คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 366 คำโกหก
ซูถูไม่อยากจะเชื่อ “ท่านเอาชีวิตประชาชนมาขู่ข้างั้นหรือ”
หมิงเวยพูดอย่างเกียจคร้าน “ทำไม แปลกงั้นหรือ”
แน่นอนว่าใช่! คนจงหยวนไม่ได้เป็นคนมีคุณธรรมหรอกหรือ ยิ่งไปกว่านั้นหลายวันมานี้ พวกเขาไม่รู้ว่ามีคนเลี้ยงสัตว์มากเท่าไรบนท้องถนนนางก็เลือกเลี่ยงมาโดยตลอดไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย!
“วันนี้กับวันนั้นไม่เหมือนกัน” หมิงเวยดูเหมือนจะรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จึงพูดว่า “ฆ่าคนเลี้ยงสัตว์เหล่านั้นมันง่าย แต่กระโจมของพวกเขาไม่ง่ายที่จะจัดการ เพราะสามารถเผยร่องรอยได้ ตอนนี้องค์ชายเจ็ดไล่ตามจนมาอยู่ตรงหน้าแล้ว ข้าเลยทำได้เพียงใช้ประโยชน์สักหน่อยจริงหรือไม่”
สิ้นเสียงเสียงร้องของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ก็ดังขึ้นในกระโจมตามด้วยเสียงร้องขอความเมตตาของสตรี
ซูถูตวัดแส้อย่างดุเดือดและพูดอย่างโกรธเคือง “เสียทีที่ข้ามองท่านสูงไป ที่แท้ท่านก็เป็นคนเลวไร้ยางอาย!”
หมิงเวยยิ้ม “หากเป็นคนเลวแล้วได้มีชีวิตอยู่ต่อข้าก็ไม่สนใจ องค์ชายเจ็ด ท่านรีบตัดสินใจเถอะจะเพิกเฉยต่อชีวิตของประชาชนหรือปล่อยพวกเราไป”
“องค์ชาย!” นักรบนายหนึ่งตะโกน “ประชาชนของเทียนเสินจะถูกคนนอกข่มขู่ไม่ได้ พวกเขาตายแล้วพวกเราต้องล้างแค้นให้พวกเขา!”
พูดจบก็เกิดเสียงกรีดร้องขึ้นในกระโจมตามมาด้วยเลือดสาดกระเซ็นบนกระโจมจนกลายเป็นสีแดง
หมิงเวยพูดขึ้นเงียบๆ “อย่าท้าทายความอดทนของข้าหากต้องตายแน่นอนว่าต้องมีแพะรับบาป”
ใบหน้าของซูถูมืดมน มือข้างหนึ่งกำแส้อีกข้างกำกระบี่ยาว สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ แต่สุดท้ายเขาก็ควบคุมตนเองไว้หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดขึ้นว่า
“ท่านปล่อยพวกเขาไปข้าจะเป็นตัวประกันแทนเอง”
ทันทีที่เขาพูดจบทหารของเขาก็ตะโกนว่า “ไม่ได้นะขอรับองค์ชาย! ชีวิตของท่านมีค่ามากกว่าพวกเขา ท่านจะแทนที่พวกเขาได้อย่างไร”
“หากต้องไปละก็ข้าน้อยไปแทนเองขอรับ!”
“ไม่ ข้าน้อยไปเองขอรับ!” กลุ่มหูเหรินแย่งกันเอง
หมิงเวยที่อยู่ในกระโจมหุบยิ้ม “น่าสนใจ ข้านึกว่าองค์ชายเรียนรู้วัฒนธรรมจงหยวนเพียงเพื่อความสนุก แต่ท่านช่างมีคุณธรรมจริงๆ แต่องค์ชายคิดว่าข้าโง่เช่นนั้นเลยหรือ ในเรื่องวรยุทธ์ท่านไม่ได้ด้อยไปกว่าข้ายิ่งกว่านั้นในแง่ของความแข็งแกร่งทางร่างกาย ข้าเป็นเพียงสตรีผู้อ่อนแอจะไปเทียบกับหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ได้อย่างไร จับท่านเป็นตัวประกันมีแต่ทำให้ตัวเองเสียเปรียบซะเปล่า”
“แล้วท่านจะให้ทำอย่างไร” ซูถูแทบรอไม่ไหวที่จะถือกระบี่เข้าไปฟันร่างของนางออกเป็นชิ้นๆ
เกลียดก็เกลียด ในตอนแรกที่ถูกนางเล่นละครหลอกไม่คิดว่าแม่นางที่ดูบอบบางผู้นี้จะมีจิตสังหารที่รุนแรงเช่นนี้
หากนางไม่จงใจยั่วยุบางทีเขากับองค์หญิงหย่งชิงอาจบรรลุข้อตกลงที่จะรวมแปดเผ่าเป็นหนึ่งเดียว แล้วค่อยๆ ปราบปรามหัวหน้าเผ่าอื่นเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่ไม่ใช่การนองเลือด
ตอนนั้นขอเพียงรวมแปดเผ่าเป็นหนึ่งได้พวกเขาก็สามารถสร้างกองกำลังอันทรงพลังเคลื่อนกองทหารไปทางทิศใต้และให้การสนับสนุนได้
แต่ตอนนี้มีผู้คนเสียชีวิตไปจำนวนมาก และพวกเขาทั้งหมดเป็นนักรบที่เก่งที่สุด สร้างความอาฆาตแค้นให้แก่กันซึ่งไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะคลี่คลาย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ซูถูก็รู้สึกเจ็บใจ
ทั้งแปดเผ่าในเป่ยหูรวมกันมีกี่คนเพราะพวกเขามีความกล้าหาญมากพอ หากมารวมตัวกันก็มีกองกำลังนับหมื่นมีความกล้ามากพอที่จะลงไปเคาะประตูทางใต้ แต่เนื่องจากประชากรมีน้อยจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกณฑ์ทหารมากกว่าแสนนาย อาจต้องใช้เวลาสิบปีในการชดเชยนักรบชั้นยอดที่อยู่รอบกายหัวหน้าเผ่านับหมื่นคน!
เสียงของหมิงเวยดังออกมา “ข้าจะทำอะไรได้แค่โปรดให้องค์ชายให้ข้าได้หลบหนี เพราะชีวิตที่ผ่านมาไม่ง่ายข้าเลยมีความหวงแหนชีวิตเล็กๆ นี้”
ซูถูสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “แม้ครั้งนี้ข้าจะปล่อยท่านไปท่านก็หนีไปได้ไม่ไกล เส้นทางของพวกท่านถูกเปิดเผยแล้วไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายในการตามหาท่านเลย”
“หนีไปได้ครั้งหนึ่งก็นับเป็นหนึ่งครั้ง!” น้ำเสียงของหมิงเวยเต็มไปด้วยความเศร้า “หากหนีไม่พ้นจริงๆ ก็เอาเลือดของข้าละเลงบนทุ่งหญ้าได้เลย บางทีวันหนึ่งจิตวิญญาณของข้าอาจสามารถเห็นชื่อเสียงขององค์ชายแผ่กระจายไปทั่วทุ่งหญ้า สร้างผลงานมากมายนับไม่ถ้วนก็เป็นได้”
รู้อยู่แล้วว่าสตรีผู้นี้เต็มไปด้วยคำโกหก ซูถูที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็รู้สึกสั่นไหวอย่างอธิบายไม่ถูกความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเขา…
เขาตั้งสติและพูดว่า “พูดมาท่านมีเงื่อนไขอะไร”
“องค์ชายมีเมตตาจริงๆ ดูเหมือนว่าท่านจะรู้แก่นแท้ของหลักคุณธรรมมาปกครองแล้ว” คำสรรเสริญของหมิงเวยลอยออกมาจากกระโจมแล้วเสนอเงื่อนไขบางอย่างโดยไม่ลังเล “ท่านกับทหารของท่านถอยห่างไปจากที่นี่ยี่สิบลี้จนกระทั่งฟ้าสว่างค่อยกลับมา เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาทั้งครอบครัวจะปลอดภัย”
“ได้” ซูถูรับปากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “หากท่านผิดสัญญาข้าจะไล่ตามท่านไปที่จงหยวน จะฟันท่านออกเป็นหมื่นๆ ชิ้น!”
หมิงเวยยิ้ม “การตายเช่นนี้ไม่น่ามองเท่าไรนัก องค์ชายวางใจเถอะ”
“ได้!” ซูถูพ่นลมหายใจแล้วยกแส้ขึ้น “ถอยไปยี่สิบลี้!”
“องค์ชาย…” ซูถูเหลือบมอง
หัวหน้าทหารจึงได้แต่ตอบว่า “ขอรับ”
แล้วกลุ่มคนหลายสิบคนก็หันหัวม้าออกไป และในเวลาไม่นานพวกเขาก็ห่างไกลออกไปในระยะทางยี่สิบลี้
ซูถูไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อยได้แต่นั่งหน้ากองไฟกลางดึกเพื่อรอเวลาผ่านไป
จนกระทั่งฟ้าสางเขากระโดดขึ้นบนหลังม้า “ไป!”
แล้วพวกเขาทั้งหมดก็มุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็วในที่สุดก็เดินทางมาถึงทะเลสาบที่ไปมาเมื่อวาน
พระอาทิตย์เพิ่งขึ้นส่องแสงบนพื้นผิวอันเงียบสงบของทะเลสาบนั่วเจีย ผิวน้ำเป็นประกาย เสียงนกร้อง ทุกอย่างดูเงียบสงบ
ซูถูยกกระโจมขึ้น และเมื่อเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในก็รู้สึกโกรธจนแทบทำทะเลสาบแห้งเหือด
“องค์ชาย” ทหารถามขึ้น “สตรีผู้นั้นไม่รักษาสัญญาหรือขอรับ”
ซูถูสะบัดผ้าม่านด้วยความโกรธจัด “ดูเอาเอง!”
ทหารยกม่านขึ้นจากนั้นก็ตกตะลึง
ไม่มีครอบครัวคนเลี้ยงสัตว์ภายในกระโจมว่างเปล่ามีเพียงกระดาษคนไม่กี่แผ่นถูกโยนทิ้งลงบนพื้น เลือดที่สาดกระเซ็นข้างกระโจมเมื่อคืนเป็นของปลาตายที่ถูกฟันหางทิ้ง…
เขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจึงออกมาถามว่า “องค์ชาย เป็นของปลอมหรือขอรับ”
หน้าอกของซูถูกระเพื่อมแรงด้วยความโกรธ เขาไม่เคยถูกหลอกเช่นนี้มาก่อนในชีวิต!
“มันเป็นเคล็ดวิชา ข้าเชื่อนางไปจริงๆ!”
หากเมื่อคืนเขาไม่เชื่อนาง ตอนนี้สตรีผู้นั้นคงถูกจับมัดเป็นจ้งจึ[1]แล้วโยนขึ้นไปบนหลังม้าแล้ว
“บัดซบ!” หัวหน้าทหารรอรับคำสั่ง “องค์ชาย หากพวกเรารีบตามไปในตอนนี้ ไล่ตามจับนางทันแน่นอนขอรับ!”
ซูถูไม่พูดอะไรเขาหมุนตัวกระโดดกลับขึ้นไปบนหลังม้า
เหล่าทหารหูเหรินไม่เพียงแต่ไม่นอนเท่านั้นแม้แต่อาหารก็ไม่สนใจกิน พวกเขายังไล่ตามต่อไปไม่หยุด
เป็นอย่างที่ซูถูกล่าวไว้เส้นทางของหมิงเวยถูกเปิดเผย และตอนนี้นางต้องการกลับไปยังจงหยวน นางทำได้เพียงไปที่เป่ยเทียนเหมินเท่านั้นแค่ไล่ตามต่อไปก็พบร่องรอยของนางแล้ว
เนื่องจากควบม้าไปตลอดทางทำให้ม้าเหนื่อยมากจนน้ำลายฟูมปาก และในที่สุดพวกเขาก็พบรอยเท้าม้าที่สดใหม่ที่ริมน้ำ
“องค์ชาย พวกเขาอยู่ห่างออกไปไม่ไกลขอรับ!” และทำให้กลุ่มคนที่เดิมทีคิดจะพักผ่อนวิ่งไล่ตามต่อไป
ในพื้นดินที่ต่างระดับ พวกเขาค่อยๆ เข้าไปในภูเขา
หัวหน้าทหารพบร่องรอยอีกครั้ง “องค์ชาย พวกเขาจุดไฟที่นี่” เมื่อใช้มือตรวจสอบเขาก็ดีใจขึ้นมา “ยังร้อนอยู่ อยู่ใกล้แล้วขอรับ!”
คราวนี้ไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก และหลังจากเดินทางไปเพียงหนึ่งลี้ พวกเขาก็เห็นหมิงเวยที่กำลังปลอบม้าอยู่
“จะหนีไปไหน!” หัวหน้าทหารตะโกนขึ้นเขายืนบนอานม้า และโยนเชือกบ่วงในมือออกไป
……………
[1] จ้งจึ : บ๊ะจ่าง