คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 406 เตือนสติ
“เป็นไปไม่ได้!” ตอนนี้บุรุษชุดดำก็ยังไม่เชื่อว่าแผนของตนเองผิดพลาด
ทุกอย่างราบรื่นอย่างเห็นได้ชัดอย่างแรกเขาใช้หลักฐานข่มขู่ตระกูลจง และหลอกล่อหยางชูให้เดินทางมายังไป๋เหมินเซี่ยทำให้พวกเขาคิดว่าตนเองเป็นคนที่ซือฮว๋ายไท่จื่อเหลือทิ้งไว้ให้เขา และเพื่อตามหานายน้อยจึงคิดแผนนี้ขึ้นมา
จากนั้นเขาก็ติดต่อคุณชายหยางหลอกให้เขาเชื่อในจุดประสงค์ที่มาพบของตนให้เขาใช้ประโยชน์จากตอนกลางคืนเพื่อเดินเข้าไปในกับดัก และปล่อยให้คนที่ซุ่มโจมตีอยู่ตลอดทางฆ่าเขา เขารู้ว่าตระกูลจงไม่ไว้วางใจตนถึงขนาดจงซู่เดินตามหลังอีกฝ่ายเพื่อคุ้มกันด้วยตนเอง
แต่แล้วอย่างไร หนึ่งคือกลางคืนที่มืดสลัว สองคุณชายหยางไม่มีท่าทีป้องกันตนเองต่อตน ตราบใดที่เขาเร็วพอเขาก็สามารถประสบความสำเร็จได้
แผนดำเนินไปอย่างราบรื่น และลูกธนูนับหมื่นถูกยิงออกไปคุณชายหยางจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร
“ท่านไม่ได้ถูกรั้งไว้อยู่หรือ” บุรุษชุดดำถามหมิงเวยอย่างแปลกใจ
“ท่านหลิน ท่านดูถูกนางมาก” หยางชูหัวเราะ “แม้แต่ผู้นำเผ่าหูอย่างซูถูที่ไล่ตามฆ่านางยังทำไม่สำเร็จใช้แค่คนสามคนจะไปรั้งอะไรนางได้”
บุรุษชุดดำกัดฟันสั่นเขารู้ว่าหมิงเวยรับมือยากถึงได้จงใจกันนางออกไปก่อน บุรุษลึกลับเหล่านั้นเป็นทหารที่เก่งที่สุดของเขา วรยุทธ์อาจไม่ได้ยอดเยี่ยมนัก แต่พวกเขาเป็นคนฉลาดและตื่นตัวมากผู้ใดจะคิดว่า…
จงซู่พูดเสียงขรึม “ท่านหลินเดิมทีข้าต้องการจัดการเรื่องนี้อย่างสงบ แต่ไหนเลยจะรู้ว่าท่านมีเจตนาร้าย ในเมื่อเป็นเช่นนี้โทษไม่ได้หากข้าจะโหดเหี้ยม! จับเขาไว้!”
ทหารของเขาขานรับ และก้าวไปข้างหน้า บุรุษชุดดำแค่นหัวเราะ “พวกท่านจะทำอะไรข้าได้”
เขากระโดดหนีอย่างรวดเร็วจนเห็นเพียงเงาแวบผ่าน
“ยิงธนู!” ทหารตระกูลจงง้างคันธนู แต่แขนเสื้ออีกฝ่ายพลิ้วไหวดุจเมฆ ลูกธนูร่วงหล่นทีละดอก
บุรุษชุดดำหัวเราะหยัน หลังจากความล้มเหลวนี้คนของบุรุษชุดดำเห็นท่าทีว่าไม่น่ารอด แม้แต่ตัวเขาเองแค่คิดจะหนียังยากเลย…
เมื่อนึกถึงคำว่ายากก็ได้ยินเสียง ‘ติง’ ดังขึ้น เสียงดีดดนตรีเครื่องสายทำเอาหัวใจรู้สึกสั่นสะท้าน
“ติงๆ!” เสียงกู่ฉินฉวยโอกาสที่ชนะไล่ล่า เสียงที่ดังขึ้นติดกันทำเอาชีพจรของเขาแปรปรวน
บุรุษชุดดำพยายามข่มมันไว้ทันทีที่พบว่ากำลังภายในของตนกำลังวิ่งรอบเส้นลมปราณจนไม่สามารถยับยั้งได้
“ยิงธนู!”
เสียงคำสั่งดังขึ้นอีกครั้งภายใต้อิทธิพลของเสียงกู่ฉินทำให้การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่กระฉับกระเฉงเหมือนเคย ลูกธนูสองดอกพุ่งทะลุผ่านอากาศหนึ่งดอกยิงเข้าที่ไหล่ของเขา ส่วนอีกหนึ่งดอกยิงโดนที่ต้นขา
“ติง!” เสียงกู่ฉินกลายเป็นยันต์เตือนชีวิตบุรุษชุดดำทนไม่ไหวอีกต่อไป ลมปราณภายในของเขาบิดเบี้ยวจนอาเจียนเป็นเลือดเต็มปากและล้มลง
ทหารของจงซู่วิ่งเข้าไปหาเขา จงรุ่ยวางคันธนูลง และเห็นหยางชูที่อยู่อีกด้านเก็บธนูเช่นกัน เขาพูดด้วยความจริงใจว่า “คุณชายหยางยิงได้แม่น”
หยางชูเหลือบมองเขา “ข้ายิงโดนท่านก็ยิงโดน ท่านชมข้าไม่ใช่ว่ากำลังชมตนเองอยู่ใช่หรือไม่”
“…” จงรุ่ยจุกในลำคออยากจะตีเขาจริงๆ!
การเริ่มต้นเช่นนี้ควรเป็นความเห็นอกเห็นใจไม่ใช่หรือเขาไม่เคยเจอคนที่พูดไม่รู้เรื่องเช่นนี้มาก่อน! บุรุษชุดดำถูกมัดอย่างแน่นหนาและพาตัวเข้ามาใกล้
จงซู่ประสานมือและถามอย่างสุภาพ “คุณชายหยาง บุรุษผู้นี้ควรทำอย่างไรดี”
หยางชูตอบ “ที่นี่คืออาณาเขตของตระกูลท่านคนที่เขาวางแผนเล่นงานคือตระกูลท่าน พวกท่านจัดการตามสมควรเถอะ”
จงซู่พยักหน้าเขาให้เกียรติตนเป็นคนจัดการจึงโบกมือให้คนของเขาพาตัวออกไป
บุรุษชุดดำที่มีเลือดเปื้อนที่มุมปากกลับหัวเราะออกมาเสียงดัง และจ้องมองพวกเขาอย่างขมขื่น “พวกท่านคิดว่าตนเองจะผ่านไปได้อย่างนั้นหรือ คนผู้นั้นในตอนนี้ไม่มีความสามารถอะไร แต่อย่างไรเขาก็เป็นถึงฮ่องเต้เมื่อใดที่ชาติกำเนิดของคุณชายหยางถูกเปิดเผยข้าจะรอดูว่าท่านจะจัดการอย่างไร!”
จงซู่มีสีหน้ามืดครึ้มเขาตะโกนสั่งการ “ปิดปากเขาแล้วลากตัวออกไปซะ!”
“ขอรับ!” บุรุษชุดดำถูกลากตัวออกไปส่วนการฝึกซ้อมเพื่อชัยชนะนั้นไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินการต่อ
จงซู่กล่าวว่า “คุณชายหยาง เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้ท่านตกใจโปรดพักผ่อนที่ค่ายสักคืนแล้ววันรุ่งขึ้นค่อยเดินทางกลับจวนเถิด” พูดจบเขาก็สั่งการทหารของตน
“เดี๋ยวก่อน!”
จงซู่ประหลาดใจ “คุณชายหยางมีอะไรหรือ”
หยางชูยิ้ม “เรื่องของพวกเขาจบลงแล้ว แต่เรื่องของพวกเรายังไม่จบขอรับ! ”
จงซู่เลิกคิ้ว “เรื่องของพวกเราอะไรหรือ”
“ที่คนแซ่หลินพูดมานั้นไม่ผิด หากชาติกำเนิดของข้าถูกเผยแพร่ออกไปอีกทั้งยังปล่อยข่าวลือออกไปอีก แม้พวกท่านจะพบหลักฐานเกรงว่าเรื่องนี้คงไม่ผ่านไปได้ง่ายๆ เป่ยหูในตอนนี้มั่นคง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเป็นไปไม่ได้ที่จะส่งเสริมการทหาร และพวกท่านตระกูลจงก็จะมีความสำคัญน้อยลง”
จงซู่มองลึกเข้าไปในดวงตาของหยางชูที่เขาพูดจาไร้สาระต่อหน้าจงรุ่ยนั้นมันก็เป็นแค่ท่าทีของคุณชายผู้ดีมีเงินพออยู่ต่อหน้าตนกลับวางกิริยาท่าทางเหมาะสม แต่ก็ดูไม่ได้มีความสามารถมากมายอะไร แต่เมื่อคุยบทสนทนานี้ออกไปสีหน้าและแววตาของเขาดูสงบเหมือนคนที่วางแผนมาอย่างดี
จงซู่ถามกลับเสียงนิ่ง “คุณชายหยางต้องการอะไรหรือ”
“ก็แค่อยากจะเตือนแม่ทัพจง” หยางชูยิ้ม “แม้ว่าข้าจะไม่ทราบว่าตระกูลจงกับบรรพบุรุษของท่านมีที่มากันอย่างไร แต่เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าชีวิตของข้าสามารถข่มขู่พวกท่านได้ ตอนนี้ข้าอยู่ที่นี่ข้างกายมีองครักษ์ไม่ต่ำกว่าสิบคน แต่แม่ทัพจงที่มีทหารหลายแสนนายอยู่ในกำมือ ขอเพียงท่านสั่งการข้าสามารถสิ้นชีพได้ทันที เมื่อถึงตอนนั้นท่านก็ไม่มีอะไรให้มาข่มขู่ได้อีก”
จงซู่พูดช้าๆ “โจรพวกนั้นต้องการให้ท่านตายที่นี่ตอนนี้แผนของพวกเขาล้มเหลวแล้ว หากข้าฆ่าท่านด้วยน้ำมือของข้าเองไม่เท่ากับว่าข้ากระโดดลงไปในกับดักหรอกหรือ”
หยางชูหัวเราะ “ชายแซ่หลินคิดว่าตนเองฉลาด แต่กลับลืมไปว่าแม่ทัพจงมีทางเลือกที่ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดได้”
เขาหุบยิ้มแล้วลดเสียงลง “เช่นนั้นก็ฆ่าข้าแล้วนำศีรษะข้ากลับไปยังเมืองหลวงเพื่อขอประทานอภัยเขาเลยสิ! เขาเป็นคนขี้สงสัยแต่แสร้งทำเป็นใจดี ตราบใดที่ท่านสารภาพบาป ถอยออกมาก่อนถือว่ารอดพ้นจากความผิดแล้ว! ให้เขาคิดว่าจับความผิดพลาดของพวกท่านได้แล้ว จนกลายเป็นคนสนิทของเขาอย่างแท้จริง! เมื่อถึงเวลานั้นตระกูลจงจะไม่เป็นเหมือนดังเช่นตอนนี้ที่ดูเหมือนมีหน้ามีตาอย่างไม่มีใครเทียบได้ แต่ก็ยากเข็ญทุกย่างก้าว”
กล่าวจบหยางชูก็ส่งยิ้มให้ “ตราบใดที่แม่ทัพจงทำตามวิธีของข้าก็จะไม่มีปัญหาตามหลังอีกต่อไป ท่านว่าอย่างไร”
ไร้รอยยิ้มบนใบหน้าของจงซู่เขามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา
จงรุ่ยตกตะลึง และโพล่งออกมา “ท่านบ้าไปแล้วหรือเสนอความคิดเช่นนั้นกับพวกเราไม่ต้องการชีวิตของตนเองหรืออย่างไร”
หยางชูเพียงแค่ยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบคำถามของเขา
หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ได้ยินจงซู่พูดขึ้นอย่างเงียบๆ ว่า “เหตุใดคุณชายหยางถึงไม่ถอยออกมาก่อนเพื่อเอาตัวรอดล่ะ ใช่ ความคิดนี้เป็นความคิดที่ดีเดิมทีข้าเองก็วางแผนไว้ว่าหากไม่สามารถหาหลักฐานกลับมาได้ คงต้องทำเรื่องชั่วร้ายเพื่อตระกูล ตอนนี้ได้ถูกท่านทำลายไปแล้วข้าจึงไม่จำเป็นต้องเลือกทางนี้”
หยางชูหัวเราะ “ตอนนี้ยังไม่สายเกินไปที่แม่ทัพจงจะทำชื่อเสียงอะไรนั่นจะสำคัญกว่าชีวิตได้อย่างไรท่านคิดว่าถูกหรือไม่”
จงซู่ไม่ได้ตอบคำถามนี้และพูดต่อ “เพียงแต่คุณชายหยางเองก็มีความโลภเช่นกัน ภายใต้ธงประจำตระกูลจงมีทหารสองแสนนายเฝ้าชายแดนซีเป่ยเรียกได้ว่าเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในต้าฉี คุณชายหยางแค่อยากบอกให้พวกเราเลือกฝั่งท่านด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคงั้นหรือ”
จงรุ่ยผงะเมื่อเขาได้ยินเขาร้องขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านพูดอะไรน่ะ เหตุใดอยู่ดีๆ พวกเราต้องไปอยู่ฝั่งเขาด้วย”
……………