คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 222 สนทนายามค่ำคืน
หมิงเวยมองหนิงซิวที่อยู่ตรงหน้า ตั้งแต่บทเพลง วรยุทธ์ กฎของอาจารย์ พวกเขาสองคนต้องมีความสัมพันธ์บางอย่างด้วยกันแน่นอน แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าหนิงซิวเป็นคนน่าเชื่อถือได้
หมิงเวยคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็วจนได้ความคิดหนึ่งขึ้นมา นางมองหนิงซิวแล้วพูดขึ้นมาช้าๆ ว่า “ข้าคือปรมาจารย์แห่งชีวิต”
หนิงซิวเลิกคิ้วเล็กน้อยดูเหมือนจะสงสัยงงงวย “ปรมาจารย์แห่งชีวิตงั้นหรือ”
หมิงเวยถาม “ท่านเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่”
หนิงซิวส่ายหน้า หมิงเวยไม่สามารถพูดออกไปได้ว่าตนผิดหวัง
นางยังคิดว่าถ้าหนิงซิวและท่านอาจารย์มีความเกี่ยวข้องกันแล้วเขาเป็นอาจารย์อาวุโสของนาง หากนางพูดคำนี้ออกไปก็อาจได้เจอคนใกล้ชิด
แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่
“แม่นาง ตกลงท่านมีที่มาอย่างไรกันแน่” หนิงซิวถามอีกครั้ง
หมิงเวยทิ้งความรู้สึกผิดหวังออกไปและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์นามเทียนซ่วนจื่อ…”
“แล้วอย่างไรอีก”
หมิงเวยประชดตนเองนางยักไหล่ “นอกเหนือจากนั้นไม่มีอะไรจะพูดก็เหมือนกับอาจารย์ของท่าน ท่านอาจารย์เป็นชาวยุทธภพที่ร่อนเร่ไปทุกหนแห่ง หากอาจารย์หนิงไม่เคยได้ยินข้าก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร” หนิงซิวจ้องมองหมิงเวยราวกับว่ากำลังมองหาความน่าเชื่อถือจากคำพูดของนาง
มองไปสักพักเขาก็หันไปถามหยางชู “พวกท่านรู้จักกันมานานแค่ไหนแล้ว”
หยางชูกลอกตา “ท่านรู้พื้นเพของนางแล้วยังต้องถามอีกหรือว่าพวกข้ารู้จักกันได้อย่างไร”
เห็นเขาร้องโอดโอยราวกับแมวที่กำลังโกรธ หนิงซิวจึงหันกลับไปถามหมิงเวยต่อ “วรยุทธ์ของท่านเป็นสิ่งที่อาจารย์ของท่านถ่ายทอดให้ใช่หรือไม่”
หมิงเวยตอบอย่างใจเย็น “ใช่เจ้าค่ะ”
“ข้าถามได้หรือไม่ว่าวิชาคลื่นเสียงของท่าน ท่านฝึกอย่างไร ทักษะบางอย่างที่ท่านใช้แม้แต่ข้าเองก็ยังเพิ่งบรรลุ”
หมิงเวยตอบอย่างไม่เขินอาย “ท่านอาจารย์บอกว่าพรสวรรค์ของข้าเหนือกว่าคนทั่วไปจึงเรียนรู้ได้เร็ว”
“….”
หมิงเวยพูดอีกว่า “ท่านเองก็เห็นว่ากำลังภายในของข้าไม่เพียงพอก็คงรู้แล้วว่าระยะเวลาฝึกฝนของข้ายังไม่มาก”
หนิงซิวครุ่นคิดแต่ก็ไม่พบข้อบกพร่องอะไรโชคดีที่เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้คุณหนูเจ็ดเป็นเด็กโง่เขลาไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ปล่อยผ่านไปอย่างแน่นอน
หยางชูที่ฟังทั้งสองคนพูดกันมานานแล้วก็หมดความอดทน เขาเคาะโต๊ะ “พอหรือยัง ท่านถามนางไปหมดแล้วจะไปได้หรือยัง”
หนิงซิวตอบอย่างไม่ใส่ใจ “วันนี้ที่ข้ามาพบท่านแค่อยากมาบอกว่าพบเบาะแสเกี่ยวกับบิดาท่านแล้ว แต่ดูเหมือนท่านจะอารมณ์ไม่ค่อยดี…”
“ท่านสืบพบอะไรงั้นหรือ” หยางชูลุกขึ้นยืน “รีบบอกมาเร็วๆ เข้า!”
หนิงซิวถาม “ไม่ไล่ข้าแล้วหรือ”
“….” หยางชูพูดอย่างไว้ท่าที “ขอโทษท่านด้วย”
หมิงเวยเห็นคำว่าพอใจบนใบหน้าไร้อารมณ์ของหนิงซิว แล้วเขาก็ชำเลืองมองนาง
“นางรู้งั้นหรือ”
ความพึงพอใจของหนิงซิวเพิ่มขึ้นทันที เขาคิ้วขมวด แต่ในที่สุดก็พูดออกไปตรงๆ ว่า “ท่านบอกว่าตอนนั้นบิดาท่านอยู่นอกเมืองเพื่อไปเชิญย่าของท่านกลับมาใช่หรือไม่” หยางชูพยักหน้า
“ปัญหาอยู่ที่ตรงนี้ข้าไปสืบที่จวนหลังนั้นพบว่าในตอนนั้นย่าของท่านล้มป่วยซึ่งปู่ของท่านก็คอยดูแลอยู่ข้างกายตลอดเวลาแล้วพวกเขาก็ไม่ได้กลับไปที่เมืองหลวงจนกระทั่งสามวันหลังจากเกิดเรื่องขึ้น”
หยางชูตกตะลึง “แล้วอย่างไรต่อ”
“ข้าจำได้ว่าตอนนั้นย่าของท่านส่งคนไปคุ้มครองซือฮว๋ายไท่จื่อใช่หรือไม่”
หยางชูพยักหน้าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่บันทึกเอาไว้
“ในเมื่อปู่ย่าของท่านยังอยู่ในจวน ผู้ใดควรเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะบัญชาการแทนนาง”
ได้ยินความนัยที่เขาเอ่ยถึงเสร็จสีหน้าของหยางชูซีดลง
หนิงซิวพูดต่อว่า “ปู่ย่าของท่านมีบุตรชายสองคน บุตรชายคนโตซึ่งก็คือลุงของท่านเกิดมาร่างกายอ่อนแอแทบจะไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธ์ เพราะฉะนั้นความหวังของพวกเขาตกไปอยู่ที่บิดาของท่านซึ่งถูกสั่งสอนมาอย่างเคร่งครัดตั้งแต่ยังเด็ก ภายใต้สถานการณ์นี้ท่านคิดว่าความเป็นไปได้ที่บิดาของท่านขี่ม้ากลับเมืองหลวงและตกจากหลังม้าจนได้รับบาดเจ็บมีมากน้อยเท่าไรกัน”
หยางชูปากสั่นเขามองอีกฝ่ายและพูดออกมาด้วยความยากลำบากว่า “ท่านจะบอกว่าเวลานั้นท่านพ่อไป…”
“ไปคุ้มครองซือฮว๋ายไท่จื่อ” หนิงซิวต่อประโยคหลังแทนเขา “องค์ชายทั้งสามต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ ซือฮว๋ายไท่จื่อถูกขับไล่ไปที่อี้โจว แต่เดินทางไปได้ครึ่งทาง ฮ่องเต้องค์ก่อนรู้สึกตัวขึ้นมาก็ส่งคนไปรับพระองค์กลับเมืองหลวง ผู้ใดจะรู้ว่าได้พบโจรระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวงเล่า ทุกคนที่นั่นพบเจอกับอันตราย และหลังจากเกิดเรื่องขึ้น ฉินอ๋อง จิ้นอ๋องถูกตัดสินว่ามีความผิดโทษฐานแสร้งเป็นโจร”
เห็นได้ชัดว่าสาเหตุการตายนี้สมเหตุสมผลและเหมาะสมกว่าการตกจากหลังม้าเป็นไหนๆ มีเพียงหยางชูที่ยังไม่เข้าใจ
“ซือฮว๋ายไท่จื่อกลับคำพิพากษา ถ้าท่านพ่อของท่านตายด้วยเหตุผลนี้ก็ไม่มีใครพูดอะไรได้มิใช่หรือ แล้วเหตุใดองค์หญิงหมิงเฉิงถึงไม่แจ้งสาเหตุการตายที่แท้จริงให้ท่านได้รับรู้กัน” หมิงเวยพูดประโยคนี้ทำให้หนิงซิวเลิกคิ้ว
“ตรงจุดนี้แปลกจริงๆ”
พูดเสร็จก็หันไปหาหยางชูอีกรอบ “เรื่องที่ท่านให้ข้าตรวจสอบ มีแค่สาเหตุการตายของบิดาท่านจริงหรือ หากไม่ชี้แจงข้าคงไม่สามารถจับประเด็นสำคัญได้และอาจไม่ค้นพบสิ่งที่ท่านต้องการ”
เมื่อมองหนิงซิวที่อยู่ตรงหน้าหยางชูก็รู้ว่าตนเองได้ทำผิดพลาดไปแล้ว
ก่อนหน้าเขาจงใจโยนเรื่องนี้ไปให้เพื่อที่จะไล่หนิงซิวออกไป แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นอีกฝ่ายคว้าโอกาสนี้สอดแนมความคิดที่แท้จริงของเขา
สิ่งที่เขาต้องการตรวจสอบไม่ใช่แค่สาเหตุการตายของบิดาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความลับในตัวตนของเขาที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของบิดาซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจ้าวอ๋องตั้งแต่ต้นหรือไม่ มารดาของเขามีความสัมพันธ์กับเขาจริงหรือไม่ แล้วตกลงเขาเป็นบุตรของใครกันแน่
แต่จะให้เขาบอกหนิงซิวทุกเรื่องอย่างตรงไปตรงมาเขาก็ไม่ยินดี…
ในสถานการณ์ที่อธิบายไม่ได้เช่นนี้จะให้เขามายุ่งเรื่องของตนได้อย่างไรพูดไปก็เหมือนเขายอมรับความพ่ายแพ้…
หมิงเวยมองเขาแล้วมองหนิงซิวจากนั้นก็ยิ้ม “งั้นข้าพูดแทนแล้วกัน”
“เดี๋ยว!” หยางชูตื่นตระหนก
หมิงเวยไม่สนใจนางตอบหนิงซิวไปว่า “สิ่งที่เขาต้องการสืบไม่ได้มีแค่สาเหตุการตายของนายท่านสองตระกูลหยางเท่านั้น แต่เขาอยากรู้ว่าในอดีตตระกูลของตนมีความคับข้องใจอะไรหรือไม่ เหตุใดองค์หญิงหมิงเฉิงกับโป๋วหลิงโหวถึงได้ด่วนจากไปกะทันหันซึ่งเขาทำใจรับเรื่องนี้ไม่ได้”
หนิงซิวไม่สงสัยเลยสักนิด “อย่างนี้นี่เองเรื่องนี้แปลกไปจริงๆ ท่านอาจารย์กับองค์หญิงติดต่อกันทางจดหมายตลอดเวลา พวกเขาตกลงกันว่าก่อนนางจากโลกนี้ไปจะส่งท่าน…”
“เดี๋ยวก่อน!” หยางชูได้ยินอะไรสักอย่าง “จะส่งข้าไป เกิดอะไรขึ้น” หนิงซิวปิดปากสนิท
“ท่านพูดมาสิ!”
หนิงซิวถอนหายใจ “ท่านคิดว่าข้ามาหาท่านที่เมืองหลวงทำไมกัน จะว่าไปท่านกับท่านอาจารย์ผูกพันกันเพียงไม่กี่เดือน และเวลาก็ล่วงเลยไปสิบปีแล้ว แต่ความจริงแล้วองค์หญิงหมิงเฉิงขอร้องท่านอาจารย์มาตลอดว่าหากนางจากไปแล้วให้ช่วยคุ้มครองท่านด้วยถึงได้รักษาสถานะลูกศิษย์และอาจารย์เอาไว้”
“….”
“องค์หญิงหมิงเฉิงจากไปอย่างกะทันหันโดยไม่ทิ้งอะไรไว้ ในตอนนั้นท่านอาจารย์บอกข้าว่าจะไปที่เมืองหลวงสักครั้งเพื่อดูว่าท่านเป็นอย่างไร แต่ในตอนนั้นสุขภาพของท่านอาจารย์ไม่ดีเอามากๆ ไม่สามารถเดินทางได้…” เขามองหยางชู ใบหน้าหล่อเหลาไร้อารมณ์จนยากที่จะแสดงความอ่อนโยนออกมา “ทำให้ท่านทุกข์ทรมานเสียแล้ว”
หยางชูหันหน้าไปทางอื่นเพื่อซ่อนใบหน้าของตนเองภายใต้เงามืด ผ่านไปนานกว่าจะพูดว่า “มาพูดตอนนี้จะได้ประโยชน์อะไร”
หนิงซิวยิ้มบางๆ “ตอนนี้ท่านอาจารย์จากไปแล้ว ก่อนท่านอาจารย์จะจากไปยังกังวลเรื่องท่าน ข้าเลยต้องมาที่นี่ ในเมื่อท่านสงสัยสาเหตุการตายขององค์หญิงหมิงเฉิง ข้าจะช่วยท่านสืบหาความจริง หลังจากนี้หากมีเรื่องอะไรท่านพูดกับข้าโดยตรงได้เลย พวกเราเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันไม่มีอะไรที่คุยกันไม่ได้”
หนิงซิวไม่ใช่คนที่แสดงความอ่อนโยนอะไร แต่กลับติดตามเขาไปทุกที่ หยางชูอดใจเต้นไม่ได้…
“เดี๋ยวนะ!” จู่ๆ เขาก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าท่านย่าคิดจะส่งข้าออกไปหมายความว่าอย่างไร” เกือบจะถูกความอ่อนโยนของเขาทำให้มองข้ามเรื่องนี้ไปเสียแล้ว!
…………