คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 387 คิดน้อย
เหลียงจางมองดูหลิวกงกงเดินเข้ามาคารวะหยางชูด้วยใบหน้าที่ไม่เอาอกเอาใจเมื่อเผชิญหน้ากับเขา “หนึ่งปีแล้วที่ไม่ได้เจอกันคุณชายสามสบายดีหรือไม่”
หยางชูเหลือบมองเขาและพูดด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวสี่จื่อใช่หรือไม่ ท่านได้เลื่อนขั้นแล้วหรือ”
หลิวกงกงยิ้ม “ดูท่านพูดเขาแค่ฝ่าบาทรู้สึกรื่นหูรื่นตาจึงสั่งให้บ่าวมาจัดการธุระบางอย่างเองขอรับ”
“เลื่อนขั้นก็คือเลื่อนขั้นจะถ่อมตัวไปใยเล่า” หยางชูโบกมือ “ได้พบสหายเก่าจากแดนไกลเป็นเรื่องน่ายินดี ในเมื่อท่านได้เลื่อนขั้นอย่างเป็นทางการข้าให้สิ่งนี้เป็นของขวัญแล้วกัน” กล่าวจบแล้วหยกสวยงามที่แกะสลักเป็นรูปเจ้าแม่กวนอิมก็ไปอยู่ในมือของหลิวกงกง
หลิวกงกงประหลาดใจผู้ใดจะไม่รู้ว่าคุณชายหยางหากเป็นของไม่ดีคุณชายไม่ใช้เด็ดขาด ของที่เขาพกติดตัวมาด้วยแน่นอนต้องเป็นหยกชั้นหนึ่งอย่างน้อยมีราคาร้อยถึงพันตำลึง!
“จะดีหรือขอรับ” เขาแสร้งถามอย่างสุภาพ
“ท่านเก็บไว้เถอะข้าดีใจที่ได้เจอสหายเก่า!” หยางชูโบกพัดงาช้างในมือ ท่าทางราวกับใช้ชีวิตในเมืองหลวง
หลิวกงกงมีความสุขมาก “ในเมื่อท่านพูดเช่นนั้นบ่าวก็ไม่เกรงใจนะขอรับ” มองเขาแล้วก็พูดอย่างสงสาร “เห็นท่านจากมาครานี้ดูผอมลงและคล้ำขึ้นเยอะเลย หากกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงทราบเข้าคงเจ็บปวดเป็นแน่!”
หยางชูทำสีหน้าขมขื่นตามคำพูดนั้น “ไม่หรอก สถานที่รกร้างกันดารเช่นนี้ อยากทานเอ็นกวางแม่ทัพเหลียงบอกว่าหาไม่ง่ายเลย!”
หลิวกงกงพูดกับเหลียงจางด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่ทัพเหลียง พวกท่านอยู่ใกล้เขาเหยียนซานกวางป่าคงหาได้ไม่ยากคุณชายสามแค่อยากทานเอ็นกวางแค่นี้หาไม่ได้หรือ”
ตั้งแต่ฟังทั้งสองสนทนากันสีหน้าของเหลียงจางก็ดูตกตะลึง
นี่มันอะไรกันเหตุใดถึงแตกต่างไปจากที่เขาคิดอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่ว่าหลิวกงกงเข้ามาประกาศราชโองการให้พวกเขาจับกุมหยางชูไปประณามความผิดหรือ เหตุใดพวกเขาถึงได้พูดคุยเล่นกัน
นอกจากนี้เด็กนั่นก็ให้สินบนอย่างไม่ต้องสงสัยสิ่งที่น่าโมโหมากที่สุดคือหยกชิ้นนั้นเป็นของตน! เมื่อวานตอนที่เขาก่อเรื่องก็เป็นคนหยิบไปบอกว่าจะเอาไปเล่นไม่กี่วัน…
“หลิวกงกง…”
หลิวกงกงตบหน้าผาก “ดูข้าสิ พอเห็นคุณชายสามก็ลืมหน้าที่สำคัญไปเลย แม่ทัพเหลียงพวกเราได้รับคำสั่งให้เดินทางมาที่นี่เพื่อมอบคำสั่งจากฝ่าบาทให้ท่าน!”
เมื่อพูดถึงเรื่องสำคัญเหลียงจางก็รีบจัดเสื้อผ้าแล้วโค้งคำนับทันที “ข้าน้อยเหลียงจาง รับฟังคำสั่งขอรับ”
หยางชูเองก็เก็บรอยยิ้มแล้วคำนับตามขุนศึกตระกูลหยาง และองครักษ์ก็คำนับตามเช่นกัน
หลิวกงกงหยิบกระดาษแผ่นบางๆ ออกมาจากกล่องผ้าเขาคลี่ออกแล้วพูดออกไป “เหลียงจาง รายงานของเจ้าเจิ้นได้รับแล้ว เจิ้นได้มอบกองทัพขวาไว้ในมือของเจ้าให้ปกป้องเป่ยเทียนเหมิน ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด เห็นแก่ที่ท่านสุขุมรอบคอบและมีความระมัดระวังมาโดยตลอด เรื่องในครั้งนี้เจิ้นจะไม่ถือสา แต่อย่าให้มีครั้งหน้าอีก จบราชโองการ”
หลังจากหลิวกงกงอ่านจบแล้วเขาก็มอบสาสน์ในมือให้กับเหลียงจาง และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แม่ทัพเหลียงรีบลุกขึ้นมาเถิดฝ่าบาทไม่ได้เอาผิดท่าน”
เหลียงจางอ่านราชโองการตั้งแต่ต้นจนจบเมื่อแน่ใจว่าตราประทับนี้ถูกต้อง เขาก็แทบจะลุกไม่ขึ้น เพียงแค่เห็นกระดาษก็รู้แล้วว่าพระราชโองการฉบับนี้เขียนด้วยลายพระหัตถ์ หมายความว่าฝ่าบาทไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจถึงได้ไม่ชี้ตัวผู้ใดเป็นจริงเป็นจัง
แล้วเหตุใดพระราชโองการถึงไม่มีชื่อของเจ้าเด็กแซ่หยางนั่นเลยเล่า กลายเป็นว่าเขาทำผิด และฝ่าบาทไม่คิดที่จะพิจารณาอย่างละเอียดซึ่งทำให้เขารู้สึกสงสัย เรื่องนี้เป็นความผิดของเขาไม่เกี่ยวกับเด็กแซ่หยางอย่างนั้นหรือ
เหลียงจางสงสัยเป็นอย่างมากเขาคิดว่าตนและฝ่าบาทจะเข้าใจกันดีโดยไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เหตุใดปฏิกิริยาของฮ่องเต้ครั้งนี้จึงแตกต่างไปจากที่เขาคิดไว้โดยสิ้นเชิง ฮ่องเต้พระองค์นี้อาจมีเมตตา แต่ถ้าผู้ใดทำให้พระองค์กังวลได้เช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้อง…หยุดเอาไว้! เขาไม่ได้บอกว่าฮ่องเต้ถูกหรือผิดเขาอยากบอกว่า…
เหตุใดเจ้าเด็กแซ่หยางนี่ถึงไม่เป็นอะไรเลย เขาเข้าใจพระประสงค์ของฝ่าบาทผิด หรือว่าฝ่าบาทกับเขาจนถึงตอนนี้แค่ไม่ลงรอยกันเท่านั้น
“แม่ทัพเหลียง” เสียงของหลิวกงกงเรียกสติเขา
เหลียงจางลูบหน้าแล้วยิ้มอ่อน “ทำให้กงกงเห็นภาพตลกเสียแล้ว”
หลิวกงกงหัวเราะ “ฝ่าบาททรงพระเมตตาและคิดถึงท่าน ท่านไม่ต้องกลัวไป”
“ขอรับ” เหลียงจางตอบรับ
เมื่อเรื่องนี้ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของเขาเหลียงจางจึงไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่านี้ เขาตัดสินใจที่จะดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“กงกงเดินทางไกลมายังซีเป่ย ข้าน้อยต้องต้อนรับท่านเป็นอย่างดี เชิญกงกงพักผ่อนที่ห้องรับแขกสักครู่เถิด ตอนค่ำข้าน้อยจะจัดงานเลี้ยงให้ท่าน”
อืม..ดื่มสุราก่อนแล้วค่อยสอบถามว่าฝ่าบาททรงคิดอะไรอยู่กันแน่ เพื่อเลี่ยงที่ตนจะไม่สูญเสียความไว้ใจจากฝ่าบาทโดยไม่รู้ตัว
หลิวกงกงพูดว่า “จัดการธุระให้ฝ่าบาทเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แม่ทัพเหลียงไปทำธุระเถอะ ข้าอยู่นั่งคุยเรื่องวันเก่าๆ กับคุณชายสามได้”
เปลือกตาของเหลียงจางกระตุก ลางสังหรณ์ของเขาบอกว่าท่าไม่ดีแล้ว แต่ก็ไม่สามารถพูดแย้งอะไรออกไปได้จึงทำได้เพียงยิ้มตอบรับ “เชิญกงกงตามสบาย หากท่านต้องการอะไรเรียกพวกเขาได้เลยขอรับ”
“ข้ารู้แล้วท่านไปจัดการธุระเถอะ” เหลียงจางเดินจากไปด้วยท่าทางอาลัยอาวรณ์
หลิวกงกงให้ทุกคนถอยออกไปหยางชูเข้าใจได้อย่างชัดเจนจึงเดินนำอีกฝ่ายไปที่ห้องของหมิงเวย
เมื่อพบหมิงเวยหลิวกงกงก็ยิ้มออกมา “นี่คือแม่นางหมิงงั้นหรือ อยากพบท่านมานานแล้ว”
หมิงเวยทำความเคารพแล้วมองหยางชูด้วยแววตาสงสัย เรื่องเมื่อครู่นางได้ยินแล้ว แต่เขาพาหลิวกงกงมาที่นี่หมายความว่าอย่างไร หลิวกงกงผู้นี้หันไปมองหยางชูอีกครั้งสายตาเต็มไปด้วยคำถาม
หยางชูพูดว่า “อยู่ในห้องนี้ท่านสามารถพูดได้อย่างอิสระ”
หลิวกงกงได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีจึงมองตรงแล้วคำนับเขาอีกครั้ง การคำนับครั้งนี้ดูเป็นทางการมากขึ้น “บ่าวคารวะคุณชายสามขอรับ”
หยางชูประคองอีกฝ่ายแล้วถาม “ท่านแม่สบายดีหรือไม่”
หลิวกงกงพยักหน้า “เหนียงเหนียงสบายดีขอรับ” หยางชูยิ้มด้วยความโล่งใจ
แม้ว่าฟู่จินจะส่งข่าวที่เมืองหลวงมาให้เป็นประจำ แต่มีคนข้างกายเผยกุ้ยเฟยบอกด้วยตนเองเช่นนี้เขาก็วางใจ เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าตนจะไม่มีปัญหาอะไร
การผูกมิตรกับกองทัพซีเป่ยเป็นข้อห้ามของฮ่องเต้ แต่การทะเลาะกับเหลียงจางด้วยเหตุผลไร้สาระเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกโล่งใจมากขึ้น แต่ผู้ที่เดินทางมาเป็นหลิวกงกงเป็นเรื่องประหลาดใจที่คาดไม่ถึง
หลิวกงกงผู้นี้แต่เดิมเป็นขันทีหนุ่มในท้องพระโรงที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากเผยกุ้ยเฟยให้รอดพ้นจากความตาย เขาจึงรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของนางเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เมื่อรอดพ้นแล้วจึงคอยปกป้องอยู่เงียบๆ
หลิวกงกงพูดเสียงเบา “ตั้งแต่เหนียงเหนียงตกพระโลหิต ฝ่าบาทก็โปรดปรานเหนียงเหนียงมากยิ่งขึ้น แม้แต่ฮุ่ยเฟยพระองค์ยังไม่เสด็จไปหา ท่านอยู่ห่างไกลคงไม่ทราบว่าปีที่ผ่านมานี้เหนียงเหนียงเป็นที่รักของฝ่าบาทมากกว่าปีก่อนๆ หลายเท่า…นอกจากนี้ตราประทับหงส์ตอนนี้ก็อยู่ในมือของเหนียงเหนียงขอรับ”
หัวใจของหยางชูพองโตคำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร เขาเข้าใจเป็นอย่างดี!
เมื่อก่อนเผยกุ้ยเฟยเป็นใหญ่ในหกตำหนัก แต่ก็ไม่ค่อยดูแลเรื่องต่างๆ เท่าไรนัก ตอนนี้นางได้ตราประทับหงส์ไปแล้วหมายความว่านางเริ่มต่อสู้เพื่ออำนาจ
เหตุใดต้องทำเช่นนั้นแน่นอนว่าเพื่อเขา!
“คุณชายสาม” หลิวกงกงพูด “ก่อนที่บ่าวจะมาที่นี่เหนียงเหนียงได้สั่งการเป็นพิเศษอยู่หนึ่งอย่าง”
“อะไรหรือ”
“คิดน้อยทำเยอะ”
…………