งานแต่งพี่สาว แต่…ฉันกลับเป็นเจ้าสาว! - ตอนที่ 397
บทที่397 นายหุ่นไม้ของซูยุ่น
ไม่บอกนักที่จะได้เห็นใบหน้านิ่งๆ ของซูซีมู่ปรากฏความไม่พอใจ “เหซิงโม่ อะไรของนาย? ”
เหซิงโม่ก้มหน้านิดๆ “โทษที”
“ในเมื่อปฏิเสธไปแล้ว ก็อย่าทำให้เธอคิดอีก” ซูซีมู่เตือน “ไม่อย่างงั้น ฉันจะไม่สนว่านายเป็นเพื่อน”
“ฉันเข้าใจแล้ว” เหซิงโม่พยักหน้า
ซูซีมู่ไม่พูดอะไรอีก เขาหมุนตัวเดินกลับห้องอาหาร
เหซิงโม่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมหลายวินาที แล้วจึงเดินตามเข้าไป
โล่เฟยเอ๋อเห็นซูซีมู่กับเหซิงโม่ไม่ได้เดินกลับเข้ามาพร้อมกัน แถมสีหน้ายังไม่ค่อยดี เธอกะจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด
บอกลาเหซิงโม่ แล้วขึ้นรถมา โล่เฟยเอ๋อจึงถามซูซีมู่ “คุณคุยอะไรกับเหซิงโม่หรอคะ? ”
“ไม่มีอะไรหรอก” ซูซีมู่ตอบกลับเสียงเรียบ
โล่เฟยเอ๋อไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่เขาพูด “ถ้าไม่มีอะไรจริง ทำไมสีหน้าของพวกคุณสองคนถึงแย่ขนาดนั้น? ”
ซูซีมู่เงียบไปสักพัก แล้วว่า “พอดีโปรเจคที่เราทำร่วมกันมีปัญหานิดหน่อย”
“จัดการเรียบร้อยแล้วหรือยังคะ? ” ครั้งนี้โล่เฟยเอ๋อเชื่อที่ซูซีมู่พูด
“อืม” ซูซีมู่พยักหน้า
“งั้นก็ดีแล้วค่ะ” โล่เฟยเอ๋อโล่งใจ จากนั้นก็พูดต่อยิ้มๆ “ฉันเห็นสีหน้าพวกคุณไม่ค่อยดี นึกว่าทะเลาะกันซะอีก”
เห็นโล่เฟยเอ๋อเป็นห่วงเขามากขนาดนี้ ซูซีมู่รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เล่าความจริงให้เธอฟัง
เขาเม้มปากแน่น สุดท้ายเพียงแค่ยื่นมือออกไปดึงร่างของโล่เฟยเอ๋อเข้ามากอด
โล่เฟยเอ๋อไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ซูซีมู่ถึงกอดเธอ หญิงสาวเอื้อมแขนออกไปกอดเอวหนาแล้วถาม “มีอะไรหรือเปล่าคะ? ”
“ไม่มีอะไร แค่อยากกอดคุณเฉยๆ ” ซูซีมู่ตอบ
โล่เฟยเอ๋อตอบกลับ ‘อ้อ’ แล้วปล่อยให้เขากอดเธอจนหนำใจ…
ครั้งนี้ซูซีมู่กับโล่เฟยเอ๋อไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวงนาน เย็นวันนั้นพวกเขาก็กลับเมืองA เพียงแต่ขากลับมีคนเพิ่มขึ้นมาคนนึง นั่นก็คือซูยุ่น
เห็นกระเป๋าใบใหญ่ใบเล็กของซูยุ่นราวกับจะลี้ภัย โล่เฟยเอ๋อก็รู้สึกแปลกใจ แต่ไม่ได้ถามอะไร
จนกระทั่งกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลซู เธอจะถามซูซีมู่ “ซูซีมู่ เกิดอะไรขึ้นกับซูยุ่นหรอคะ? ”
“ไม่อยากไปดูตัว” ซูซีมู่ตอบเสียงเรียบ
โล่เฟยเอ๋อไม่เข้าใจที่เขาพูด “ห้ะ? ”
“ลูกหลานตระกูลซู พออายุย่างเข้ายี่สิบสาม ก็จะถูกบังคับให้คบหาแฟนหรือแต่งงาน ไม่งั้นที่ครอบครัวจะเป็นฝ่ายหาให้”
โล่เฟยเอ๋ออึ้งไปทันที “ซูซีมู่ ตระกูลคุณยังมีประเพณีแบบนี้อยู่อีกหรอ? อีกอย่างอายุแค่ยี่สิบสามมันจะไม่เร็วไปหน่อยหรือไง? ”
“ตระกูลซูก็แบบนี้แหละ” ซูซีมู่ยักไหล่
โล่เฟยเอ๋อพยักหน้าแล้วส่งเสียง ‘อ้อ’ จากนั้นพลันก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “ซูซีมู่ คุณ…”
ซูซีมู่เลิกคิ้ว “ผมทำไม? ”
โล่เฟยเอ๋อขมวดคิ้วถาม “คุณเองก็ผ่านประเพณีของที่บ้านมาใช่ไหม? ”
เริ่มดูตัวตอนอายุยี่สิบสาม ปีนี่ซูซีมู่อายุยี่สิบเจ็ด หมายความว่าเขาดูตัวมาตลอดสามปี นี่ต้องเจอหน้าผู้หญิงมามากขนาดไหนกัน?
ซูซีมู่เข้าใจทันทีว่าโล่เฟยเอ๋อกำลังคิดอะไร เขาแตะปลายจมูกมนอย่างเอ็นดู แล้วว่า “วางใจเถอะ ประเพณีนั้นไม่นับรวมฉัน”
“เอาแต่ใจชะมัด” แม้ปากจะพูดอย่างนั้น แต่โล่เฟยเอ๋อกลับเผยยิ้มมุมปาก
ซูซีมู่เล่นตามน้ำ เขาถามยิ้มๆ “ฉันน่ะหรอ? ”
โล่เฟยเอ๋อเบ้ปาก แล้วพูดต่อ “ทั้งตระกูลมีคุณคนเดียวที่ไม่ยอมทำตาม ไม่เรียกเอาแต่ใจจะเรียกว่าอะไร? ”
ซูซีมู่แกล้งถาม “เธอไม่ชอบที่ฉันเอาแต่ใจ? ”
“ชอบ” โล่เฟยเอ๋อมุดเข้าไปในอ้อมอกของซูซีมู่ “โชคดีที่คุณเอาแต่ใจ”
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเอาแต่ใจ เกรงว่าเธอกับเขาคงไม่ได้ครองคู่กันแบบนี้
ซูซีมู่ยื่นมือไปจับมือเล็กแล้ววางลงบนตำแหน่งหัวใจ จากนั้นเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้น “ต่อให้ฉันจะไม่เอาแต่ใจ แต่พื้นที่ตรงนี้ก็จะเว้นว่างไว้เพื่อเธอคนเดียว”
หัวใจของเขามีแค่เธอ และต้องเป็นแค่เธอเท่านั้น…
เพื่อหลีกหนีประเพณีของครอบครัว ซูยุ่นจึงมาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลซู และก็เพราะว่าเธอกับโล่เฟยเอ๋ออายุเท่ากัน ซูยุ่นจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่เป็นเพื่อนโล่เฟยเอ๋อ
และก็เป็นเพราะซูซีมู่ทำปิดตาข้างหนึ่งต่อเรื่องที่เธอหนีมาอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลซู จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมครอบครัวถึงตามหาเธอไม่เจอ?
วันนี้ซูยุ่นมาหาโล่เฟยเอ๋อดังเช่นปกติ
แต่เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู ก็เห็นแผ่นหลังอันคุ้นตากำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่
เสียงที่คุ้นเคย สำเนียงที่คุ้นเคย ผ่านไปสองเดือนที่ไม่ได้ยิน จู่ๆ ซูยุ่นก็รู้สึกว่าตัวเองจดจำรายละเอียดได้แม่นถึงขนาดนี้
ร่างสูงราวกับสัมผัสได้ เขาหันกลับมาทันใด
ซูยุ่นเหมือนถูกกดจุดไว้ ร่างกายแข็งทื่อขึ้นมาซะอย่างนั้น
เขาและเธอ ยืนห่างกันสิบกว่าเมตร ต่างก็สบตาอีกฝ่าย
ผ่านไปสิบกว่าวินาที โจวเฉิงเป็นฝ่ายละสายตาออก แล้วคุยโทรศัพท์ต่อ
ซูยุ่นลังเลนิดหน่อย แล้วเดินเข้าไป
เธอรอจนเขาวางสาย แล้วเอ่ยถามขึ้น “นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่? ”
โจวเฉิงอึ้งเล็กน้อย แล้วตอบ “เช้าวันนี้ครับ”
ซูยุ่นส่งเสียง ‘อ้อ’ แล้วถามต่อ “นายมาหาพี่หรอ? ”
โจวเฉิงพยักหน้า “ครับ”
นายหุ่นไม้เดินได้จริงๆ ด้วย ไม่คิดจะพูดให้เยอะกว่านี้สักหน่อยหรือไงกัน
ซูยุ่นบ่นอุบในใจ แล้วพูดขำๆ “ฉันมาหาพี่สะใภ้”
“คุณนายกำลังปักดอกไม้อยู่ครับ” เขาตอบ
ซูยุ่นรับคำ ‘อ้อ’ เธออยากพูดอะไรต่อ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร จึงยืนมองโจวเฉิงอยู่แบบนั้น
โจวเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ “คุณซู ผมยังมีธุระ ขอตัวก่อนครับ”
เมื่อพูดจบ ไม่รอให้เธอได้พูดอะไรต่อ เขาโค้งให้ตามมารยาท แล้วรีบร้อนเดินจากไป
มองแผ่นหลังของโจวเฉิง เดินออกห่างไปด้วยความเร่งรีบ ซูยุ่นก็หงุดหงิดจนกระทืบเท้าแรง
“ไอ้หุ่นไม้บ้า ไอ้คนโง่…”
“ซูยุ่น ทำอะไรอยู่น่ะ? ” ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่โล่เฟยเอ๋อมายืนอยู่ข้างหลังเธอ
“ฉัน… เอ่อ ส้นรองเท้ามันจมลงไปในดิน จมลงไปน่ะ” ซูยุ่นหัวเราะพร้อมกับเหยียบๆ ส้นรองเท้าไปด้วย
โล่เฟยเอ๋อไม่ได้สงสัยแต่อย่างใด เธอพยักหน้านิดๆ “อ้อ”
ซูยุ่นโล่งอก แล้วรีบเปลี่ยนประเด็น “พี่สะใภ้ วันนี้ไม่ค่อยร้อน ออกไปช็อปปิ้งกันไหม? ”
โล่เฟยเอ๋อเงยหน้ามองท้องฟ้า ดวงอาทิตย์วันนี้ไม่ได้ส่องแสงแรง “อืม เดี๋ยวพี่ไปบอกพี่ชายเราก่อน”
โล่เฟยเอ๋ออยากช็อปปิ้ง แน่นอนว่าซูซีมู่ไม่ขัดข้อง แถมยังอาสาจะไปด้วยอีกต่างหาก
ดังนั้น จากเดิมที่จะไปกันสองคน ก็กลายเป็นสาม มิหนำซ้ำซูยุ่นยังกลายเป็นกขคไปซะงั้น
เห็นพี่ชายกับพี่สะใภ้กะหนุงกะหนิงกันตลอดทาง ในใจของซูยุ่นอยากจะร่ำไห้เป็นร้อยๆ ครั้ง
รู้งี้ เธออยู่บ้านคนเดียวยังดีซะกว่า…
เพราะถูกจี้ใจดำ ตลอดช่วงบ่ายซูยุ่นจึงนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้อง
จนกระทั่งตอนเย็น เธอถึงได้ออกมาแล้วไปกินข้าวที่คฤหาสน์หลังใหญ่
แต่ไม่คิดว่าจะได้พบกับโจวเฉิงที่โต๊ะอาหาร ซูยุ่นรู้สึกตกใจเล็กๆ
“ซูยุ่นมาแล้ว รีบนั่งเร็ว” คุณท่านเอ่ยเรียก
“ค่ะ คุณปู่” ซูยุ่นเดินไปยังที่นั่งของตัวเองแล้วนั่งลง แต่สายตากลับจับจ้องอยู่ที่โจวเฉิงนิ่ง
แต่โจวเฉิงราวกับไม่ได้สังเกต เขานั่งกินข้าวอยู่เรื่อยๆ มันทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิด ซูยุ่นใช้ตะเกียบทิ่มลงข้าวในชาม จินตนาการว่ามันคือหน้าของโจวเฉิง
ไอ้หุ่นไม้บ้า ไอ้หุ่นไม้งี่เง่า กล้าดียังไงมาเมินใส่คุณหนูอย่างฉัน.