คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 350 ปลอมตัว
แสงสีทองกระโจนออกมาจากอาคารสูงพระอาจารย์ช่างจื้อรีบวิ่งหนีเอาชีวิตรอด กลางดึกเป็นเขาที่ไล่ตามหมิงเวย ตอนนี้กลับกันเป็นหมิงเวยไล่ตามเขา
เขาไม่ร้องเรียกคนเลยเพราะรู้ว่าจะเป็นการรบกวนคนเหล่านั้น และก็ไม่แน่ว่าจะจับนางได้ด้วยจะดีกว่าถ้าฝากความหวังไว้ที่เอินกง และบางทีเขาอาจจะยังไปไม่ไกลจากที่นี่
หมิงเวยกำลังจะตามเขาทัน ทันใดนั้นก็มีลมแรงพัดมาขวางทางนาง
ทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วหลายครั้งจนกระทั่งทั้งสองฝ่ายต่างถอยกลับ
ภายใต้แสงจันทร์ทั้งสองมองหน้ากันอย่างระมัดระวัง พระอาจารย์ช่างจื้อถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเดินกลับไปหาบุรุษชุดดำโค้งคำนับ “เอินกง”
บุรุษชุดดำไม่สนใจเขาเพียงจ้องมองไปที่หมิงเวย
ผ่านไปสักพักเขาก็เปิดปากพูดว่า “ยืนมองภูเขาทั้งสามที่อยู่ไกลออกไปยังคงสูงตระหง่านอยู่เหนือท้องฟ้าสีคราม”
รหัสลับคู่งั้นหรือ
หมิงเวยยิ้มเยาะ “ขออภัยข้าไม่รู้ประโยคถัดไป”
สีหน้าของบุรุษชุดดำดูแปลกใจมาก “ท่าน…”
ตอนที่ทั้งสองประมือกันเขามีความรู้สึกคุ้นเคย แต่อีกฝ่ายยังเด็กเกินไปที่จะเป็นคนที่เขารู้จักเลยลองใช้รหัสลับดู ผู้ใดจะรู้ว่านางจะพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้กัน
หากนางเป็นตัวจริงก็ต้องรู้รหัสลับหากไม่ใช่ก็ไม่ควรมีปฏิกิริยาเช่นนี้
“ท่านเป็นผู้ใดกันแน่”
“อาจารย์ไม่เคยสอนท่านหรือว่าก่อนที่จะถามชื่อผู้อื่นต้องแนะนำตัวเองก่อน” หมิงเวยเงยหน้าขึ้นมองเขาท่าทางราวกับเด็กสาวที่ถูกตามใจจนเหลิง นางทำตัวเช่นนั้นทำให้บุรุษชุดดำยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก
ด้วยช่วงวัยนี้แล้วยังเป็นยอดฝีมือเช่นนี้จะต้องเกิดในตระกูลที่สูงศักดิ์ ท่าทางเช่นนี้สอดคล้องกับลูกศิษย์ที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงในภาพจำของเขาดังนั้นการตอบสนองของนางแปลกเกินไป
บุรุษชุดดำพูดอย่างเคร่งขรึม “ท่านมีสัญลักษณ์ยืนยันตัวตนอยู่กับตัว แต่ไม่สามารถจับคู่รหัสลับได้ข้าจึงได้แต่มองว่าท่านเป็นหัวขโมยที่ขโมยสัญลักษณ์ไป!”
หมิงเวยได้ยินประโยคนี้สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปนางตอกกลับอย่างไม่ลังเล “ข้าเป็นผู้สืบทอดปรมาจารย์แห่งชีวิตเหตุใดถึงกลายเป็นหัวขโมยไปได้ ของสิ่งนี้ข้าไม่ต้องการเสียหน่อย!”
หลังจากนั้นนางก็หยิบแผ่นเหล็กออกมาแล้วโยนทิ้ง บุรุษชุดดำเหยียดมือออก และสัมผัสสัญลักษณ์ยืนยันตัวตนของหนูซูรีซูรื่อฉู่ เขาสับสนมากยิ่งขึ้น
“ท่านได้ของสิ่งนี้มาจากที่ใด ซูรื่อฉู่ล่ะ”
“ตายแล้ว” หมิงเวยพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ตายแล้วงั้นหรือ” บุรุษชุดดำสัมผัสได้ถึงคลื่นที่ออกมาจากสัญลักษณ์ยืนยันตัวตน “เป็นไปไม่ได้หากเขาตายแล้วคลื่นไม่ควรรุนแรงเช่นนี้”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร” หมิงเวยหัวเราะเสียงเย็น “มันแปลกไปหมด ช่างเป็นหนูที่มีคุณภาพจริงตรงกับชื่อเสียงที่ได้รับ”
บุรุษชุดดำเงียบไป มีเพียงสองวิธีในการรักษาคลื่นผันผวนบนสัญลักษณ์ยืนยันตัวตนนี้ หนึ่งคือองค์กรประทับตราตอนนี้ สองคือถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นหากซูรื่อฉู่ตายนั่นหมายความว่ามีซูรื่อฉู่คนใหม่ปรากฏขึ้นแล้ว หรือจะเป็นเด็กสาวตรงหน้า ดูจากพลังของนางแล้วก็มีความเป็นไปได้อยู่ แต่นางไม่รู้รหัสคู่
“ท่านรู้จักตำหนักดวงดาวหรือไม่” เขาถาม
“ข้าไม่รู้จัก” หมิงเวยตอบทันที และพูดต่อโดยไม่รอให้อีกฝ่ายถามอีก “สิ่งที่ท่านพูดมาข้าไม่รู้ทั้งหมด ในเมื่อท่านมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งนี้ข้าก็คืนให้ท่าน อย่างไรเสียข้าก็ไม่คิดเข้าไปยุ่งด้วยหรอกนะ!” ยิ่งนางพูดเช่นนั้นบุรุษชุดดำยิ่งไม่กล้าปล่อยนางไป
“ไม่ได้! ท่านยังบอกที่มาไม่ชัดเจนข้าจึงต้องมองท่านเป็นศัตรู”
หมิงเวยแค่นหัวเราะ “งั้นท่านก็มองไป! ข้าจะดูว่าท่านมีปัญญาจับข้าได้หรือไม่!”
“….” บุรุษชุดดำไม่รู้จะพูดอะไรอยู่ครู่หนึ่งหากจับได้โดยง่ายเขาจะมาถามดีๆ อะไรเช่นนี้หรือ ตอนที่อีกฝ่ายไม่สามารถตอบรหัสคู่ได้เขาคิดจะใช้วิธีโหดร้ายแล้ว
ใช้กำลังแก้ไขไม่ได้โกรธไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาจมอยู่กับความคิดหวนนึกถึงการสนทนาระหว่างทั้งสองคนอย่างระมัดระวังแล้วพูดว่า “ท่านบอกว่าท่านเป็นผู้สืบทอดปรมาจารย์แห่งชีวิตเหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“มีหลายสิ่งบนโลกนี้ที่ท่านไม่รู้” นางพูดอย่างประชดประชันราวกับไม่ยินดีที่ถูกผู้อื่นมองเป็นคนไม่ปกติ “เคยได้ยินผู้บำเพ็ญพรตประพฤติรักษาพรหมจรรย์หรือไม่”
“แน่นอนว่าข้ารู้”
“แล้วหนิงจวินล่ะ”
“เคยได้ยิน”
“ถ้าเช่นนั้นท่านต้องรู้ว่าหนิงจวินมีสมญานามว่าปรมาจารย์แห่งชีวิต”
บุรุษชุดดำกำลังครุ่นคิดอย่างหนักความวุ่นวายในเป่ยหมางเมื่อสามร้อยปีก่อนได้รับการบันทึกอย่างไรก็ตามเอกสารทางประวัติศาสตร์จำนวนมากได้สูญหายไปหลังสงคราม
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ดูเหมือนว่าเสวียนเหมินมอบชื่อนี้เพื่อระลึกถึงเขา”
“ไม่ใช่แค่ระลึกถึง แต่ปรมาจารย์แห่งชีวิตมีการสืบทอด” หมิงเวยพูดด้วยความไม่พอใจ “เราแค่ไม่ปรากฏตัวในยุทธภพเป็นเวลานาน ท่านเพียงแค่ไม่รู้ อย่างไรข้าก็ได้สืบทอดตำแหน่งปรมาจารย์แห่งชีวิตไม่ต้องการของของพวกท่านหรอก ในเมื่อตอนนี้พบสหายของเขาแล้วก็คืนให้พวกท่าน!”
คำพูดของนางทำให้คนชุดดำคิดถึงความเป็นไปได้ “ท่านไม่ใช่ผู้สืบทอดที่ซูรื่อฉู่เลือกหรอกหรือ”
หมิงเวยยังคงหัวเราะเยาะ “ผู้สืบทอดอะไรกันอย่าพูดเหลวไหล! จะให้เป็นหนูไปทั้งวันฟังดูไม่เข้าท่าเลย!”
ยิ่งนางพูดดูถูกคนชุดดำยิ่งมั่นใจว่า “ซูรื่อฉู่ตายแล้วจริงหรือ เขาตายได้อย่างไร เหตุใดเขาถึงไม่บอกรหัสคู่แก่ท่าน”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาตายอย่างไร” หมิงเวยหันหน้าเสียงของนางเริ่มสั่น “เขาพูดตลอดเวลาว่าเขาทำเรื่องไม่ดี อาจถูกคนรู้สถานะและถูกฆ่าอย่างง่ายดายก็เป็นได้ วรยุทธ์ของเขาไม่ค่อยดีเท่าไร องค์กรนี้ก็ไม่ได้ดีอะไร ไม่เช่นนั้นเหตุใดถึงไม่มีผู้ใดมาตามหาเขาเลยเล่า”
บุรุษชุดดำฟังแล้วก็รู้สึกเศร้าคนที่ทำเรื่องไม่ดีไม่ได้มีแค่ซูรื่อฉู่ เขาเองก็ด้วยมิใช่หรือ หลังจากซุ่มซ่อนอยู่ในทุ่งหญ้ามาหลายปีนอกจากกุ่ยจินหยางที่เคยพบระหว่างทางแล้วก็ไม่มีผู้ใดติดต่อมาเลย หากมีสักวันหนึ่งเขาเกิดตายขึ้นมาล่ะ ตำหนักดวงดาวไม่มีทางตามหาเขาแน่ หากพบว่าสัญลักษณ์ยืนยันตัวตนของเขาขาดการตอบสนองไปก็ทำแค่เพียงหาคนมาแทนที่เขาเท่านั้น
“แล้วเขาส่งต่อสถานะของเขาให้ท่านหรือไม่”
“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ต้องการของของเขา!” หมิงเวยเน้นย้ำ “วิ่งกลับมาด้วยสภาพร่างกายโชกไปด้วยเลือด แม้แต่คำบอกลาก็ไม่พูดมีแต่ยัดสิ่งนี้มาให้ข้าในใจของเขาตำหนักดวงดาวคงสำคัญที่สุดแล้วจะทิ้งของเช่นนี้มาให้ข้าทำไมกัน”
บุรุษชุดดำดูเหมือนจะพบคำอธิบาย “ที่แท้เขาไม่มีเวลาให้อธิบาย”
หมิงเวยแค่นหัวเราะ “มีโอกาสมอบของแก่ข้า แต่ไม่มีเวลาอธิบายงั้นหรือ ช่างเถอะ ข้าคืนของให้ท่านแล้วความสัมพันธ์ของข้ากับเขาสิ้นสุดลงแค่นี้ เห็นแก่ท่านที่เป็นสหายของเขาเรื่องในวันนี้ก็แล้วกันไปแล้วกัน”
พูดถึงเรื่องนี้นางก็เหลือบมองพระอาจารย์ช่างจื้อ “ถือว่าท่านโชคดีนะ! ข้าปล่อยท่านไปหลายครั้งหลายคราวแล้วยังไม่รู้จักชั่วดี หลังจากนี้อย่ามายุ่งกับข้าอีก ไม่เช่นนั้นครั้งหน้าท่านอาจไม่โชคดีเช่นนี้” พูดจบนางก็หันหลังเดินจากไป
เป็นไปไม่ได้ที่จะปลอมตัวเป็นกลุ่มดาวเพราะนางไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพวกเขา ขนาดซูรื่อฉู่นางยังรู้แค่ทักษะการต่อสู้ของเขาเล็กน้อยจากการที่เคยประมือกันมา
แล้วนางควรทำอย่างไรดีแน่นอนว่าแสร้งทำเป็นมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา แต่ไม่รู้สถานการณ์จริง เหตุผลไม่ต้องเยอะแยะเพราะยิ่งมากยิ่งง่ายต่อการถูกจับได้ ทางที่ดีที่สุดคือให้อีกฝ่ายคิดเอาเอง!
หมิงเวยยิ้ม และเดินออกไปทีละก้าวราวกับไม่ใยดีสัญลักษณ์ยืนยันตัวตนนั่น
นางนับในใจเงียบๆ
หนึ่ง สอง สาม สี่…
“ช้าก่อน!” เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง นางหยุดเดินแล้วยิ้มกว้างมากขึ้น
สำเร็จแล้ว