คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 359 องค์หญิง
“พี่ชี…” หมิงเวยกำลังจะพูด แต่ก็เห็นหมอกหนาทึบกำลังมาทางนี้
นางทำได้เพียงแปะยันต์ศักดิ์สิทธิ์ทันเวลา ภาพตรงหน้ามืดลง และเมื่อดวงตาของนางสัมผัสกับแสงจันทร์อีกครั้งที่พำนักของเหล่าทวยเทพ และหัวหน้าเผ่าทั้งแปดก็ไม่อยู่เสียแล้วเชิ่งชีเองก็ไม่อยู่ข้างกายนาง ชัดแล้วว่ามียอดฝีมือเข้ามาแทรกแซง
นางยืนอยู่ตรงนั้นครุ่นคิดอย่างใจเย็นประวัติศาสตร์จากชาติก่อนซูถูอาศัยพิธีกรรมเทียนเสินนี้จึงได้รวมเผ่าทั้งแปดเข้าด้วยกันในคราวเดียวหมายความว่ากลุ่มดาวทำไม่สำเร็จ นางไม่มีตัวตนในยุคนั้นจึงมีเพียงยอดฝีมือผู้อื่นที่สามารถช่วยเขาได้จะใช่ยอดฝีมือผู้นั้นหรือเปล่า
เหตุใดเขาต้องช่วยซูถูด้วยดูเหมือนว่าซูถูก็ไม่รู้ว่าตนมีผู้ช่วยเช่นกัน
หมิงเวยรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยนางรู้สึกว่านางอาจสัมผัสได้ถึงความจริงของประวัติศาสตร์ เบื้องหลังการรวมเผ่าทั้งแปดของซูถูมีอำนาจสองฝั่งกำลังต่อสู้กัน และอำนาจฝั่งนั้นได้เอาชนะกลุ่มดาวได้!
จากประสบการณ์ที่ตงหนิงบวกกับการถูกไล่ฆ่าเมื่อชาติก่อนเป็นที่แน่ชัดว่ากลุ่มดาวกำลังทำเรื่องบางอย่างพวกเขาหวังว่าฉีเหนือจะเกิดความวุ่นวาย
เช่นนั้นอำนาจนั้นมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ เพื่อช่วยซูถูรวมแปดเผ่าให้เป็นหนึ่งเดียว และก่อตั้งราชวงศ์เว่ยตะวันตกเป็นเพราะต้องการสร้างความวุ่นวายหรือต้องการรวมเป็นหนึ่งกันแน่
หมิงเวยย้อนเวลามาจากเจ็ดสิบปีหลังจากนี้นางรู้ว่าในที่สุดแล้วซูถูจะทำให้ใต้หล้าเกิดความวุ่นวายหากนางเป็นคนในยุคนี้อาจจะมองไม่เห็นสิ่งนี้อย่างชัดเจนอีกฝ่ายก็เหมือนกันกับนางที่เลือกใครคนหนึ่งเป็นนาย
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้นางก็ยิ้มออกมาแล้วส่ายหน้า ทำไมต้องมานั่งเดาด้วยเล่า ถ้าอยากรู้ก็บุกเข้าไปเลย!
นางหยิบขลุ่ยขึ้นมาจรดริมฝีปากแล้วเป่าออกมาเบาๆ
“อู…” มีพลังสะท้อนกลับมา
หมิงเวยไม่สนใจและปล่อยพลังออกจากร่างกายเพื่อปกป้องตนเองจากนั้นก็ใช้คลื่นเสียงทดสอบอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้แสงจันทร์เสียงขลุ่ยคร่ำครวญ และเมื่อท่วงทำนองค่อยๆ นุ่มนวลขึ้น หมอกรอบๆ ตัวนางก็เบาลงเรื่อยๆ ในที่สุดทางเดินตรงหน้าก็ถูกเผยออกมา และทางเข้าที่พำนักของเหล่าทวยเทพก็ปรากฏอยู่ที่สุดทางของถนนสายนี้
หมิงเวยเก็บขลุ่ยแล้วเดินออกไปเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้วก็มีมนุษย์หินคู่หนึ่งพุ่งเข้ามาหานาง
“ฝีมือต่ำต้อย!” หมิงเวยถือขลุ่ยคลื่นมหาศาลพุ่งโจมตีดวงตาของมนุษย์หินอย่างแม่นยำ มนุษย์หินทั้งสองคนก้าวถอยหลังไปชนเข้ากับกำแพงหินและหยุดเคลื่อนไหว
เมื่อเดินผ่านช่องทางเดินไประยะหนึ่งภายในถ้ำเต็มไปด้วยอัญมณีหลากสี ส่องสว่างภายในถ้ำให้สว่างไสวราวกับกลางวัน
หมิงเวยมองอย่างระมัดระวังและเรียกงูขาวออกมา “เห็นของพวกนั้นหรือไม่ ไปเอามันมา” งูขาวตอบรับแล้วนำอัญมณีมาสองสามชิ้นกลับมาตามคำสั่งของนางหมิงเวยถืออัญมณีเหล่านี้ และเดินเข้าไปในถ้ำ
หลังจากผ่านถ้ำนี้ไปในที่สุดนางก็เห็นเงาคน
……………………………….
ในตอนที่หมอกพุ่งเข้าปกคลุมซูถูตกใจมากบริเวณโดยรอบเงียบสงัด หัวหน้าเผ่าคนอื่นๆ และทหารทั้งหมดหายตัวไปไม่เหลือสักคน เขายืนอยู่ที่นั่นครู่หนึ่งจากนั้นเดินต่อไปข้างหน้า แล้วเขาก็เห็นว่าหมอกนั้นเคลื่อนไหว และเผยให้เห็นทางเดินอย่างน่าอัศจรรย์
เมื่อเขาเข้าไปในที่พำนักของเหล่าทวยเทพก็มีมนุษย์หินสองคนเข้ามาต้อนรับเขา ซูถูชักกริชออกมาเตรียมรับมือ
มนุษย์หินทั้งสองมีพลังมหาศาลซึ่งกว่าจะไล่ทั้งสองออกไปนั้นไม่ง่ายเลย
หลังจากพักได้ครู่หนึ่งซูถูก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อไปไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ต้องเข้าใจสถานการณ์และรับมือให้ดี!
เมื่อเขาเดินไปถึงถ้ำและเมื่อก้าวเท้าเข้าไปบริเวณโดยรอบก็สั่นสะเทือนราวกับมังกรพลิกกายจนทำให้เกิดรอยแยกเขายืนไม่มั่นคงไปชั่วขณะหนึ่ง และลื่นไถลลงไปในเหว
ซูถูกัดฟัน และค่อยๆ ปีนกลับขึ้นไปด้านบน ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดเขาก็ปีนขึ้นไปถึงฝั่งตรงข้ามได้สำเร็จ
เขาที่เหนื่อยสายตัวแทบขาดได้ยินเสียงแหบดังขึ้นว่า “ความมุ่งมั่นอันเด็ดเดี่ยวนี้แข็งแกร่งจริงๆ” ซูถูเงยหน้าขึ้นมองหญิงชราที่อยู่ข้างหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ และโพล่งออกมาว่า “ท่านย่า!”
“ท่านย่างั้นหรือ” มีเสียงอื่นที่ไม่ใช่พวกเขาดังขึ้น
ซูถูและหญิงชราหันไปมองพร้อมกัน และเห็นหมิงเวยเดินเข้ามาหาทีละก้าวจนหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา
นางมองหญิงชราอย่างระแวดระวัง และถามด้วยความสงสัย “ท่านคือองค์หญิงหย่งชิงหรือ”
เพื่อเอาใจเป่ยหู ฮ่องเต้องค์สุดท้ายจากเฉียนเอี้ยนได้ส่งองค์หญิงหย่งชิงให้อภิเษกกับหัวหน้าเผ่าอินทรี หลังจากนั้นเผ่าอินทรีเกิดความวุ่นวายองค์หญิงหย่งชิงจึงหลบหนี หลังจากแต่งงานใหม่หลายครั้งในที่สุดนางก็ได้กลับเป่ยหู และให้กำเนิดหัวหน้าเผ่าหมาป่าหิมะคนปัจจุบัน จนถึงตอนนี้ยังไม่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ ไม่รู้เสียชีวิตเมื่อไรไม่รู้ว่าศพฝังอยู่ทีใด
หญิงชราที่อยู่ตรงหน้านางดูเหมือนสตรีอายุหกสิบเจ็ดสิบปีซึ่งอายุก็ดูสอดคล้องกัน นางสวมเสื้อผ้าธรรมดาบนเรือนผมมีปิ่นหงส์ปักอยู่บ่งบอกว่านางคือเชื้อพระวงศ์อย่างแน่นอน
“เข้ามาได้ถึงที่นี่เจ้าคงแข็งแกร่งกว่าพวกขยะข้างนอกเสียอีก” องค์หญิงหย่งชิงนั่งบนโต๊ะหินแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ขยะที่ว่าหมายถึงเชิ่งชีหรือไม่หมิงเวยยิ้ม “แน่นอนเพคะ”
ที่แท้ซูถูได้รับความช่วยเหลือจากองค์หญิงหย่งชิงงั้นหรือ นางไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าองค์หญิงจากเฉียนเอี้ยนจะรู้เคล็ดวิชาที่ลึกซึ้งเพียงนี้
ซูถูมองนางและหันกลับมามององค์หญิงหย่งชิง “ท่านย่าท่านไม่ได้…”
“ตายแล้วงั้นหรือ” สีหน้าขององค์หญิงหย่งชิงดูเฉยเมยเมื่ออยู่ต่อหน้าหลานที่เป็นสายเลือดเดียวกันอย่างซูถูแล้วนางดูไม่ได้มีท่าทีเมตตาอย่างที่ผู้เป็นย่าควรจะมี
ซูถูก้มหน้าไม่พูดอะไร
องค์หญิงหย่งชิงพูดว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าส่งน่าซูไปที่สุสานของข้าเพราะต้องการหยกเสวียนหมิงใช่หรือไม่”
“ขอรับ” ซูถูตอบรับเสียงเบา
“เจ้าก็ควรมีสมองหน่อยแค่หยกเสวียนหมิงชิ้นเดียว และต้องการพระประสงค์จากทวยเทพดูจะไร้เดียงสาไปหน่อยนะ” ซูถูก้มหน้าไม่พูดอะไร
เขามีคำถามมากมายที่อยากจะถาม แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์หญิงหย่งชิงเขากลับรู้สึกต่ำต้อยอย่างอธิบายไม่ถูก แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นหัวหน้าเผ่าหมาป่าหิมะแล้ว แต่เขาก็ยังจำได้อย่างชัดเจนว่าท่านย่ามองเขาด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม
หูเหรินก็คือหูเหริน
เขาโกรธในความเหนือกว่าของคนจงหยวน แต่ยิ่งเขาเข้าใจวัฒนธรรมของจงหยวนมากเท่าไรเขาก็ยิ่งเข้าใจช่องว่างได้ดีขึ้นเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้เขาไม่สามารถยืดหลังตรงต่อหน้าองค์หญิงหย่งชิงได้ เขาเข้าใจจิตใจของท่านพ่อเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์หญิงหย่งชิงได้แล้ว
เพราะเขาในตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น ทั้งรังเกียจและละอายใจ
องค์หญิงหย่งชิงมองเขาที่เป็นเช่นนี้แล้วยิ้มเยาะ “อยากจะถามอะไรก็ถามมา อย่าทำตัวเหมือนพ่อของเจ้าที่ทำตัวหัวหดไม่กล้าสู้หน้า!”
น้ำเสียงนี้ทำเอาซูถูโกรธไปชั่วขณะหนึ่ง เขาเป็นชาวหูเหรินแล้วอย่างไร เหตุใดถึงต้องโดนเหยียดหยามด้วยหูเหรินไม่มีศักดิ์ศรีหรืออย่างไร
เขาเงยหน้าขึ้นเกิดประกายไฟขึ้นในแววตาของเขา “ท่านต้องการอะไร ที่นี่คือที่พำนักของทวยเทพท่านยืมนามของทวยเทพมาใช้คิดจะทำอะไรกันแน่ขอรับ”
องค์หญิงหย่งชิงเห็นแววตาเช่นนั้นก็มีสีหน้าพอใจ “เช่นนี้ค่อยดีขึ้นหน่อย คิดจะเป็นเจ้าแห่งทุ่งหญ้าก่อนอื่นต้องคิดว่าตนเองเป็นผู้นำเสียก่อน”
“ท่าน…”
องค์หญิงหย่งชิงเบนสายตามาทางหมิงเวย “ก่อนที่เราจะพูดเรื่องสำคัญคงต้องถามเจ้าก่อนคนผู้นี้เจ้าคิดจะทำอะไร” ซูถูตกใจ
หมิงเวยยิ้ม “องค์หญิงคิดมากไปแล้วข้ายืนอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพราะพวกท่านคิดจะทำอย่างไร แต่เป็นทำอะไรได้มากกว่า”
สีหน้าขององค์หญิงหย่งชิงมืดครึ้มนางตะโกนใส่ไปว่า “เจ้ากล้าดูหมิ่นข้าหรือ”
สีหน้าหมิงเวยดูไม่ทุกข์ร้อน “เฉียนเอี้ยนล่มสลายไปสี่สิบปีแล้วท่านยังวางตนเป็นองค์หญิงอยู่หรือ ตื่นเถอะ! อาณาจักรของท่านล่มสลายไปแล้ว!”
……………