งานแต่งพี่สาว แต่…ฉันกลับเป็นเจ้าสาว! - ตอนที่ 340
บทที่ 340 ความจริงในใจของซูซีมู่
การที่โล่เฟยเอ๋อแอบคุยกับส้ายหลินน่าแบบนี้ ก็เพราะก่อนหน้านี้เธอไม่รู้ว่าจะบอกซูซีมู่อย่างไร เลยเลือกที่จะปิดบังเขา
แต่เธอกลับไม่รู้ว่า ซูซีมู่รู้เรื่องนี้จากซูยุ่นแล้ว
เพียงแต่ซูซีมู่ยังไม่รู้ว่า ที่โล่เฟยเอ๋อสอบถามเรื่องนี้จากซูยุ่นก็เพื่อเกลี้ยกล่อมให้เขาปล่อยวางความคับข้องใจที่เขามีมานานหลายปี
ถ้าหากเขารู้ มันคงจะไม่ง่ายขนาดนั้น อย่างน้อยส้ายหลินน่าที่เป็นคนเอาเรื่องนี้มาบอกโล่เฟยเอ๋อก็คงจะไม่ลำบากใจเท่าไหร่
หลังจากที่วางสายเสร็จ โล่เฟยเอ๋อก็กลับมาที่ห้องรับแขก คงเป็นเพราะส้ายหลินน่ายกประเด็นนั้นขึ้นมา เลยทำให้โล่เฟยเอ๋ออดมองซูซีมู่บ่อยๆ ไม่ได้
ซูซีมู่สังเกตได้ถึงสายตาของเธอ จึงถามว่า “เป็นอะไรไป?”
“เอ่อ ไม่มีอะไร” โล่เฟยเอ๋อที่รู้สึกตัวก็รีบส่ายหน้า
ซูซีมู่จึงตอบ ‘อ้อ’ แล้วหันไปดูทีวีต่อ เพียงแต่ความสนใจกลับอยู่ที่โล่เฟยเอ๋อ
โล่เฟยเอ๋อเหลือบมองซูซีมู่อยู่หลายครั้ง จนในที่สุดก็เอ่ยปากถามอย่างทนไม่ไหว “ซูซีมู่?”
“หืม?” ซูซีมู่หันมา
“คือฉันอยาก…” โล่เฟยเอ๋อพูดกระอึกกระอักอยู่นาน สุดท้ายก็พูดออกมาได้แค่สามคำ
แววตาของซูซีมู่เป็นประกายก่อนจะถามว่า “อะไร?”
โล่เฟยเอ๋อคิดอยู่สักพัก แต่สุดท้ายก็ก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร”
ซูซีมู่ก็พอจะเดาออก โล่เฟยเอ๋อแค่กลัวเรื่องที่เธอถามซูยุ่น
ตอนแรกเขามีความคิดที่จะให้โล่เฟยเอ๋อเป็นฝ่ายเอ่ยถามด้วยตนเอง แต่พอเห็นโล่เฟยเอ๋อดูสับสนอย่างนี้แล้ว เขาจึงละทิ้งความคิดนี้ไป
“เฟยเอ๋อ เธออยากพูดอะไรกับฉัน?”
โล่เฟยเอ๋ออึ้งไปสักพักเพราะคิดไม่ถึงเลยว่าซูซีมู่จะถามแบบนี้ ก่อนจะรีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “ไม่มีอะไร”
“เฟยเอ๋อ ระหว่างฉันกับเธอไม่มีเรื่องอะไรที่พูดไม่ได้” ซูซีมู่ลูบหัวของโล่เฟยเอ๋ออย่างรักใคร่แล้วตอบ
“ฉันรู้ แต่ว่า…” จะพูดเรื่องนั้นในตอนนี้ไม่ได้…โล่เฟยเอ๋อกัดริมฝีปากเอาไว้
พอเห็นท่าทางที่สับสนของโล่เฟยเอ๋อ ซูซีมู่ก็ปวดใจไม่หยุด เขายื่นมือออกไปโอบโล่เฟยเอ๋อเข้ามาในอ้อมแขน “เด็กโง่ ถ้าเธอมีเรื่องอะไรก็ถามฉันตรงๆ ไม่ใช่วิ่งไปถามซูยุ่น”
โล่เฟยเอ๋อเงยหน้าขึ้นมาอย่างตกใจทันทีที่ได้ยินซูซีมู่พูด “นายรู้ได้อย่างไร?”
ซูซีมู่เอื้อมมือออกไปลูบไล้ใบหน้าของโล่เฟยเอ๋อแล้วตอบว่า “ซูยุ่นเป็นคนบอกฉันเอง”
“ซูซีมู่ ฉันขอโทษ…” โล่เฟยเอ๋อก้มหน้าลงอย่างละอายใจ
“บอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ต้องพูดว่าขอโทษกับฉัน?” สายตาของซูซีมู่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดในตอนที่เขาพูดประโยคนี้
โล่เฟยเอ๋อส่ายหน้าพร้อมด้วยขอบตาแดงก่ำมีน้ำตาคลออยู่ “ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ฉันไม่”
“ส้ายหลินน่า?” ซูซีมู่อึ้งไปสักพัก แต่จู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เขาจึงถามด้วยสีหน้าที่มืดครึ้มว่า “ส้ายหลินน่าเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเธอ จากนั้นก็ขอให้เธอเกลี้ยกล่อมให้ฉันไปรับมรดกของคนคนนั้นใช่ไหม?”
โล่เฟยเอ๋อที่เห็นซูซีมู่มีสีหน้าที่มืดครึ้ม ก็คิดไปว่าซูซีมู่คงจะนึกว่าเธออยากได้มรดกพวกนั้น เธอเลยรีบอธิบายว่า: “ฉันไม่ได้อยากให้นายไปรับมรดก ความจริงแล้ว ฉันแค่อยากให้นายเปิดใจยอมรับเรื่องในปีนั้น อย่าจดจำมันแล้วทำให้ตัวเองไม่สบายใจอีกต่อไป”
พอมองโล่เฟยเอ๋อที่กำลังอธิบายอย่างร้อนใจอยู่ตรงหน้า ซูซีมู่ก็ถอนหายใจเบาๆ
ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่าโล่เฟยเอ๋อของเขาไม่เคยสนใจมรดกอะไรนั่นหรอก เธอสนใจแต่เขาเท่านั้นเอง
ซูซีมู่โอบโล่เฟยเอ๋อเข้ามาในอ้อมแขนอีกครั้งแล้วกอดเธอไว้แน่น
ส่วนโล่เฟยเอ๋อซบหน้าเข้าไปในอ้อมแขนของเขาและกอดเขาไว้แน่นเช่นกัน
ซูซีมู่กอดเธอไว้เป็นเวลานาน ก่อนที่จะค่อยๆ เอ่ยปากเล่าเรื่องในปีนั้น
“ความจริงแล้วฉันรู้เรื่องที่คนคนนั้นอยู่กับคนอื่น ก่อนหน้าที่ฉันจะอายุสิบขวบ ตอนนั้นบริษัทยังตั้งอยู่ที่เมืองหลวง คุณพ่อเลยต้องพักอยู่ที่เมืองหลวงบ่อยๆ ในบ้านจึงมีแค่ฉันกับเธอ แล้วก็คนรับใช้ เธอคงคิดว่าฉันยังเด็ก เลยไม่ได้กีดกันฉันและพาฉันออกไปหาผู้ชายคนนั้นสองสามครั้ง แต่เธอกลับไม่รู้เลยว่า ฉันรู้เรื่องตั้งนานแล้ว…”
โล่เฟยเอ๋อที่ได้ฟังถึงตรงนี้ก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้ “ซูซีมู่…”
“ฉันไม่เป็นไร” ซูซีมู่ตบมือโล่เฟยเอ๋อเบาๆ จากนั้นก็เล่าต่อว่า: “ถึงแม้ว่าฉันจะรู้ แต่ก็ไม่ได้บอกกับคุณพ่อ เพราะฉันกลัวว่าจะทำให้ครอบครัวแตกแยก ฉันผิดเองที่คิดว่ามันเป็นความผิดของพ่อ เป็นเพราะเขาไม่ค่อยกลับบ้าน เลยทำให้คนคนนั้นเป็นแบบนี้ ตอนนั้นฉันคิดแค่ว่ารอให้คุณพ่อกลับมา ทุกอย่างก็คงจะดีขึ้น”
ซูซีมู่กลับตาลงและคิดถึงความทรงจำในวันนั้น วันที่เขาไม่อยากจะจดจำที่สุด “วันนั้นเป็นวันที่สิบเดือนมีนาคม มันเป็นวันเกิดของฉันและก็เป็นวันสำคัญของครอบครัวเรา เพราะในที่สุดคุณพ่อและคุณปู่ก็ตัดสินใจย้ายบริษัทจากเมืองหลวงมาอยู่ที่เมืองA วันแห่งความสุขที่ฉันตั้งหน้าตั้งตารอใกล้มาถึงแล้ว แต่ฉันไม่คาดคิดว่าคนคนนั้นจะเลือกวันนั้น เธอต้องการจะหย่ากับคุณพ่อและไปกับผู้ชายคนนั้น ถึงแม้ว่าฉันจะขอร้องเธอสักแค่ไหน เธอก็ไม่ยอมหันหลัง แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดยิ่งกว่านั้นคือ คุณพ่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์จนทำให้เสียชีวิตในระหว่างที่กำลังไล่ตามเธอไป”
พอพูดถึงตรงนี้ ซูซีมู่ก็หันไปมองโล่เฟยเอ๋อ “ความจริงแล้ว ฉันไม่ได้เคียดแค้นคนคนนั้นมาตั้งนานแล้ว เพราะความเคียดแค้นเหล่านี้ได้สลายหายไปตั้งแต่ตอนที่รู้ความลับนี้แล้ว ฉันแค่โทษตัวเอง ที่ทำไมต้องเห็นแก่ตัวไม่ยอมบอกคุณพ่อตั้งแต่แรก ถ้าคุณพ่อรู้เร็วกว่านี้อีกสักนิด เขาก็คงไม่ไล่ตามเธอไปและก็คงไม่ตาย ถ้าคุณพ่อไม่ตาย คุณปู่ก็คงไม่ต้องเป็นคนหัวหงอกที่ส่งคนหัวดำแล้วก็ไม่ต้องแบกรับบริษัทซูซื่อไว้เพียงลำพัง รวมถึงฉันที่ยังไม่รู้ความ…”
เมื่อได้ยินซูซีมู่กล่าวโทษตัวเองแบบนี้ ในใจของโล่เฟยเอ๋อก็รู้สึกเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออกแล้วหยดน้ำตาไหลก็ค่อยๆ ออกมา
ถ้าเธอรู้ว่าความจริงมันเป็นแบบนี้ เธอคงไม่รับปากส้ายหลินน่าว่าจะเกลี้ยกล่อมซูซีมู่ให้อย่างแน่นอน
เกลี้ยกล่อมให้ซูซีมู่ยอมเปิดใจกับเรื่องในปีนั้น? ทำไมเธอถึงไม่คิดนะว่ามันอาจจะเป็นการเปิดเผยรอยแผลในอดีตของซูซีมู่?
“มันไม่ใช่ความผิดของนาย ไม่ใช่ ฉันขอโทษ…” ตามมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นของโล่เฟยเอ๋อและยังมีเสียงสะอื้นที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากของเธอ
ซูซีมู่อยากให้โล่เฟยเอ๋อร้องไห้ที่ไหนกัน? เขายกมือขึ้นแล้วใช้ปลายนิ้วเช็ดหยาดน้ำตาบนใบหน้าของโล่เฟยเอ๋ออย่างเบามือ “เฟยเอ๋อ อย่าร้องเลย เรื่องมันผ่านไปนานขนาดนี้ ฉันปล่อยวางได้แล้วล่ะ”
“ฮือฮือ…” โล่เฟยเอ๋อไม่ตอบและโผเข้าไปในอ้อมแขนของซูซีมู่ แล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนัก
ซูซีมู่ยังเด็กขนาดนั้น ก็
เธอร้องไห้เพราะตลอดหลายปีมานี้ซูซีมู่โทษตัวเองมาโดยตลอดที่ทำให้พ่อตาย
ซูซีมู่เห็นว่าโล่เฟยเอ๋อไม่ยอมฟังเขา จึงได้เอื้อมมือออกไปกอบกุมใบหน้าของโล่เฟยเอ๋อขึ้นมาแล้วพูดอย่างจริงจังว่า: “เฟยเอ๋อ ฉันปล่อยวางแล้วจริงๆ อย่าร้องอีกเลยได้ไหม?”
“ได้…”
“เฟยเอ๋อ ไว้พวกเราไปเยี่ยมคุณพ่อกันวันอื่นดีไหม?”
“ดี..