จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 144
ฟางเหยียนพยักหน้ากล่าว “ถามมาได้เลย ผมไม่เคยโกหกอะไรคุณ”
เย่ชิงหยู่มองตาของฟางเหยียน สายตาทั้งสี่ดวงสบตาเข้าหากัน หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าฟางเหยียนไม่โกหกแน่ๆ จึงได้สูดหายใจเข้าลึกๆ ถาม “ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเจอมาทั้งหมดในช่วงนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับคุณ ถูกมั้ย? เริ่มมาตั้งแต่ตอนที่ฉันเซ็นสัญญากับท่านหวงได้อย่างราบรื่น”
สุดท้ายเธอก็อดไม่ไหวที่จะเอ่ยปากถาม ความสงสัยของผู้หญิงเป็นเรื่องที่ติดตัวมาโดยกำเนิด คำพูดเหล่านั้นที่ออกมาจากปากของเซียวห้านได้ติดอยู่ในสมองของเธอ ถ้าไม่ถามฟางเหยียน เธอไม่มีทางหยุดคิดได้แน่นอน
ทำให้คุณหนูของตระกูลเซียวให้ความสำคัญได้ ถ้าจะบอกว่าฟางเหยียนเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง เธอยังยากที่จะเชื่อ
ฟางเหยียนพยักหน้าเบาๆกล่าว “ก็พอจะเกี่ยวข้องอยู่บ้าง! เพื่อนคนนั้นของผม เป็นประเด็นหลักเลยล่ะ”
เย่ชิงหยู่ลุกขึ้นนั่งบนเตียง สายตาไม่ละไปจากฟางเหยียนเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าจะใช้สายตาเพื่อหาคำตอบที่เธอต้องการจากสายตาของฟางเหยียน
“แล้ว คุณเป็นใครกันแน่? ทำไมคุณหนูตระกูลเซียวจะต้องจับตัวเรียกค่าไถฉันเพราะคุณ? แล้วก็ ถ้าคุณเป็นคนธรรมดาจะไม่มีปัญญาจัดคนมาปกป้องฉันได้ ดังนั้น คุณเป็นใครกันแน่?”
ฟางเหยียนกำลังจ้องไปที่ตาของเย่ชิงหยู่ แล้วกล่าวอย่างชัดเจนว่า “ผมคือฟางเหยียน สามีของคุณ!”
เย่ชิงหยู่ขมวดคิ้วเบาๆ ส่ายหัวแล้วกล่าว “ทำไมคุณถึงบอกฉันไม่ได้ล่ะ? ชอบตอบอะไรกวนฉันตลอดเลย ถ้าคุณเห็นว่าฉันเป็นภรรยาของคุณจริงๆ งั้นก็ไม่ควรที่จะปิดบังอะไรฉันสิ”
“คุณจะรู้เอง แต่ไม่ใช่ตอนนี้” ฟางเหยียนตอบอย่างนิ่งสงบ
เย่ชิงหยู่ยังอยากพูดอะไรอยู่ แต่ฟางเหยียนกลับขัดคอเธอ แล้วแย่งพูดก่อนว่า “ชิงหยู่ บางเรื่อง ไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิด ถึงเวลารู้ เดี๋ยวคุณก็จะรู้เอง”
“หรือ ฉันไม่มีแม้กระทั่งอำนาจที่จะรู้เรื่องของสามีเลยเหรอ?” สุดท้ายเย่ชิงหยู่เริ่มเก็บความโมโหเอาไว้ไม่ไหว
ฟางเหยียนเห็นท่าทีต่อปากต่อคำของเย่ชิงหยู่ จึงกล่าวว่า “ไม่ใช่ เพียงแค่ตอนนี้มีบางเรื่องที่ยังไม่สะดวกจะบอกคุณ เพียงแค่คุณจำไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะอยู่ข้างๆคุณตลอดไป เพียงแค่ผมยังมีชีวิตอยู่ ในโลกนี้จะไม่มีทางมีใครรังแกคุณได้”
ประโยคหนึ่ง เหมือนกับกำลังให้คำมั่นสัญญา นี่มันเหมือนกับคำมั่นสัญญาที่พระเอกให้ไว้กับนางเอกในละครน้ำเน่ามาก แต่เมื่อออกจากปากของฟางเหยียน มันกลับดูจริงจังขนาดนั้น ที่เขาพูดว่าจะไม่มีใครรังแกคุณได้ ดูมั่นใจมาก
เย่ชิงหยู่สะอื้น แล้วกล่าว “ชิ คิดว่าตัวเองเป็นใคร ฟางเหยียน ถ้าแม้กระทั่งตัวตนคุณยังไม่ให้ฉันรู้แบบนี้ล่ะก็ คุณจะยิ่งอยู่ยิ่งเป็นคนแปลกหน้าสำหรับฉัน คุณยิ่งอยู่ยิ่งเปลี่ยนไปไม่เหมือนกับคุณในอดีต”
ในขณะเดียวกันนี้ จางเจียวเจียวเดินเข้ามาจากข้างนอก เห็นทั้งคู่กำลังสนทนากัน ก็ชะงักไปสักพัก ฟางเหยียนยืนขึ้น แล้วพูดกับเย่ชิงหยู่ว่า “คุณสบายใจได้ คุณจะได้รู้ทุกอย่างที่คุณอยากรู้”
พูดจบ เขาหันหลังเดินออกไป
“เกิดอะไรขึ้น?” จางเจียวเจียวมองไปที่ฟางเหยียนแล้วถามเย่ชิงหยู่
เย่ชิงหยู่ส่งเสียงอ๋อ แล้วกล่าว “ไม่มีอะไร หนูก็แค่พูดคุยเรื่อยเปื่อยกับเขา”
จางเจียวเจียวไม่ถามต่อ เพียงแค่พูดกับเย่ชิงหยู่อย่างแนะนำว่า “ชิงหยู่ บอกแม่มานะ ว่าเมื่อคืนลูกกับฟางเหยียนทำอะไรกันแน่? ทำไมลูกถึงได้สลบไป?”
เย่ชิงหยู่ชะงัก นึกถึงเรื่องเมื่อคืน ด้วยเหตุนี้เองจึงได้กล่าวว่า “ไม่มีอะไร แม่!”
“เฮ้อ! แกนี่นะ ฟางเหยียนบอกแม่แล้ว เมื่อคืนพวกแกไปโรงแรม แม่รีบร้อนอยากได้หลาน แต่ก็ไม่ใช่ให้แกใช้ร่างกายตัวเองอย่างสิ้นเปลืองขนาดนี้ บางครั้ง ก็ต้องรักษาสุขภาพตัวเองด้วย ไม่ต้องรีบร้อนจนเกินไป อย่างแกที่ทำจนสลบไป ง่ายต่อการที่ตัวเองจะบาดเจ็บได้นะ ครั้งหน้าห้ามทำแบบนั้นอีก”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เย่ชิงหยู่ก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว หน้าแดงขึ้นมาทันใดกล่าว “แม่ แม่พูดแบบนี้ได้ไงกัน ฉันไม่ได้ทำแบบนั้นสักหน่อย”
“ยังจะพูดว่าไม่อีก ฟางเหยียนบอกแม่มาหมดแล้ว” จางเจียวเจียวถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
เย่ชิงหยู่เข้าใจความหมายของฟางเหยียนทันใด ที่เขาทำแบบนั้นก็เพื่อจางเจียวเจียวจะได้ไม่เป็นห่วงขนาดนั้น ถ้าเธอรู้ว่าเย่จิงหยู่ถูกจับตัวเรียกค่าไถ่ ก็จะต้องกังวลจนแย่แน่ๆ
ว่ากันถึงที่สุดแล้ว ฟางเหยียนก็ยังคงคิดถึงตัวเองและแม่อยู่
ด้วยเหตุนี้เธอจึงทำได้เพียงพูดว่า “พอแล้ว ครั้งหน้าหนูจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”
กลางคืน ณ ตึกว่านฉง
ร่างผอมบางร่างหนึ่งนั่งอยู่ที่ระเบียงของชั้นดาดฟ้าตึกว่านฉง นั่งขัดสมาธิ หลับตาลง เขาในขณะนี้เหงื่อเต็มหัวไปหมด ข้างๆเขาเป็นชายวัยกลางคนกำลังยืนอยู่ ชายวัยกลางคนกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ มีกลิ่นอายของความยโสโอหัง แต่ด้านหน้าชายที่นั่งสมาธิอยู่ กลับเป็นการ์ดที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่
สุดท้าย มือของชายที่นั่งสมาธิเปลี่ยนตำแหน่ง เขาค่อยๆลืมตาขึ้น ค่อยๆปล่อยลมหายใจยาวๆ จากนั้นก็กางมือออก แล้วพูดกับตัวเองว่า “ไม่รู้ทำไม แม้แต่พลัง60%ยังฟื้นฟูกลับมาไม่ได้”
“จอมพลโผ้จวิน มีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้มั้ย รับสั่งเทียนขุย เทียนขุยไม่กลัวอันตราย ไม่ปฏิเสธใดๆ ”
เห็นแม้แต่จอมพลโผ้จวินยังไม่ผ่านไปไม่ได้ เขาก็ไม่สบายใจ
ฟางเหยียนเลิกการนั่งขัดสมาธิ เช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก แล้วกล่าว “บางทีก้อนหินสองก้อนนั้นสามารถช่วยผมได้ แต่มันสำคัญเร่งด่วน เรายังมีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ มีเรื่องหนึ่งต้องบอกคุณ ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น เทียนขุย ผมบอกแล้ว ตอนที่เราไม่อยู่ในกองทัพ เป็นเพื่อนกันได้ เป็นพี่น้องกันได้”
สายตาเทียนขุยเปลี่ยนไป รีบกล่าวว่า “ได้อยู่ข้างกายจอมพลโผ้จวิน ชาตินี้เทียนขุยก็พอใจแล้ว”
ฟางเหยียนส่ายหน้าอย่างรู้สึกไม่ดี แล้วถาม “เอ้อ เรื่องนั้นจัดการไปถึงไหนแล้ว?”
เทียนขุยกล่าวอย่างจริงจังว่า “จอมพลโผ้จวิน จัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว ผมได้สืบประวัติชายหน้าบากนี้แล้ว มันออกมาจากโรงพักนรกตะวันตก หลังจากออกมาแล้วก็หายตัวไปอย่างลึกลับ หนึ่งปีก่อนมีผู้ลึกลับปรากฏตัวขึ้นที่เมืองจินโจว จากนั้นก็สั่งการโลกใต้ดินของเมืองจินโจว แต่มีความสัมพันธ์กับตระกูลเซียวลับๆอย่างธรรมดามาก”
โรงพักนรกตะวันตก เป็นเรือนจำแห่งหนึ่งของประเทศหวา ขังนักโทษที่ชั่วช้าสามานย์อย่างสุดขีดทั้งหมดของประเทศหวาไว้ ถ้าไม่เคยฆ่าคนเป็นสิบๆศพ ก็ไม่คู่ควรที่จะเข้าไปในเรือนจำนี้ และคนที่เข้าไป มีชีวิตรอดออกมาได้นั้นน้อยและน้อยมาก ที่มีชีวิตรอดออกมาจากเรือนจำได้นั้น จะต้องมีความมุ่งมั่นที่คนธรรมดาไม่มี นอกจากความมุ่งมั่นที่ต้องเหนือกว่าผู้อื่นแล้ว พวกเขายังฝึกฝนจิตใจให้โหดร้ายกว่าคนปกติถึงสิบเท่ากระทั่งร้อยเท่า ดังนั้นโรงพักนรกเป็นที่ที่เทียบได้กับนรก
ชายหน้าบากออกมาจากโรงพักนรกตะวันตกได้ จะต้องมีอะไรที่มากกว่าคนทั่วไปแน่นอน คนแบบนี้ ดึงดูดความสนใจขององค์กรเหล่านั้นได้อยู่แล้ว เขาหายไปอย่างลึกลับห้าปี ห้าปีนี้ เขาจะต้องเข้ากลุ่มองค์กรไหนสักกลุ่มแล้วอย่างแน่นอน
จู่ๆก็ปรากฏกายอย่างลึกลับอีกครั้ง แสดงว่ากลุ่มนั้นจะต้องมีภารกิจอะไรที่ลี้ลับอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ฟางเหยียนจึงหลับตาแล้วกล่าวว่า “ที่สืบค้นได้มีแค่นี้แล้วเหรอ? เรื่องที่เขาหายตัวไปล่ะ หาไม่เจอ?
เทียนขุยพยักหน้ากล่าว “ใช่ครับ ไม่พบข้อมูลใดๆ เหมือนเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ ผมตรวจสอบข้อมูลพ่อของเขา กลับพบเจอบางอย่าง!