คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 361 ยั่วยุ
“บังอาจ!” สีหน้าองค์หญิงหย่งชิงเขียวคล้ำ “เรื่องของเฉียนเอี้ยน เด็กไม่รู้ที่มาอย่างเจ้าไม่มีสิทธิ์มาวิพากษ์วิจารณ์ เจ้าคิดว่าข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้จริงๆ หรือ”
หมิงเวยแค่นหัวเราะ “เอี้ยนเฉียนของท่านไม่อยู่แล้วที่เรียกท่านว่าองค์หญิงเพราะเพื่อแสดงความสุภาพต่อผู้อาวุโสเท่านั้น ท่านยังคิดว่าตนเองคือองค์หญิงอยู่จริงๆ หรือ”
องค์หญิงหย่งชิงโกรธมากดวงตาของนางเป็นประกายด้วยไฟที่ขุ่นเคือง ซูถูมองนางอย่างครุ่นคิด
หมิงเวยพูดต่อว่า “บอกตามตรงข้าเห็นใจท่านนะเด็กสาววัยเยาว์ถูกบังคับให้แต่งงานกับชายชราต่างถิ่นเพื่อแลกกับความมั่นคงในระยะสั้นในครอบครัว ผู้ใดจะรู้ว่าหลายมีมานี้ไม่สงบสุขเลย ราชวงศ์ล่มสลาย สามีก็มาจากไปอีก อีกทั้งยังต้องย้ายไปมาระหว่างเผ่าอื่นๆ แต่งงานใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อหาที่ปักหลักองค์หญิงผู้สูงศักดิ์อุทิศตัวให้หูเหรินที่เต็มไปด้วยกลิ่นสาบแกะ…พอเวลาผ่านไปลืมรสชาติของความภาคภูมิใจที่ถูกเหยียบย่ำแล้วหรือ ความเกลียดชังต่อบ้านเกิดงั้นหรือ อย่าใช้เหตุผลนี้เพื่อทำให้ตัวเองเป็นผู้สูญเสีย ถูกบิดาทอดทิ้งเลย เป็นครอบครัวของท่านเองต่างหากที่ทำลายท่านไม่ใช่แคว้นฉีแคว้นฉู่ ความโกรธไม่สามารถลบล้างความอัปยศได้มันทำให้รู้สึกว่านี่ช่างไร้สาระเสียจริง” องค์หญิงหย่งชิงยืนขึ้นทันทีมือของนางสั่นเทา
หมิงเวยยังคงไม่ปล่อยนาง นางพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ดูสิว่าองค์หญิงกำลังทำอะไรอยู่! ช่วงหูเหรินรวมแปดเผ่าให้เป็นหนึ่งเดียวให้ทหารม้าเหยียบย่ำบ้านเกิดของตน ทั้งแคว้นฉีกับแคว้นฉู่ล้วนเป็นคนสายเลือดเดียวกับท่าน แม้แต่ประชาชนก็เป็นคนที่ราชวงศ์ของพวกท่านเคยทอดทิ้ง! เป็นพวกท่านตระกูลเฉินที่ทำผิดต่อประชาชนทั้งสองแคว้น ไม่ใช่พวกเขาเหล่าประชาชนที่ทำผิดต่อตระกูลเฉิน! แต่ท่านกลับคิดฆ่าพวกเขาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของท่านบิดเบือนข้อเท็จจริง! เหตุใดท่านไม่โจมตีหูเหรินที่เป็นคนแย่งท่านไปมาล่ะเป็นเพราะท่านขี้ขลาดเกินกว่าจะโจมตีพวกเขาถึงได้เปลี่ยนเป้าหมายแก้แค้น นี่คือความเกลียดชังต่อบ้านเกิดของท่าน นี่คือศักดิ์ศรีของตระกูลเฉินของท่านงั้นหรือน่าหัวเราะเสียจริง!”
ซูถูยิ่งฟังยิ่งรู้สึกไม่ถูกต้องด้วยสัญชาตญาณของเขาทำให้ต้องตะโกนออกไป “หยุดพูดนะ!”
แต่มันสายไปเสียแล้วองค์หญิงหย่งชิงตะโกนว่า “ฆ่านางซะ!”
“ขอรับ!” ขันทีชราตอบด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกเขาสะบัดนิ้วไม่รู้ว่าเป็นการกระตุ้นกลไกอะไร ถ้ำหินก็สั่นสะเทือน และเกิดรอยแตกขนาดใหญ่บนพื้นทำให้หมิงเวย และซูถูจมหายไปพร้อมกัน ครั้งนี้ไม่มีเวลาให้พวกเขาได้ตอบโต้เลย
หลังจากที่ทุกอย่างสงบลงองค์หญิงหย่งชิงค่อยๆ ยื่นมือออกมาสัมผัสใบหน้าของตน หมิงเวยไม่อยู่ที่นี่แล้ว แต่คำพูดที่เพิ่งพูดยังก้องอยู่ในหูของนาง
ในช่วงวัยเยาว์ที่งดงามของนาง นางถูกบังคับให้แต่งงานกับชายชราต่างถิ่น…
นางถูกแย่งชิงไปมาระหว่างเผ่าอื่น…แต่งงานใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าพลีกายให้หูเหรินทีละคน…
องค์หญิงหย่งชิงตัวสั่นภาพที่นางจงใจลืมเลือนไปก็ปรากฏขึ้นมาทีละภาพ
เมื่อเดินทางมาถึงทุ่งหญ้าชายชาวหูเหรินรุ่นราวคราวเดียวกับปู่ได้กลายเป็นสามีของนาง องค์หญิงจากจงหยวนต้องฝืนปรนนิบัติทั้งๆ ที่รังเกียจ ชนเผ่าเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่นางถูกหูเหรินอีกกลุ่มหนึ่งแย่งชิงตัวไป นางจำไม่ได้ว่าตนถูกแย่งชิงไปกี่ครั้งแล้ว
จนกระทั่งนางพาคนหนีไปทางเหนือทุกอย่างจึงสงบลงชั่วคราว
อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะตั้งหลักอยู่ทางเหนือนางจึงแต่งงานกับหัวหน้าเผ่าหมาป่าหิมะเพื่อขอหลบภัยอยู่ในเผ่านี้
จนกระทั่งนางให้กำเนิดบุตรชาย และได้เห็นบุตรชายได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าหมาป่าหิมะคนใหม่นางจึงไม่มีอะไรให้กังวลแล้ว
ต่อมาเมื่อนางมีอายุมากขึ้นไม่มีผู้ใดจำองค์หญิงจากราชวงศ์ก่อนอีกต่อไป ในที่สุดนางจึงแกล้งตายและออกจากเผ่าหมาป่าหิมะไป
ไม่ใช่ว่านางไม่เคยคิดที่จะกลับไปที่จงหยวน แต่จงหยวนได้เปลี่ยนไปนานแล้ว ที่นั่นไม่ใช่บ้านเกิดของนางอีกต่อไป พวกนางที่ไม่มีที่ไปสุดท้ายก็ย้ายไปอยู่ในเมืองร้างบนเส้นทางเก่าในเขาเหยียนซานเพื่อใช้ชีวิตวาระสุดท้าย
เพียงแต่ว่านางยังคงมีแต่ความขุ่นเคืองเต็มอยู่ในใจในที่สุดนางก็กลับมาที่ทุ่งหญ้า และแอบเข้าไปในเขาเทียนเสิน
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมานางได้ศึกษาเคล็ดวิชาอย่างยากลำบากเพียงเพื่อวันนี้ เพื่อหาคนที่เหมาะสมที่จะล้างแค้นแทนนาง แต่คำพูดของหมิงเวยได้ฉีกเกราะป้องกันจอมปลอมของนางออก ความอัปยศของนางอยู่ที่เฉียนเอี้ยนอยู่ที่ทุ่งหญ้า ไม่ใช่แคว้นฉีแคว้นฉู่!
ครั้งหนึ่งนางเกลียดชังพวกหูเหรินมากเพียงใดโดยหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะถูกแหลกเป็นชิ้นๆ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่เริ่มเปลี่ยนเป้าหมายของความเกลียดชัง ช่างขี้ขลาดเกินไปจริงๆ ที่ไม่กล้าแก้แค้นพวกหูเหรินถึงได้…
นางตกใจอยู่นานก่อนจะพูดเสียงเบา “จงจี๋”
“บ่าวอยู่นี่ขอรับ” ขันทีชราคำนับและตอบ
องค์หญิงหย่งชิงเงยหน้าขึ้นอารมณ์ของนางเริ่มสงบลง “หัวหน้าเผ่าทั้งแปดได้ซุ่มโจมตีอยู่ที่เขาเทียนเสินแล้วใช่หรือไม่”
“ขอรับ”
“ในเมื่อเตรียมพร้อมแล้วจะเสียเวลาไปทำไมคิดหาวิธีให้พวกเขาลงมือเถอะ”
ขันทีเฒ่าแปลกใจ “องค์หญิง แต่เรื่องนี้กับแผนการของเรา…”
องค์หญิงหย่งชิงโบกมือ “เด็กนั่นไม่เชื่อฟังหากให้เขาขึ้นเป็นเจ้าแห่งทุ่งหญ้าโดยไม่เกิดการนองเลือด เกรงว่าจะไม่มีที่ให้พวกเราในอนาคต”
ขันทีชราเงียบ “ขอรับ”
………………………….
ในตอนที่ขันทีชราเปิดกลไกซูถูคิดจะกระโดดออกไปแต่ก็มีมือยื่นออกมาและคว้าเสื้อผ้าของเขาไว้ เมื่อรอยแตกบนพื้นแตกออกเขาจึงจมลงไปแบบนั้นโดยไม่มีโอกาสที่จะตอบสนอง รอจนกระทั่งบริเวณโดยรอบสงบลงก็มีเสียงดังขึ้นข้างๆ ว่า “ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ อย่าโง่ไปเลยนะเจ้าคะ”
ซูถูลืมตาขึ้นและสิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาของเขาคือใบหน้าที่สดใสและสง่างาม แต่ก่อนที่เขาจะเพลิดเพลินไปกับความงามนั้น เขายื่นมือออกไปคว้าคอของอีกฝ่ายไว้
หมิงเวยที่ช้าไปครู่หนึ่งก็ถูกอีกฝ่ายกดเข้ากับกำแพง ซูถูบีบคอนางอย่างแรง ดวงตาของเขาเป็นประกายไม่มีท่าทางล้อเล้นอีกต่อไป เขาบีบแน่นจนนางพูดไม่ได้ หมิงเวยทำได้เพียงแสดงออกทางแววตาเท่านั้น แต่ซูถูยังคงไม่หวั่นไหว แต่กลับออกแรงมากขึ้น
หมิงเวยถอนหายใจในใจและมือที่ถือขลุ่ยก็เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ลมแรงพัดปะทะหน้าอกซูถูจำเป็นต้องปล่อยมือออก และในที่สุดหมิงเวยก็เป็นอิสระ หมิงเวยกุมคอตนเองจากนั้นก็ไอออกมาไม่นานก็กลับมาหายใจสะดวกขึ้น
“ท่านทำอะไรเจ้าคะ”
“ข้าต่างหากควรเป็นฝ่ายถามท่าน” แม้ว่าซูถูจะปล่อยนางแล้ว แต่ความโกรธของเขายังคงอยู่ “ท่านจงใจทำให้นางโกรธท่านคิดจะทำอะไร”
หมิงเวยไหวไหล่ “ท่านก็เห็นว่านางคลุ้มคลั่งไปแล้ว หากท่านร่วมมือกับนางจริงๆ แม้จะได้เป็นผู้นำเผ่าทั้งแปด แต่ก็จะถูกถ่วงความก้าวหน้าเป็นครั้งคราว”
ซูถูแค่นหัวเราะ “หากไม่ตอบรับจะร่วมมือได้อย่างไรเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้ท่านบอกหรอก”
หมิงเวยเบิกตากว้างดูท่าทางไร้เดียงสา “ท่านนี่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเลยปะทะฝีปากกับนางได้ไม่เท่าไรเลย ท่านคิดว่าตนเองสงบพอแล้วหรือ แต่ถึงอย่างไรหากมีคนบ้าอยู่ข้างกายไม่ช้าก็เร็วท่านจะได้รับผลกระทบจากนาง ท่านไม่เข้าใจเหตุผลนี้หรือเจ้าคะ”
แววตาดุดันของซูถูไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด “ท่านอย่ามาพูดเพ้อเจ้อคิดว่าข้าโง่หรือ เริ่มตั้งแต่ท่านพบย่าของข้าแล้ว ท่านยั่วยุนางกระตุ้นความเกลียดชังของนางบังคับให้นางเปลี่ยนเป้าหมาย ท่านไม่ได้คิดจะช่วยข้าเลย แต่คิดจะทำให้ทั้งแปดเผ่าเกิดความวุ่นวายเสียมากกว่า!”
…………