คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 280 อันอ๋อง
เหยื่อล้มลงกับพื้นทีละตัวด้วยลูกธนู เสี่ยวถงซึ่งสวมชุดขี่ม้าปรบมือด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คุณชายเก่งมาก!”
หยางชูโยนคันธนูและลูกธนูไปให้อาสวนอย่างเกียจคร้านและพูดว่า “ไม่ใช่กระต่ายหน้าโง่ก็กวางหน้าโง่ ไม่น่าสนใจเลยสักนิดพวกเจ้าล่ากันไปเถอะ”
ทุกคนคุ้นเคยกับลักษณะนิสัยของคุณชายจึงทิ้งองครักษ์คอยคุ้มกันไม่กี่คน ส่วนอีกสี่คนออกไปล่าสัตว์ต่อ
“อาหว่าน ข้าอยากดื่มชา!” ดังนั้นองค์รักษ์จึงปูที่นอนลงบนพื้นและวางเบาะรองนั่ง จากนั้นก็เริ่มจุดเตา
หยางชูพูดอีกว่า “ข้าหิวแล้วย่างกระต่ายมาให้ทานหน่อย”
เสี่ยวถงยกมืออย่างดีใจ “บ่าวเองเจ้าค่ะ บ่าวนำเครื่องปรุงรสมาพอดีเลยเจ้าค่ะ!”
องครักษ์เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จก็ไปนำสัตว์ที่ล่ามาได้ไปแล่หนังที่แม่น้ำให้สะอาด เสี่ยวถงตามไปด้วยจึงเหลือเพียงอาสวนที่คอยอารักขา และอาหว่านที่กำลังชงชา
หยางชูเอนตัวลงบนเบาะเขาหลับตาลงและพูดว่า “เหนียงเหนียงบอกว่าครั้งนี้ต้องจัดการเรื่องหมั้นหมายให้ข้าพวกเจ้าคิดว่าเป็นตระกูลใดกัน”
อาหว่านเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วตอบด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง “แน่นอนว่าต้องเป็นตระกูลหลูเจ้าค่ะ ฮูหยินซื่อจื่อไปเยี่ยมเยียนอยู่หลายรอบครั้งล่าสุดก็จงใจติดตามโหวฮูหยินเข้าวัง ดูก็รู้ว่าตระกูลนี้เป็นอย่างไรคงคิดจะบีบบังคับคุณชายเป็นแน่”
หยางชูหัวเราะ “ตระกูลหลูน่ะหรือชื่นชอบข้า! พี่สะใภ้ไม่เต็มใจยกน้องสาวให้ข้าหรอก เกรงว่าอาจเป็นญาติห่างๆ ของนางที่เต็มใจแต่งงานด้วยเพราะเงิน” พูดแล้วก็ลูบคางตนเอง “อาจเป็นตระกูลเหลียงลูกพี่ลูกน้องฝั่งมารดา”
อาหว่านเลิกคิ้ว “ตระกูลเหลียงไม่มีแม้แต่ตำแหน่งราชการ อาศัยเกาะขุนนางขั้นห้ากิน ยังกล้าเพ้อฝันคิดเกี่ยวดองกับคุณชายอีกหรือเจ้าคะ”
หยางชูหัวเราะ “ในสายตาของนางข้าเป็นบุตรนอกสมรส ไม่มีคุณสมบัติที่จะอาศัยอยู่ในจวนโป๋วหลิงโหวด้วยซ้ำ มีตระกูลขุนนางขั้นห้าเต็มใจออกเรือนกับข้านับว่าดีเท่าไรแล้ว อืม…ไม่แน่ว่าลูกพี่ลูกน้องของนางคงใจกว้างไม่สนใจดวงกินภรรยาของข้า!”
อาสวนครุ่นคิดแล้วพูดว่า “นี่เป็นสิ่งที่ฮูหยินซื่อจื่อจัดการขึ้นจริงๆ ก่อนหน้านี้นางกลับบ้านเกิดและได้ติดต่อกับตระกูลเหลียงอยู่หลายครั้งขอรับ”
หยางชูลูบฝ่ามือ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องวิ่งหาข่าวอะไรแล้ว”
อาสวนพูดอีกว่า “แต่กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงไม่น่าเต็มใจ แม้จะไม่สนใจเรื่องชาติตระกูลแต่ตระกูลเหลียงก็ไม่น่าเป็นไปได้ ข้าน้อยคิดว่าเหนียงเหนียงอาจให้คุณชายดองกับตระกูลเผย”
ตระกูลเผยเป็นตระกูลของเผยกุ้ยเฟยเป็นตระกูลฝั่งมารดาของหยางชู
ในด้านชาติตระกูล ตระกูลเผยไม่ได้ต่ำต้อยเลย มีชื่อเสียงมานานกว่าหนึ่งศตวรรษ หากมองแล้วดูรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าราชวงศ์เสียอีก ในตอนนั้นฮ่องเต้ไท่จู่สู่ขอบุตรสาวตระกูลเผยให้หลานชายคนโตด้วยตนเอง
ทุกวันนี้ตระกูลเผยมีลูกหลานจำนวนไม่น้อยเป็นขุนนางในราชสำนัก ความรุ่งโรจน์ของพวกเขายังคงเหมือนเดิม แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขากับเผยกุ้ยเฟยและหยางชูนั้นบางเบามาก
ฮ่องเต้พยายามแต่งตั้งเผยกุ้ยเฟยเป็นฮองเฮาอยู่หลายครั้ง แต่ตระกูลเผยแสร้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ ไม่ค่อยกระตือรือร้นในเรื่องของหลานชายอย่างหยางชูและไม่ค่อยมีการติดต่อกัน
อาหว่านพูด “ตระกูลเผยก็ไม่เลวนะเจ้าคะ”
หยางชูตอบ “แต่น่าเสียดายที่เป็นไปไม่ได้”
“เพราะอะไรหรือเจ้าคะ” อาหว่านไม่เข้าใจ
“เพราะครั้งนี้ฝ่าบาทคิดต่างกับเผยกุ้ยเฟย” ดวงตาของเขามืดลง “ข้าคิดว่าฝ่าบาทต้องการให้บุตรสาวตระกูลเผยได้ตำแหน่งไท่จื่อเฟย”
หยางชูคิดว่าก่อนหน้านี้เขาช่างตาบอดเสียจริง เขามักรู้สึกว่าฮ่องเต้ปฏิบัติต่อเขาดีกว่าไท่จื่อทำให้เขาไม่เคยคิดถึงความแตกต่างนี้เลย
พระองค์เข้มงวดกับไท่จื่อบอกว่าทุกอย่างเป็นงานราชการ ไม่เกี่ยวกับการปลูกฝังความสามารถของไท่จื่อในการปกครองแผ่นดิน ดูจากผู้ใต้บังคับบัญชาในตำแหนักตงกงแล้วมีผู้ใดไม่ใช่คนเก่งกาจบ้าง เรื่องการเลือกพระชายาก็ต้องเลือกสตรีที่ดีที่สุดให้ไท่จื่ออยู่แล้ว
แล้วเขาล่ะ ปกติเป็นที่โปรดปรานอันไหนดีก็ให้เขาเลือกก่อนไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็คอยปกป้องอยู่เสมอ การปล่อยวางเช่นนี้ถือเป็นการทำลายความสามารถด้วยการยกย่องที่มากเกินไป ตอนนี้เขากับไท่จื่อต้องแต่งภรรยาแค่นี้ก็สามารถเห็นความต่างได้อย่างชัดเจน
เขาไม่ใช่สายเลือดของฮ่องเต้จริงๆ ข้อสรุปนี้เขาทั้งดีใจทั้งเศร้าใจ
อาสวนพูดอย่างใจเย็น “น่าเสียดายที่ไท่จื่อโปรดปรานตระกูลหลู่ทำลายความตั้งใจของฝ่าบาทเสียได้”
หยางชูไม่อยากพูดถึงคนงี่เง่าผู้นั้น เขาจะแต่งกับผู้ใดก็ไม่เกี่ยวข้องกับตน สิ่งที่ตนสนใจในตอนนี้คือล้มเรื่องการแต่งงานของตนเอง
หลังจากไตร่ตรองอยู่พักหนึ่งหยางชูกล่าวว่า “พวกเจ้าไปตรวจสอบตำแหน่งของอันอ๋อง”
อันอ๋องคือพระนามอิสริยศักดิ์ขององค์ชายสาม ปีนี้เขามีอายุสิบเจ็ดปี วันนี้นอกจากการเลือกพระชายาของไท่จื่อแล้วยังจัดการเรื่องงานแต่งงานของอีกฝ่ายด้วย
อาสวนตกใจเขาลดเสียงลง “คุณชาย! เรื่องในอดีตปล่อยวางไปเถอะขอรับ ท่านไม่สามารถล่วงเกินอันอ๋องได้อีกแล้วนะขอรับ”
บุตรของฮ่องเต้ที่เติบใหญ่ทั้งสาม ไท่จื่อกับเขามีเรื่องผิดใจกัน ซิ่นอ๋องเป็นพวกเดียวกับไท่จื่อ ส่วนอันอ๋องนั้นเนื่องจากอายุของพวกเขาสองคนห่างกันไม่มาก ตอนเด็กจึงมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ่อยเพียงแต่หลังจากนั้นหยางชูอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ อยู่แต่ในจวนไม่ออกไปไหนต่อมาก็ได้รับตำแหน่งในหวงเฉิงซือจึงมีการติดต่อน้อยลงความสัมพันธ์อันตึงเครียดก็น้อยลงด้วย
จากมุมมองของอาสวนการคลี่คลายความสัมพันธ์กับไท่จื่อก็ลำบากพอสมควรแล้ว ถ้าเขายังไปล่วงเกินอันอ๋องอีกในอนาคตจะไม่ลำบากเอาหรือ
หยางชูพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากต้องล่วงเกินให้ข้าอยู่อย่างสงบไม่ได้ พวกเราคงอยู่ร่วมกันยาก!”
…………
เสียงหัวเราะของเหล่าเด็กสาวดังก้องไปทั่วทุ่งหญ้า หมิงเวยขี่ม้าตามหลังพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยหูฟังพวกนางพูดคุยกันอย่างออกรส
“เร็วๆๆ ล้อมมันไว้!”
“อย่าปล่อยให้หนีไปได้!”
“ไอหยา พวกเรากระจายกันออกไปหน่อยแบบนี้ไล่ตามไปไม่ได้แน่”
“มันเป็นของข้า พวกเจ้าห้ามแย่งนะ!”
จู่ๆ หมิงเวยก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างนางหันไปมองอีกทางหนึ่ง
กวางตัวอ้วนออกมาจากพุ่มไม้และวิ่งเข้าไปในวงล้อมของพวกนางอย่างโง่เขลา
เว่ยเสี่ยวอันร้องอย่างดีใจ “กวาง! ข้าจะยิงมัน!”
ฟางจิ่นผิงไม่ยอมแพ้ “ข้าก็จะยิง!”
“ผู้ใดยิงได้เป็นของคนนั้น”
“ได้! กลัวที่ไหนล่ะ!” สองสาวควบม้าไล่ตามไปผ่านไปสักพักพวกนางก็วิ่งออกไปไกลเสียแล้ว แต่แล้วเว่ยเสี่ยวอันก็ร้องเสียงดัง นางล้มลงกับพื้นเสียงดัง ‘ตุบ’
บ่าวรับใช้ตระกูลเว่ยตกใจและรีบวิ่งเข้าไปหา หมิงเวยกับซุนเว่ยก็รีบตามไปอย่างรวดเร็ว
“คุณหนู!”
“พวกเจ้าทำอะไร”
“นั่นเป็นกวางของข้านะ! ข้าเพิ่งยิงมันได้!”
“บังอาจนัก ท่านผู้นี้คืออันอ๋อง!”
เมื่อหมิงเวยไล่ตามมาถึงสิ่งที่นางเห็นคือเว่ยเสี่ยวอันซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากสาวใช้และเหล่าองครักษ์ที่ชักกระบี่ออกจากฝัก
หมิงเวยไปหาเว่ยเสี่ยวอันก่อน เมื่อเห็นว่านางกำลังลูบเท้าตนเองโดยไม่แสดงอาการเจ็บปวดบนใบหน้าหมิงเวยจึงรู้สึกโล่งใจ
นางหันกลับไปดูอีกฝ่ายผู้ที่ถูกล้อมรอบด้วยองครักษ์คือเด็กหนุ่มในชุดขี่ม้าสวมกวานอันสูงส่ง
เด็กหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีผู้มีใบหน้าน่ามอง มีกระเล็กน้อยและยังมีกลิ่นอายของความเป็นเด็กอยู่ ท่าทางของเขาดูค่อนข้างหยิ่งผยองและเย่อหยิ่ง
หมิงเวยเลิกคิ้ว
อันอ๋อง องค์ชายสาม เขาคือหลิงตี้ในอนาคต ผู้ริเริ่มทำให้แคว้นฉีเหนือล่มสลาย!
นางมาถึงเมืองหลวงยังไม่เคยพบอันอ๋องอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตามบุคคลนี้ถูกนางลบออกจากรายชื่อผู้สืบทอด และเมื่อได้พบหน้ากันนางไม่รู้สึกว่ามีอะไรพิเศษเลย
ใช่ ตอนนี้เขาเป็นองค์ชายธรรมดา สถานะของมารดายังไม่ชัดเจน ก่อนหน้านี้ถูกเสียนเฟยรับเป็นบุตรบุญธรรมหลังจากที่เสียนเฟยจากไปก็ไม่มีผู้ใดสนใจเขา
มีไท่จื่อกับซิ่นอ๋องอยู่ ผู้ใดจะไปสนใจเขาที่เป็นเสียนอ๋องผู้ไม่มีอะไรกันเล่า อย่างไรก็ตามผู้ที่หัวเราะเป็นคนสุดท้ายก็คือเขาอยู่ดี
………