คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 437 ค่ายศัตรู
ซูถูยกม่านขึ้นสิ่งที่เห็นคือค่ายทหารที่ตกอยู่ในความวุ่นวาย เกิดเสียงสังหารอยู่รอบทิศ แสงไม่เพียงพอ และมีเงารางๆ อยู่ทุกหนทุกแห่ง
เขาหันศีรษะมาสั่งการ “ไปที่กองหลังและเรียกคนของท่านย่าออกมา”
“ขอรับ” กองทัพแคว้นฉีมีกันอยู่แค่นั้นเหตุใดจู่ๆ ถึงสังหารคนจำนวนมากขนาดนี้ได้ มันต้องมีปัญหาแน่ๆ
ซูถูรู้ว่าสตรีนางนั้นมีวิชานี่จะต้องเป็นฝีมือของนางแน่นอน เคล็ดวิชาของจงหยวนถูกจัดการโดยคนจงหยวน! แต่มันก็ต้องใช้เวลา
ปาตงส่งข่าวไปที่กองหลังด้วยตนเอง ชายชราหัวหน้าได้ฟังเรื่องราวจากเขาแล้วก็เดินทางออกจากค่ายเพื่อเดินทางไปจุดที่เกิดการจราจล
ในตอนกลางคืนทหารแคว้นฉียกกระบี่ฆ่าฟันเพราะแสงไม่เพียงพอ ทหารเผ่าหูจึงดูไม่ออกว่าผู้ใดคือศัตรู ชายชราเดินเข้ามาเขายกนิ้วขึ้นชี้ ทหารแคว้นฉีที่ยกกระบี่ฆ่าฟันก็กลายเป็นกระดาษแผ่นบางและล้มลงกับพื้น
“มันคือกระดาษยันต์” ชายชรากล่าว “อีกฝ่ายมีพลังมาก”
ลักษณะของยันต์นี้เขาดูคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
ปาตงกล่าวว่า “รบกวนท่านเซียนช่วยจัดการของแปลกประหลาดพวกนี้ให้ทีเถิด”
ชายชราพยักหน้าจากนั้นจึงหันหน้าไปเรียก “จางซาน”
จางซานรับคำแล้วพูดว่า “ท่านผู้เฒ่า เป็นแม่นางผู้นั้นหรือขอรับ”
“น่าจะใช่” เขาถอนหายใจ “หากตอนนั้นไม่ปล่อยนางไปคงไม่เกิดเรื่องกับองค์หญิง…”
จางซานพูด “ตอนนั้นผู้ใดจะรู้ว่านางจะกลายเป็นศัตรูของพวกเรา องค์หญิงสั่งให้พวกเราอยู่ปกป้องที่นั่นจึงไม่กล้าออกไป…”
ชายชราส่ายหน้า “ไม่มีเหตุผลที่จะพูดเรื่องนี้อีกเรียกพวกเขาออกมา ต้องจัดการกระดาษคนพวกนี้ก่อน”
“ขอรับ”
ในตอนนั้นหนิงซิวได้บินขึ้นไปกลางอากาศแล้ว วันนี้มีเมฆมากพระจันทร์สีจางหายไปในก้อนเมฆเป็นครั้งคราว เขาลอยอยู่เหนือค่ายศัตรูภายใต้ความมืดมิด
การจลาจลดำเนินต่อไปชั่วขณะหนึ่งมีบางคนวิ่งออกมาจากค่ายทหารกองหลัง คนเหล่านี้แต่งตัวต่างจากทหารเผ่าหู รอบกายพวกเขามีกลิ่นอายแปลกๆ
หนิงซิวหยิบหน้าไม้ขนาดเล็กที่เตรียมไว้เป็นพิเศษออกมาเขาใส่ลูกธนูแล้วโยกคันหน้าไม้ ปลายลูกศรนี้ส่องแสงสีเลือดจางๆ ซึ่งเขา และหมิงเวยใช้เวลาหลายวันในการสร้างมันขึ้นเป็นพิเศษ
ด้านบนอาบด้วยน้ำปราบปีศาจที่ประกอบด้วยเลือดสุนัขดำ น้ำข้าวเหนียวและอื่นๆ เพื่อปราบสิ่งเหล่านี้โดยเฉพาะ
ทันทีที่คนเหล่านี้ออกมาพวกเขาก็แยกย้ายกันออกไป หนิงซิวเล็งไปที่หนึ่งในคนพวกนั้นแล้วโยกคันหน้าไม้ ลูกศรหน้าไม้แทงทะลุอากาศจากบนลงล่าง เจาะเข้าไปในร่างกาย
คนผู้นั้นเดินตัวเอียงแล้วล้มลงกับพื้นเลือดสีดำไหลออกมาอย่างช้าๆ และหยุดเคลื่อนไหว หนิงซิวถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าน้ำปราบปีศาจใช้ได้ผล
การตายของคนผู้นั้นทำให้เกิดการจลาจลเหล่าหูเหรินค้นหาตำแหน่งของศัตรู แต่ไม่มีผู้ใดเงยหน้าขึ้นมองด้านบนเลย หนิงซิวกวาดตามองหาคนต่อไป
…………
เมื่อค่ายอยู่ในความโกลาหลกัวสวี่นั่งอยู่บนกระเช้าแขวนลงจากกำแพงเมืองอย่างระมัดระวัง มีหูเหรินรออยู่ที่นั่นอยู่แล้วซึ่งอีกฝ่ายทำความเคารพต่อเขาแล้วพูดด้วยภาษาจงหยวนที่ไม่ค่อยถนัด “ใต้เท้า”
กัวสวี่ยิ้มอย่างจริงใจ “พวกเราไปกันเถอะ”
หูเหรินถาม “ท่านไม่พาคนมาด้วยหรือ”
กัวสวี่สะบัดแขนเสื้ออย่างสง่างาม “จะไปพบต้าห่านของเจ้าจำเป็นต้องพาคนไปด้วยหรือ”
หูเหรินไม่รู้คุณธรรมของนักปราชญ์จงหยวนจึงแสดงสีหน้าชื่นชมด้วยการยกนิ้วโป้งให้ “ใต้เท้าเป็นนักรบที่แท้จริง”
กัวสวี่ยิ้มอย่างสุภาพและผายมือ “เชิญนำทาง”
ทั้งสองใช้เส้นทางเล็กๆ เดินวนเข้าไปในค่ายฝั่งซ้ายเงียบๆ ค่ายฝั่งซ้ายเงียบไม่เหมือนกับกองทัพกลางที่ตกอยู่ในความวุ่นวายมีเพียงทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น
กัวสวี่เข้าใจเป็นอย่างดี แน่นอนว่าชนเผ่าหูเหรินไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน กองทัพกลางเกิดความจราจลเช่นนั้น แต่ค่ายทหารฝั่ายซ้ายกลับไม่เคลื่อนไหว
เขามีความมั่นใจมากขึ้น หูเหรินผู้นี้พาเขามาอยู่ตรงหน้ากระโจมใหญ่แล้วพูดภาษาหูกับทหารเฝ้ากระโจมสองสามคำ ทหารนายนั้นพยักหน้าจากนั้นเข้าไปรายงาน และไม่นานก็เชิญพวกเขาเข้ามา
กัวสวี่จัดเสื้อผ้าและเข้าไปข้างใน มีคนจำนวนมากนั่งอยู่ในกระโจมนี้
หูเหรินผู้เป็นหัวหน้ามีอายุค่อนข้างมากแล้ว เคราสีดอกเลาประดับบนใบหน้า และร่างกายที่ยังดูแข็งแรง ส่วนคนต่อๆ ไปดูเหมือนจะเป็นสมาชิกระดับสูงของเผ่า
กัวสวี่ทำความเคารพอย่างไม่แข็งกร้าว แต่ก็ไม่ดูเย่อหยิ่ง “กัวสวี่จากแคว้นฉี คารวะทุกท่าน”
ต้าห่านของเผ่าเก๋อซางมองต่ำลงมาตามด้วยสำเนียงหูที่ฟังดูหนักฟังดูคลุมเครือ “ท่านเป็นคนที่มาแลกเนื้อกับพวกเราหรือ”
“ใช่” กัวสวี่ตอบกลับเป็นภาษาหูซึ่งสำเนียงได้มาตรฐาน
ต้าห่านเผ่าเก๋อซางมีสีหน้าแปลกใจเขาเปลี่ยนไปพูดภาษาหู “ท่านพูดภาษาของพวกเราได้หรือ”
กัวสวี่ยิ้ม “พวกเราขุนนางจากแคว้นฉีที่สามารถนั่งในตำแหน่งที่สูงต้องศึกษาอย่างกว้างขวาง ข้าเคยเป็นขุนนางในสำนักราชบัณฑิตหลวงซึ่งเป็นที่ที่ผู้คนที่มีความรู้ทั่วแคว้น ไม่ใช่แค่ภาษาหู ภาษาของเผ่าซีหรงข้าพอพูดได้อยู่บ้าง”
ต้าห่านเผ่าเก๋อซางมองในแง่มุมที่แตกต่างออกไป “พวกท่านชาวจงหยวนเก่งกาจจริงๆ”
กัวสวี่ยิ้มเล็กน้อย “คนจงหยวนเชี่ยวชาญในการศึกษาค้นคว้า เช่นเดียวกับหูเหรินที่เก่งเรื่องการต่อสู้ พวกเราต่างมีจุดแข็งของเราเอง ใต้หล้าประกอบด้วยหลายชนเผ่าซึ่งแต่ละชนเผ่าเก่งในด้านที่แตกต่างกัน นี่คือการจัดเตรียมของสวรรค์ทำให้ข้าได้แสดงจุดแข็งของข้า และสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับโลก”
ต้าห่านเผ่าเก๋อซางมีความสุขมาก “ข้าคิดว่าพวกท่านชาวจงหยวนดูถูกคนต่างถิ่นเสียอีก เห็นเรียกพวกเราว่าหมานอี๋[1] เหตุใดท่านถึงไม่เป็นเช่นนั้น”
กัวสวี่ตอบ “นี่เป็นเพียงความคิดเห็นของบางคนเท่านั้น พวกท่านที่สามารถครอบครองทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แล้วยังมีประชากรมากมายเช่นนี้จะไม่มีอะไรดีเลยหรือ ดั่งเช่นต้าห่าน เพียงข้ามาเยือนพบว่าค่ายมีความเป็นระเบียบแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของต้าห่าน และความกล้าหาญของนักรบภายใต้คำสั่งของท่าน”
ต้าห่านเผ่าเก๋อซางมีความสุขมาก และยกนิ้วโป้งให้เขา “ท่านเป็นชาวจงหยวนที่ใจดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา”
กัวสวี่ยิ้ม “เช่นนั้น ต้าห่านช่วยมอบนมให้ข้าเป็นรางวัลสักชามได้หรือไม่ ได้ยินมาว่าหูเหรินไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากนม ดังนั้นข้าจึงอยากสัมผัสรสชาติเสียหน่อย”
ต้าห่านเผ่าเก๋อซางหัวเราะเสียงดังแล้วสั่งให้คนไปนำนมมา ชามสีเงินที่บรรจุนมนั้นประณีตมาก กัวสวี่ถือมันไว้ในมือ และหลังจากชื่นชมอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ดื่มมันอย่างช้าๆ
อืม…รสชาติแปลกนิดหน่อย แต่ก็มีรสชาติที่แตกต่างออกไป
หัวหน้าเผ่าเก๋อซางเชิญเขานั่งลงแล้วพูดว่า “ท่านต้องการพบข้ามีเรื่องอะไรหรือ พวกเราใช้เนื้อแลกเปลี่ยนผักดองถือว่าเป็นการค้าที่เป็นธรรม หากท่านอยากแลกเปลี่ยนมากกว่านี้คงไม่ได้พวกเราก็มีส่วนที่ต้องทาน”
กัวสวี่ยิ้มและพูดว่า “ต้าห่านรู้อยู่แก่ใจ” เขาชี้นิ้วไปยังทิศทางของเสียงวุ่นวายนั้น “กองทัพกลางเกิดการจราจลเหตุใดท่านถึงยังคงสงบอยู่เล่า”
ต้าห่านเผ่าเก๋อซางตอบว่า “นั่นเป็นเรื่องของเผ่าหมาป่าหิมะ ต้าห่านซูถูไม่ได้ขอความช่วยเหลือพวกเราจะไม่เข้าไปยุ่ง นี่เป็นข้อตกลงระหว่างพวกเราแปดเผ่า”
กัวสวี่ส่ายหัวและยิ้มโดยไม่พูดอะไรสักคำ ต้าห่านเผ่าเก๋อซางเห็นเขายิ้มเช่นนั้นก็ถามด้วยความสงสัย “ท่านยิ้มอะไรหรือ”
กัวสวี่พูด “ถ้าเป็นเมื่อก่อนข้าจะเชื่อคำพูดของต้าห่าน แต่ตอนนี้เผ่าทั้งแปดของพวกท่านรวมเป็นหนึ่ง ซูถูผู้เป็นต้าห่านของเผ่าหมาป่าหิมะ ขณะเดียวกันเขาก็เป็นต้าห่านของเผ่าทั้งแปดในไม่ช้าเขาจะกลายเป็นห่านหวางเหนือกว่าท่านใช่หรือไม่”
……………
[1] หมานอี๋ : พวกหมานกับพวกอี๋ ซึ่งถือเป็นพวกป่าเถื่อนทางใต้