าที่เปื้อนโดยไม่ตั้งใจ! ขณะที่สมองยังงุนงงเขาก็โพล่งออกไปว่า “ข้าไม่ได้ทะเลาะอยู่คนเดียวนะ น้องหญิงก็มีเรื่องทะเลาะตบตีด้วย!”
จี้ฮูหยินเหลือบมองเสื้อผ้าที่เป็นระเบียบเรียบร้อยของหมิงเวยก็ยิ่งโมโห
“เจ้าทำให้ข้าหมดห่วงหน่อยไม่ได้เลยหรือ ตัวเองก่อเรื่องแล้วยังลากน้องเข้าไปเกี่ยว ละอายใจบ้างหรือไม่”
จี้เสียวอู่พูดออกไปตามสัญชาตญาณผ่านไปสักพักเขาแทบจะตบหน้าตนเอง รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรมารดาก็ไม่เชื่อเขาจะพูดออกไปให้ตนเองถูกด่ามากกว่าเดิมทำไมกัน
……………