คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 463 รางวัล
วันต่อมามีการหารือกันภายในราชสำนัก แน่นอนว่าหัวข้อหลักของวันนี้เป็นเรื่องชัยชนะครั้งใหญ่ที่ซีเป่ยไม่ว่าก่อนหน้าจะมีเรื่องสำคัญมากมายเพียงใดก็ต้องเลื่อนออกไปก่อน
รายงานสงครามของจงซู่เขียนไว้อย่างชัดเจนหูเหรินถอยทัพออกไปหลายร้อยลี้ทำให้ยึดเอาเหลียงชวนมาได้ หากเปลี่ยนพรมแดนสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดควรตามมา
เช่น การสร้างเมือง การตั้งด่าน วางกำลังทหาร สร้างถนนทางการ เปิดถนน…สิ่งเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับที่ว่าการที่เกี่ยวข้องที่จะยุ่งเป็นเวลาสองสามเดือน แม้จะเสนอต่อหน้าฮ่องเต้เพื่อหารือเกี่ยวกับการตัดสินใจที่สำคัญบางอย่าง แต่ก็ยังยุ่งอยู่จนถึงบ่าย
ประเด็นสุดท้ายคือรางวัล รางวัลใหญ่สำหรับตระกูลจงเป็นที่แน่นอนแล้ว กัวสวี่ถูกย้ายกลับมาทำงานในราชสำนักอีกครั้งโดยไม่ต้องสงสัย แต่ขุนนางผู้มีคุณูปการอีกคนจะตอบแทนอย่างไร ขุนนางทั้งหลายยังตัดสินใจไม่ได้
เจ้าหน้าที่กระทรวงพิธีการพูดด้วยความลังเล “เจ้าหน้าที่หยางผู้ดูแลสนามม้ามีความดีความชอบอันใหญ่หลวงตามกฎแล้วต้องมอบตำแหน่งโหว”
นอกจากตำแหน่งอันมีเกียรติอย่างเฉิงเอินโหวแล้ว โหวที่มีจากการสร้างคุณงามความดีทางการทหารเป็นที่ชัดเจนแล้ว แต่ท่าทีของฮ่องเต้ยังคงคลุมเครือ และขุนนางทั้งหลายที่อยู่ข้างกายเขาก็ไม่ได้โง่ ข่าวลือล่าสุดทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยอย่างมากผู้ใดกล้ากล่าวถึงก็เป็นไอ้โง่แล้ว!
เมื่อคิดเช่นนั้นก็ดันมีไอ้โง่ขึ้นมาจริงๆ
“ทูลฝ่าบาทในเมื่อต้องมอบรางวัลให้เจ้าหน้าที่หยางผู้ดูแลสนามม้าก็ควรจัดการเรื่องข่าวลือเสียก่อน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสายเลือดของราชวงศ์ ฝ่ายกบฏหลอกลวงผู้คนหากไม่จัดการเกรงว่าศักดิ์ศรีของราชวงศ์จะเสียหายพ่ะย่ะค่ะ”
ยังมีคนโง่อีกคนรับช่วงต่อ “จัดการข่าวลืองั้นหรือ ก่อนหน้านี้ศาลาว่าการได้จับกุมกลุ่มคนที่ปล่อยข่าวลือ แต่แทนที่จะหยุดยั้งได้ข่าวลือกลับทวีความรุนแรงขึ้น เดิมทีเป็นคำพูดที่น่าขบขัน ไม่มีแหล่งที่มา แต่พวกเรากลับเก็บเอามาใส่ใจจนทำให้ผู้อื่นคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง”
คนโง่คนต่อมาพูดว่า “จะไม่ให้ใส่ใจได้อย่างไรท่านไม่เห็นหรือว่าสถานการณ์ภายนอกเป็นอย่างไร! ราชสำนักเพิกเฉยเหมือนคนกลัวความผิด!”
คนโง่คนแรกคล้อยตาม “ใช่ ข่าวลือมาถึงจุดนี้แล้วไม่ว่าอะไรก็ควรจะมีคำอธิบาย ฝ่าบาท…ได้โปรดออกพระราชโองการด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาทเป็นโอรสสวรรค์ที่แท้จริง! การที่ต้องออกราชโองการเพียงเพราะข่าวลือบางอย่าง แล้วศักดิ์ศรีของฝ่าบาทจะอยู่ที่ใดกัน!”
เหล่าคนโง่ทะเลาะกัน อาการปวดพระเศียรของฮ่องเต้ดีขึ้น แต่เมื่อฟังพวกเขาทะเลาะกันก็อดเลิกคิ้วไม่ได้
โส่วเซี่ยงหลู่เซียงตะโกนขึ้น “ทะเลาะอะไรกัน อยู่ในท้องพระโรงพูดให้ดีๆ หน่อย!” จากนั้นก็หันไปขอคำแนะนำ “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ได้รับสัญญาณทางสายตาจากอีกฝ่ายก็รู้ว่าคงหนีไม่พ้นแล้วจึงออกคำสั่ง “ร่างราชโองการ”
คนโง่คนแรกคิดว่าตนชนะจึงรู้สึกภาคภูมิใจ
แต่ไม่คิดว่าสิ่งที่ฮ่องเต้ตรัสจะเป็น “โศกนาฏกรรมของราชวงศ์ในอดีตเป็นที่รู้กันทั่วหล้า เสด็จพี่ใหญ่ของเจิ้นประสบเคราะห์ร้าย และทุกคนในครอบครัวเสียชีวิต โชคดีที่หย่งซีหวางเฟยได้ให้กำเนิดบุตรในขณะที่กำลังจะตายจึงเหลือสายเลือดไว้หนึ่งคน ฮ่องเต้องค์ก่อนสูญเสียพระราชโอรสอันเป็นที่รักเพราะกลัวว่าผู้เป็นเหลนจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร พี่หญิงใหญ่ผู้มีเมตตาจึงรับเหลนมาอยู่ในความดูแลของตนเอง แต่พวกกบฏกลับไม่รู้ความตีความความเมตตาของฮ่องเต้องค์ก่อนผิดไป หลอกลวงประชาชน วันนี้เจิ้นจะประกาศให้ทั่วหล้าได้รับรู้ คืนพระนาม และพาเขากลับเข้าราชวงศ์ จุดธูปไหว้เสด็จพี่ใหญ่ และฮ่องเต้องค์ก่อนที่อยู่บนสวรรค์ และพวกที่พูดจามั่วซั่วไม่คำนึงถึงความจริงทำให้ประชาชนสับสนจะถูกลงโทษขั้นร้ายแรง!”
ในท้องพระโรงอันกว้างขวางมีเพียงเสียงของฮ่องเต้เท่านั้นที่ก้องกังวานเหล่าขุนนางที่ไม่ได้รับสัญญาณใดๆ ต่างตกตะลึง ขุนนางผู้ร่างพระราชโองการแทบจับพู่กันไว้ไม่อยู่
อะไรนะ…พวกเขาทั้งหมดคิดว่าจุดประสงค์ของการร่างพระราชโองการคือการชี้แจงข่าวลือมันจะกลายเป็น…เรียกกลับราชวงศ์ได้อย่างไร
นี่เล่นละครอะไรกัน
แม้ว่าจะมีข่าวลือออกมา และพวกเขาบางคนก็สงสัยในตัวตนของบุคคลนั้นจริงๆ แต่ไม่มีผู้ใดคิดว่าฮ่องเต้จะให้เขากลับเข้าราชวงศ์! ดังนั้นจากนี้ไปคุณชายหยางผู้นั้นจะเป็นสมาชิกของราชวงศ์ใช่หรือไม่
ฮ่องเต้เพียงกล่าวต่อไปว่า “บันทึกนามแท้จริงของเขาในแผนภูมิหยกประจำราชวงศ์ กระทรวงพิธีการแต่งตั้งเขาเป็น…”
เขาหยุดชั่วคราวหันศีรษะไปแล้วถามว่า “หลู่ชิง ท่านว่าให้เขานามว่าอะไรดี”
หลู่เฉียนตอบ “หย่งซีตั้งอยู่ในเยวี่ยตี้ ฝ่าบาทเลือกชื่อหนึ่งในเยวี่ยตี้โจวดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ส่ายหน้า “เขาเป็นลูกหลานของเสด็จพี่ใหญ่ไม่เหมือนผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้นเดินทางไปซีเป่ยจนประสบความสำเร็จในสงครามเป็นผู้ที่ควรพูดถึงเป็นอันดับแรก งั้นแต่งตั้งเขาเป็นเยวี่ยอ๋องตามตำแหน่งชินอ๋อง[1] บิดาของเขา…”
เมื่อเห็นใบหน้าที่ตกตะลึงของเหล่าขุนนาง ฮ่องเต้ก็รู้สึกดีขึ้น เขาให้อภัยเพียงพอแล้วหรือไม่ ทายาทของจิ้นอ๋อง และฉินอ๋องล้วนให้ตำแหน่งจวิ้นอ๋อง แต่เพราะความดีความชอบทางทหารจึงได้รับตำแหน่งชินอ๋อง และใช้นามแคว้นโดยตรง ผู้ใดจะพูดอีกหรือไม่ว่าเขาปฏิบัติต่อลูกหลานของพี่ชายไม่ดีข่าวลือนั่นทำลายเขาไม่ได้หรอก
กุ้ยเฟยได้ยินข่าวนี้ก็คงเข้าใจจิตใจของเขา ฮ่องเต้รู้สึกว่าการเคลื่อนไหวนี้ถูกต้องแล้ว แต่งตั้งเป็นอ๋องก็ยากที่จะออกจากเมืองหลวง เด็กคนนี้ออกจากเมืองหลวงได้สองปีก็สามารถซื้อใจจงซู่ และกัวสวี่ได้ หากปล่อยให้เขาอยู่ข้างนอกนานกว่านี้จะวางใจได้อย่างไร
สู้ให้อยู่ในเมืองหลวงไม่ดีกว่าหรือให้อยู่ที่สูงให้สายตาหลายคู่จับจ้องให้เขาเล่นตลกอะไรไม่ได้อีก ฮ่องเต้กล่าวจบเมื่อไม่มีผู้ใดมีปฏิกิริยาตอบกลับเขาก็ไม่พอใจ “ไม่ได้ยินที่เจิ้นพูดหรือ”
เหล่าคนที่ได้สติก็รีบประจบประแจงทันที “ฝ่าบาทมีเมตตาธรรมคุณธรรมสูงส่ง รับรองทายาทของพี่น้องเป็นอย่างดี เป็นฮ่องเต้ผู้ทรงเมตตา…” เหล่าขุนนางเหมือนเพิ่งตื่นจากฝันก็รีบกล่าวตามๆ กันไป
…………
จวนโป๋วหลิงโหวเกษียณออกจากศูนย์กลางมานานแล้ว และแน่นอนว่าการประชุมราชสำนักนั้นไม่มีสิทธิ์เข้าร่วม เมื่อเร็วๆ นี้ได้ยินข่าวลือมากมาย และรุนแรงถึงขีดสุดเมื่อรายงานสงครามที่ซีเป่ยมาถึง
เดิมทีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รุ่งโรจน์อย่างยิ่ง แต่เนื่องจากข่าวลือที่คล้ายกับว่าถูกต้อง แต่ความจริงไม่ถูกต้องเหล่านั้น เหมือนเป็นการเพิ่มหมอกควันมากขึ้นทำให้ทุกคนในจวนโป๋วหลิงโหวยากที่จะออกไป
ลองนึกภาพดูพอออกไปก็ถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ หรือไม่ก็ถูกถามทางอ้อมจะสบายใจได้อย่างไร
นางหลู่ ฮูหยินซื่อจื่อไม่พอใจ เด็กคนนั้นหลังได้รับความดีความชอบทางทหารอย่างยากลำบากแล้วยังก่อเรื่องเหลวแหลกอะไรเช่นนี้อีก แสดงความรุ่งโรจน์ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาถูกผู้อื่นมองอีก
หลังอาหารเย็นทุกคนกำลังนั่งดื่มชากันอยู่ นางหลู่ทนไม่ไหวจนต้องถามขึ้นมาว่า “ท่านโหว ข่าวลือพวกนั้นเราจะไม่ติดร่างแหไปด้วยใช่หรือไม่”
นางเป็นคนพูดจาโผงผางซึ่งเป็นที่น่ารำคาญของทุกคนในครอบครัว แต่คำถามนี้กลับกระทบใจทุกคน
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสายเลือดของราชวงศ์ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงรักษาชีวิตไม่ได้ไปนานแล้ว แต่ชาติกำเนิดของเด็กคนนั้นยังไม่ชัดเจนอีกทั้งเผยกุ้ยเฟยยังอยู่ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะปลอดภัย
แต่ก็ไม่แน่…เขาถูกฮ่องเต้ลดขั้น และขับไล่ออกจากเมืองหลวงไม่ใช่เพราะเกลียดเขาหรอกหรือ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะใช้โอกาสนี้ลงมือ โป๋วหลิงโหวถือถ้วยชาไม่พูดอะไร
นางหลู่พูดอีกครั้ง “น้องสามเองนี่จริงๆ เลยทำให้คนขุ่นเคืองกันไปทั่ว ลูกหลานของซือฮว๋ายไท่จื่อหรือ โชคดีที่คนพวกนั้นสร้างเรื่องโกหก” สีหน้าของโป๋วหลิงโหวดูไม่น่ามอง
โกหกงั้นหรือ เกรงว่าจะไม่ใช่
เขาไม่ได้ฝึกวรยุทธ์ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์นั้น แต่เขารู้สาเหตุการตายของน้องชายคนรองของเขา
น้องรองเสียชีวิตเนื่องจากการช่วยชีวิตซือฮว๋ายไท่จื่อไม่นานหลังจากนั้นน้องสะใภ้ก็มีอาการปวดหนักทำให้คลอดยากนอนป่วยอยู่ไม่กี่เดือนก็จากไป จากนั้นเขาถึงได้เห็นเด็กคนนั้น และเขามักจะรู้สึกว่าเด็กคนนั้นดูโตกว่าที่เขาคิดไม่กี่เดือน…
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้นด้านนอกพ่อบ้านรีบเข้ามาบอกว่า “ท่านโหว พระราชโองการ มีพระราชโองการมาขอรับ!” ทุกคนในเรือนตื่นตระหนกทันที
นางหลู่ตะโกนขึ้น “มันเป็นเรื่องของเจ้าลูกกระต่าย[2]นั่นหรือ ท่านโหว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเราท่านต้องไปอธิบายกับฝ่าบาทนะเจ้าคะ!”
เห็นนางเป็นเช่นนี้ทำให้ซื่อจื่อหยางซวนโกรธมาก และกดนางให้คุกเข่าลงไป “พระราชโองการมาถึงแล้วเจ้าพูดอะไรออกมา รอรับพระราชโองการก่อนค่อยว่ากัน!” ขันทีที่ประกาศพระราชโองการเข้ามา และขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำว่าเจ้าลูกกระต่าย
เมื่อเห็นสีหน้าของเขาดูไม่ดีทุกคนในตระกูลหยางยิ่งรู้สึกอึดอัดมากขึ้น
หลังเตรียมตัวเสร็จขันทีก็ประกาศว่า “ฝ่าบาทมีพระราชโองการ โป๋วหลิงโหวมีคุณงามความดีเลี้ยงดูเยวี่ยอ๋อง พระราชทานรางวัล…”
ประโยคหลังจากนั้นทุกคนในจวนอกสั่นขวัญหายจนไม่มีแรงฟังต่อพวกเขาตกตะลึงเมื่อได้ยินคำว่ามีคุณงามความดีในการเลี้ยงดู
เดี๋ยวนะ…เยวี่ยอ๋อง นี่มันเรื่องอะไรกัน!
………….
[1] ชินอ๋อง : ผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้โดยมากเป็นพระโอรส พระเชษฐา หรือพระอนุชาในองค์จักรพรรดิ ตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ชายลำดับที่ 1 และเป็นตำแหน่งสูงสุดที่สามารถมีได้รองจากหวงไท่จื่อ
[2] ลูกกระต่าย : เป็นคำด่าเด็กผู้ชายที่อายุน้อยกว่า ความหมายประมาณว่า ไอ้เด็กเวร เด็กเปรต