คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 425 ลอบโจมตี
“พวกเขาคิดจะทำอะไร” หนิงซิวสงสัย “จำนวนคนแค่นี้ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”
หมิงเวยตอบเสียงแข็ง “ไม่ว่าพวกเขาคิดจะทำอะไรแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดี แน่ต้องหยุดยั้งพวกเขาก่อนแล้วค่อยว่ากันเจ้าค่ะ”
“ได้” ทั้งสองกระโดดเข้าไปในตำแหน่งของพวกทหาร
ภายใต้การรุมทึ้งของทหารหมาป่าหิมะ กระบวนแถวของกองทัพแคว้นฉีได้แตกออกจนเผยช่องโหว่ ถึงแม้ส่วนใหญ่จะถูกขวางอยู่ด้านนอก แต่ก็ยังมีทหารขี่ม้าสลัดการไล่ตาม และการสกัดกั้นของกองทัพแคว้นฉีตรงเข้าไปในกองทัพกลางได้
เมื่อแม่ทัพในกองกำลังทหารหลักเห็นเข้าก็สั่งให้นักธนูเตรียมการ
อย่างไรก็ตามพวกเขาเคลื่อนไหวเร็วมากมีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับบาดเจ็บ ส่วนที่เหลือรีบไปแนวหน้ายกกระบี่ขึ้นแล้วฟัน
“พวกเขาไม่ใช่คนหูเหรินที่ยึดเนินกรวด” จงซู่หรี่ตาและมองดูครู่หนึ่ง
“ท่านแม่ทัพ นั่นเป็นทหารจากเผ่าหมาป่าหิมะขอรับ!” ทหารผู้รับผิดชอบหน่วยข่าวกรองตะโกนว่า “กองทัพทหารของซูถูหัวหน้าเผ่าหู!” จงซู่เงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ
ตอนนี้ทหารจากเผ่าหมาป่าหิมะอยู่ที่นี่แล้วแสดงว่าซูถูต้องอยู่แถวๆ นี้แน่
เขาหันศีรษะแล้วถามว่า “ทหารที่ถูกส่งไปขโมยเมืองเป็นอย่างไรบ้าง”
“เข้าไปแล้วขอรับ” องครักษ์คนสนิทตอบเขาชะงักไปชั่วครู่แล้วถามว่า “ท่านแม่ทัพ พวกเราควรส่งคนไปค้นหาบริเวณรอบๆ นี้ดีหรือไม่ หัวหน้าเผ่าซูถูต้องมองเราจากที่ไหนสักแห่งแน่”
จงซู่ตอบ “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจเขาให้ความสนใจกับเมืองก็พอ ทันทีที่ประตูเมืองเปิดเราจะเข้าไปในเมืองทันที!”
“ขอรับ” จงซู่ถอนหายใจในใจ
ซูถูคงอยากสังหารเขามาก อันที่จริงนี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะฆ่าซูถู แต่กำลังคนไม่พอเลยต้องแย่งชิงเนินกรวดกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ทหารหมาป่าหิมะยังคงโจมตีกองทัพกลางแม้ว่าจำนวนของพวกเขาจะน้อยลงเรื่อยๆ พวกเขาก็ไม่มีความคิดที่จะหยุดจงซู่จึงจำเป็นต้องเคลื่อนไหว
“ผู้นำเผ่าหูคนใหม่นามซูถูนี่เก่งจริงๆ ทหารของเขากล้าหาญมาก”
หัวหน้าองครักษ์ตอบ “ทหารของท่านก็ดีไม่ต่างกันขอรับ!”
จงซู่หัวเราะแล้วสั่งการว่า “ตรวจสอบสถานการณ์ของกองทัพส่วนกลางทันที พวกเขาไม่เสียดายชีวิตเช่นนี้ต้องมีแผนอย่างแน่นอน”
“ขอรับ”
จงซู่ไม่สามารถพูดได้ว่าประมาท แต่มีบางสิ่งที่อยู่เหนือความคิดของเขา
อีกด้านหนึ่งหมิงเวยและหนิงซิววิ่งตามผู้ต้องสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง และบังเอิญมีลูกธนูพุ่งออกมา จากนั้นคนผู้นั้นก็ล้มลง
ทั้งสองหยุดชั่วขณะพยายามไล่ตามคนอื่น แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาไล่ตามอีกฝ่ายมานานเพียงใด เหล่าผู้ต้องสงสัยเหล่านี้ก็ตายไปทีละคนไม่ถูกฆ่าฟันจนตายก็ถูกม้าเหยียบตายจนสุดท้ายไม่เหลือรอดเลยสักคนเดียว
หนิงซิวหยุด เขาสับสนเล็กน้อย “ตายหมดแล้วหรือ”
ง่ายเกินไปหรือไม่คนพวกนี้ย่องเข้ามาในสนามรบเช่นนี้จะต้องมีแผนไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงตายง่ายเช่นนี้ หมิงเวยงงงวยเช่นกันนางยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งทันใดนั้นก็รู้สึกถึงลมหายใจที่ผิดปกติ สีหน้าของนางเปลี่ยนไปและตะโกนขึ้นว่า
“พวกเขายังไม่ตาย!”
สิ่งที่ขาดไม่ได้มากที่สุดในสนามรบคือคนตายการต่อสู้ดำเนินไปตลอดทั้งวัน และมีศพนอนอยู่รอบๆ
เนื่องจากทหารม้าเบาจู่โจมศัตรูที่อยู่ห่างไกลเส้นทางถูกตัดขาดก่อนที่ประชาชนจะตามมาตอนนี้ไม่มีผู้ใดทำความสะอาดสนามรบแล้ว และศพดูเหมือนจะมีมากขึ้นไปอีก ผู้ต้องสงสัยล้มลงไปได้ไม่นานก็มีควันลอยออกมา และเข้าไปในซากศพอื่นที่ค่อนข้างสมบูรณ์
ในไม่ช้าศพก็ลุกขึ้นยืนโซเซและวิ่งต่อไป เมื่อศพนี้ล้มลงด้วยก็ถูกแทนที่ด้วยศพอื่น ในตอนที่หมิงเวยรับรู้อีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปหลายคนแล้ว นางเพ่งสมาธิมองหาพวกเขาทีละคน
“เจอแล้ว!” หลังจากพบหนึ่งในนั้นนางกับหนิงซิวก็พุ่งเข้าไปอีกครั้ง
ดูเหมือนคนผู้นั้นจะรู้ตัวจึงตายอย่างรวดเร็วแล้วปีนขึ้นมาอีกครั้ง การเปลี่ยนศพบ่อยครั้งทำให้หมิงเวยติดตามได้ยาก
หนิงซิวถามด้วยความประหลาดใจ “ถ้าพวกเขาเป็นเช่นนี้พวกเราจะไม่สามารถฆ่าได้ใช่หรือไม่”
“ไม่เจ้าค่ะ” หมิงเวยดึงหน้าไม้เล็กๆ ออกจากแขนเสื้อแล้วเล็งไปที่คนผู้นั้น
“พวกเขาไม่ได้เลือกซากศพที่ไร้หัว หรือก็คือ แค่ตัดหัวพวกเขาออกก็ใช้ได้แล้ว”
สิ้นเสียงลูกศรหน้าไม้ก็พุ่งออกมา ‘สวบ’ แรงอันมหาศาลยิงเข้าจากด้านหลังศีรษะของชายผู้นั้น จากนั้นหัวของอีกฝ่ายก็ระเบิดแล้วร่างนั้นก็ล้มลงนอนตายบนพื้น
หมิงเวยรออยู่ครู่หนึ่งเมื่อสัมผัสได้ว่าไม่มีการเปลี่ยนร่างจึงพูดขึ้น “ใช้ได้ พวกเราหาศพอื่นต่อ”
“ได้” เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์พลังคลื่นเสียงจึงไม่มีประโยชน์
หนิงซิวดึงกระบี่ที่ซ่อนอยู่ในกู่ฉินออกมากระบี่เรียวยาวฉายแสงเย็นสลัวใต้แสงจันทร์
หมิงเวยยิ้มและพูดว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นอาจารย์ใช้กระบี่ไม่ทราบว่าทักษะยอดเยี่ยมไม่แพ้กู่ฉินเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หนิงซิวส่ายหน้า “ข้าชำนาญกู่ฉิน ทักษะกระบี่ข้าไม่แข็งแกร่งเท่าศิษย์น้อง แต่” ในน้ำเสียงอันเรียบเฉยของเขามีกลิ่นอายสังหารแผ่ออกมา “ฆ่าคนได้ก็เพียงพอแล้ว”
ทั้งสองแยกกันค้นหาตัดหัวคนตายทีละคนหรือไม่ก็ระเบิดหัวทิ้งไปซะ
ในตอนนั้นในมือของทหารนายหนึ่งในกองทัพแคว้นฉีถือบางสิ่งบางอย่าง จากนั้นเขาก็ตะโกนขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ! ข้าน้อยพบตำแหน่งของผู้นำเผ่าหูแล้วขอรับ ท่านดูนี่ นี่เป็นหมวกของผู้นำ!”
จงซู่หยุดชะงักแล้วหันกลับมาสั่งทหาร “ไปดูหน่อย”
“ขอรับ”
ทหารนายนั้นกำลังเดินเข้ามาใกล้ แต่ก็ถูกหัวหน้าห้ามไว้ องครักษ์คนสนิทเดินเข้าไปพูดด้วยสองสามคำพร้อมยืนยันว่าหมวกในมืออีกฝ่ายเป็นหมวกของผู้นำจริงหรือไม่ หูเหรินมักนำอัญมณีประดับบนหมวกเพื่อแสดงฐานะซึ่งแยกแยะได้ไม่ยาก
เพื่อแยกแยะหมวกให้ออกจึงเรียกหาคบเพลิง
…………
ซูถูที่อยู่บนยอดเขาเมื่อทหารหมาป่าหิมะบุกเข้าไปในกระบวนแถว เขาเล็งไปที่กองทัพกลางพลางจับคันโยกแน่น ภายใต้การโจมตีของทหารหมาป่าหิมะ กองทัพกลางได้ย้ายตำแหน่งจนสามารถเข้าสู่ระยะการยิงเป็นครั้งคราว
ซูถูอดทนมากและรออย่างเงียบๆ แต่แค่นี้ยังไม่เพียงพอ
ไม่มีแสงไฟ มีแค่แสงจันทร์เพียงอย่างเดียวทำให้มองเห็นตำแหน่งของจงซู่ได้ยาก
ในตอนนั้นข้ารับใช้เก่าขององค์หญิงหย่งชิงได้เคลื่อนไหว…
เปลวไฟปรากฏขึ้นดวงตาของซูถูเป็นประกายเขาไม่รีรอที่จะโยกคันโยก!
ลูกศรหน้าไม้หลายสิบลูกพุ่งออกจากหน้าไม้ และยิงใส่จงซู่ที่อยู่ในกองทัพกลาง!
โอกาสไม่ได้ดีมากแค่อยู่ในระยะการยิง แต่ก็ยังมีคนคุ้มกันมากมาย แต่นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เขาสามารถหาได้ ลูกศรหน้าไม้นั้นทรงพลัง หนึ่งครั้งสามารถยิงออกไปได้หลายดอกมีโอกาสสูงที่จะยิงโดนจงซู่!
เมื่อทหารนายนั้นเข้าใกล้กองทัพกลางหมิงเวยก็ได้เห็น นางสัมผัสได้ถึงลมหายใจของบุคคลนั้น หมิงเวยตกใจและรีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว “แม่ทัพจง เขาเป็นสายลับ!”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของนางจงซู่ก็ตะโกนขึ้นทันที “หน่วยป้องกัน!”
แนวป้องกันพุ่งออกไปข้างหน้าทันที ลูกศรหน้าไม้ลอยไปบนอากาศ
หัวหน้าองครักษ์เห็นแล้วตะโกน “ข้างบน!” ยังพูดไม่ทันจบลูกศรหน้าไม้ก็ถูกยิงไปแล้ว ลูกศรพุ่งราวกับห่าฝนตกใส่แนวป้องกัน
“ฉึกๆ!” เสียงลูกศรดังขึ้นพร้อมกับเสียงกรีดร้อง
“ท่านแม่ทัพ!” หัวหน้าองครักษ์รีบวิ่งเข้ามา หนิงซิวตัดหัวของชายผู้นั้นด้วยกระบี่ เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นจงซู่ตกจากหลังม้า
เขาเองก็ถูกยิงด้วย หมิงเวยตกใจอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเข้ามาดูก็เห็นจงซู่ถูกองครักษ์ประคอง มีลูกศรหน้าไม้พุ่งทะลุสะบักไหล่ของเขาปักลงบนพื้น
“ข้าไม่เป็นไรไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอะไร” จงซู่โบกมือและถามหัวหน้าองครักษ์ “ประตูเมืองขโมยมาได้หรือยัง”
องค์รักษ์คนสนิทกำลังจะตอบ และทหารที่อยู่ตรงนั้นก็รีบวิ่งไปพร้อมกับตะโกนว่า “ประตูเมืองเปิดแล้ว ประตูเมืองเปิดแล้วขอรับ!”
จงซู่ยิ้มออกเขาลุกขึ้นขี่ม้าทั้งที่มีลูกศรปักที่ไหล่อยู่ “ไป เข้าเมือง!”
หมิงเวยโล่งใจเล็กน้อย นางไม่ได้ตามเข้าไปในเมือง แต่มองไปในทิศทางที่ลูกศรหน้าไม้พุ่งมา นางเขย่งปลายเท้าแล้วพุ่งไปที่นั่น
………….