คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 383 มิอาจพรากจาก
“ท่านอาจารย์เรียนศิลปะแขนงต่างๆ ตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นก็ท่องยุทธภพเป็นผู้ที่ยึดมั่นในตนเองมาครึ่งชีวิตได้รับการยกย่องจากใต้หล้า คนเช่นท่านต่อให้ล้มเหลวก็ค่อยๆ กลายเป็นตำนานในยุทธภพได้ อีกทั้งยังสามารถมีชื่อเสียงเลื่องลือไปเป็นร้อยๆ ปี แต่ในตอนที่ท่านอายุสี่สิบท่านได้ตกหลุมรักคนผู้หนึ่งเข้า”
หยางชูถามออกไปว่า “นางเป็นจอมยุทธ์หญิงหรือ”
หมิงเวยนึกถึงหวีไม้ที่ท่านอาจารย์พกไม่ห่างกายแล้วตอบว่า “ไม่ใช่เจ้าค่ะ นางเป็นแม่ม่ายที่ท่านอาจารย์ช่วยชีวิตไว้โดยบังเอิญ” หยางชูตกใจ
“แม่ม่ายผู้นั้น ตอนนางอายุสิบห้าได้แต่งงานกับบุตรชายที่ป่วยหนักของตระกูลที่ร่ำรวยตระกูลหนึ่งเพื่อปัดเป่าความโชคร้าย และในปีที่สองนางก็เป็นม่าย นางอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่บรรดาบุตรชายครอบครัวนั้นเกิดแย่งชิงสมบัติกัน กังวลว่านางจะกลับมาพร้อมกับทายาทจึงใส่ร้ายว่านางสวมหมวกเขียวให้สามี หญิงม่ายผู้หนึ่งแต่งงานเพื่อปัดเป่าความโชคร้ายซ้ำยังถูกใส่ร้าย นางจะมีทางใดให้ไปได้อีกหรือ นางหนีออกจากเรือนในตอนกลางคืน แต่ถูกไล่ตามทันจึงคิดกระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย ท่านอาจารย์ที่ผ่านมาพอดีจึงช่วยชีวิตนางไว้ได้”
หยางชูค่อนข้างรู้สึกเหลือเชื่อ แต่งงานเข้าตระกูลที่ร่ำรวยจึงต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย สตรีจากครอบครัวที่ยากจนไม่แน่ว่าขนาดตัวหนังสือนางยังอ่านไม่ออกด้วยซ้ำ แต่นางทำให้ปรมาจารย์แห่งชีวิตหวั่นไหวได้
“แม่ม่ายผู้นั้นไม่มีที่ไปท่านอาจารย์เป็นคนใจดีอยู่แล้วจึงรับนางไว้ชั่วคราว ในตอนนั้นท่านอาจารย์กำลังจะไปปราบอสูรตัวหนึ่ง เขาตัดสินใจรอให้จัดการเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยหาที่อยู่ให้แม่ม่ายผู้นั้น แต่ว่า…”
หมิงเวยชะงักไปชั่วครู่นางยิ้มหยัน “มันยากที่จะแยกแยะสิ่งต่างๆ บนโลกนี้ พวกเขาเดินทางด้วยกันจนสุดท้ายมิอาจแยกจากกันได้ อสูรตัวนั้นมีพลังมาก และเพื่อที่จะปราบมันทำให้อาจารย์ได้รับบาดเจ็บสาหัส แม่ม่ายผู้นั้นต้องการตอบแทนเขาที่ช่วยชีวิตนางจึงดูแลเขาเป็นอย่างดี และไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นฝ่ายชอบพอก่อนสรุปก็คือเรื่องต่างๆ ได้ดำเนินมาถึงจุดนี้”
หยางชูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ข้าไม่ได้มีเจตนาจะประเมินความรู้สึกอาจารย์ของท่าน แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ความรักเกิดขึ้นเพราะความสงสารนั้นง่ายมาก เขาลำบากมาครึ่งชีวิตไม่เคยถูกดูแลเอาใจใส่อย่างดีมาก่อน แต่แม่ม่ายนางนั้นไม่มีที่พึ่งจึงติดตามอาจารย์ของท่านจะต้องมีความรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน”
“ก็อาจจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” หมิงเวยพูดเสียงเบา “ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลใด มันก็เป็นความรักไม่ใช่เพราะความสงสาร เพราะรักจึงไม่เต็มใจที่จะแยกจากกันใช่หรือไม่”
หยางชูถูกนางเกลี้ยกล่อม “ก็ใช่”
“ท่านอาจารย์ไม่มีความคิดที่จะละทิ้งหน้าที่ ท่านอายุสี่สิบแล้ว แต่แม่ม่ายผู้นั้นเพิ่งจะอายุยี่สิบปี เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเป็นเพราะความเสน่หาหรือเปล่า แต่ในเรื่องนี้แม่ม่ายนางนั้นมีความมุ่งมั่นมากกว่าท่านอาจารย์ การแต่งงานครั้งก่อนของนางคือการเสียสละ แต่ครั้งนี้นางต้องกุมชะตากรรมของตนเองนางไล่ตามขอความรักอย่างยืนหยัดไม่ลดละ สุดท้ายท่านอาจารย์จึงยอมรับในที่สุด ข้ารู้ว่าที่จริงแล้วท่านอาจารย์มีความสุขมากท่านผูกมัดตนเองมาทั้งชีวิตไม่เคยตามใจตนเองเลย ครั้งแรกที่เขาข้ามเส้นก็ต้องมีความสุขกว่าคนปกติอยู่แล้ว…”
หยางชูไม่เข้าใจ “เช่นนี้ไม่ดีหรือ ทั้งสองคนแม้จะอายุและสถานะต่างกันมาก คนหนึ่งยังไม่แต่งงานอีกคนเป็นม่าย ไม่ได้ขวางทางคนอื่นนี่เหตุใดท่านถึงพูดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผิดและเสียใจไปตลอดชีวิตกัน”
หมิงเวยเงียบไปนานและพูดว่า “เพราะนางตายแล้วเจ้าค่ะ”
“ใคร อ้อ ท่านหมายถึงหญิงม่ายนางนั้นหรือ” เทียนซ่วนจื่อมีชีวิตจนกระทั่งถ่ายทอดความรู้ให้นางเขาไม่ตายเร็วเช่นนั้นหรอก
“ท่านอาจารย์บอกว่าท่านเกี่ยวข้องกับกรรมมากเกินไปจึงทำให้นางตาย พวกเขามีเวลาอยู่ด้วยกันเพียงสามปีสั้นๆ และสามปีหลังจากนั้นนางก็จากไป”
หยางชูฟังน้ำเสียงของนางก็รู้สึกเศร้าจนอธิบายไม่ถูกเรื่องนี้มีผลกระทบต่อนางมากไป
ผ่านไปสักพักหมิงเวยพูดต่อว่า “ท่านก็รู้ว่าท่านอาจารย์ไม่ได้มีข้าเป็นศิษย์แค่ผู้เดียว หลังจากนั้นท่านก็รับศิษย์น้องเข้ามาเดิมทีท่านคิดจะส่งมอบป้ายสัญลักษณ์ปรมาจารย์แห่งชีวิตให้ศิษย์น้อง แต่เพราะ…”
นางยิ้มดูถูกตนเอง “ท่านอาจารย์บอกว่าข้ามีหัวใจไม่มั่นคง แยกแยะผิดถูกไม่ได้ เกรงว่ายากที่จะยึดมั่นในตัวเองตรงกันข้ามกับศิษย์น้อง เขามีจิตใจที่บริสุทธิ์ จิตมุ่งมั่นในการทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งสามารถยืนหยัดในตนเองได้”
เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไรนางจึงถามไปว่า “ท่านไม่คิดว่าแปลกหรือ ข้ามาที่นี่ตั้งนาน เรื่องทุกอย่างที่ข้าทำเหตุใดถึงไม่เหมือนคนไม่ดีกัน”
หยางชูพูดอย่างใจเย็น “ข้ารู้ตั้งนานแล้ว แม้ว่าเป้าหมายของท่านจะยุติธรรมและเที่ยงตรง แต่การกระทำดูมีความชั่วร้ายแฝงอยู่ อย่างตอนอยู่ที่ตงหนิงการแก้แค้นของตระกูลหมิงดูเหมือนจะเป็นไปตามหลักการ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นไปโดยพลการ หากเรื่องนี้เป็นศิษย์พี่ของข้าเป็นคนจัดการ เขาอาจสังหารนายท่านสอง นายท่านสามโดยตรงแทนที่จะทำให้เขาเกิดอาการคลั่งจากเคล็ดวิชาทำให้พวกเขาถูกทรมานจนตายด้วยภาพลวงตา”
“ใช่! นั่นเป็นจุดที่ข้าไม่พอใจที่สุดเหตุใดผู้ที่ทำเรื่องดีถึงถูกผูกมัดด้วยข้อจำกัดต่างๆ อยู่เสมอ ไร้มนุษยธรรมงั้นหรือ แล้วอย่างไร พวกเขามีมนุษยธรรมต่อเหยื่อหรือไม่เล่า เมื่อตอนที่ข้าเป็นเด็กข้าก็เคยพูดเช่นนี้กับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์บอกว่าข้าที่มีจิตใจเช่นนี้อันตรายมาก มันเป็นความต่างระหว่างการรักษากับการทำลาย ในฐานะปรมาจารย์แห่งชีวิตเพราะมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาจึงต้องมีคุณธรรมที่สูงกว่าคนธรรมดาทั่วไป” หยางชูลูบหัวนางเบาๆ แสดงการสนับสนุนอย่างไร้เสียง
“แต่หลังจากนั้นท่านอาจารย์ก็เลือกข้าเป็นผู้สืบทอด เพราะข้าบอกท่านอาจารย์ว่าต้องการพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาพูดผิด และทางที่เขาเลือกเดินก็ผิดเช่นกัน ความโชคร้ายของปรมาจารย์แห่งชีวิตเป็นเพียงความโชคร้ายส่วนตัวของเขา ภรรยาของท่านอาจารย์ตายไม่เกี่ยวอะไรกับกรรมของปรมาจารย์แห่งชีวิต…” พูดถึงตรงนี้หมิงเวยก็ก้มหน้าลงเอาหน้าซบเข่า
ผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงพูดต่อ “แต่ยังไม่ทันที่ข้าจะได้พิสูจน์ท่านอาจารย์ก็จากไป หลังจากนั้นข้าก็มาที่นี่ได้พบกับท่าน…” ฟืนไม้ตรงหน้าแตกออกโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หมิงเวยพูดต่อ “ในที่สุดตอนนี้ข้าก็รู้แล้วว่าข้าเข้าใจท่านอาจารย์ผิด เขาไม่ได้กลัวกรรม แต่เพราะความรักมันหนักหนาเกินไปที่จะแบกรับความสูญเสียได้”
“เช่นนั้นก็อย่าปล่อยให้ตนเองสูญเสีย” หยางชูพูด “พยายามรักษาไว้อย่างเต็มที่ถึงจะได้รู้ว่ารักษามันไว้ได้หรือไม่ ท่านว่าจริงหรือไม่”
นางส่ายหน้า “ตอนนี้ข้ายิ่งรู้สึกว่าตัวข้าในเมื่อก่อนนั้นช่างเย่อหยิ่งมากนัก มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่สามารถทำได้ในโลกนี้ ท่านอาจารย์ทั้งเก่งทั้งขยันถึงเพียงนั้นยังทำได้เพียงเฝ้าดูชะตาบ้านเมืองที่เสื่อมโทรมลง และไหลเข้าไปในขุมนรกที่ไม่รู้จัก ข้าพยายามทุกอย่างจนคิดว่าตนเองมาถึงจุดจบแล้ว ในที่สุดข้าก็เกือบเสียทีให้พวกโจรกลุ่มนั้นหากไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสท่านนั้น…”
หมิงเวยถอนหายใจ “มีเรื่องไม่คาดคิดมากมายบนโลกนี้ไม่มีผู้ใดสามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำ แม้จะย้อนกลับมายังยุคสมัยนี้ข้ายังไม่รู้เลยว่าตนเองจะทำสำเร็จหรือไม่ บางทีกงล้อแห่งประวัติศาสตร์อาจไม่ใช่สิ่งที่คนสามารถปิดกั้นได้”
“แต่ท่านก็กลับมาแล้วเป็นโอกาสที่สวรรค์ประทานให้ท่านใช่หรือไม่เล่า”
“ใช่เจ้าค่ะ”
หมิงเวยหันมามองใบหน้าของเขาพยายามค้นหาร่องรอยในนั้น นางในตอนนั้นสูญเสียการมองเห็นเพราะตาอักเสบที่มีสาเหตุมาจากแสงอาทิตย์ที่สะท้อนกับหิมะทำให้มองใบหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าจะเห็นใบหน้านั้นชัดเจน แต่ก็ผ่านมาเจ็ดสิบปีแล้วรูปลักษณ์ของผู้คนก็คงจะเปลี่ยนไป หมิงเวยคิดในแง่ร้ายว่านั่นคือรูปลักษณ์ที่แท้จริงที่พวกเขาควรมี นางในตอนนี้ และเขาในวัยหนุ่มเป็นเพียงแค่ความฝัน
ความสุขจอมปลอมนั้นอยู่ได้ไม่นานฟองแห่งจินตนาการจะต้องแตกออกในสักวันหนึ่ง แล้วจะทนมันได้อย่างไรเล่า จะไม่เสียดายได้อย่างไร สิ่งที่เรียกว่าความรักก็คือใจที่สงสารกับใจที่รักมิอาจพรากจากกันได้
……………