จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 159
เมื่อได้ยินลูกเขยสองคำนี้ เขาถึงรู้แจ้งกระจ่างในทันที ที่แท้ก็เป็นลูกเขยของตระกูลเย่นี่เอง เขาอยู่ในเมืองจินโจวมานาน แต่กับเรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอกนั้นเขาไม่เคยถามเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าลูกเขยของตระกูลเย่นั้นคือใคร
เขาเงยหน้ามองบ้านใหญ่ตระกูลเย่ ถอนหายใจและพูดกับตัวเองว่า “ขนาดตระกูลเย่ที่มีลูกเขยอย่างท่าน ทำไมยังเกิดเรื่องขึ้นมาได้”
“นายพูดอะไร?” ฟางเหยียนถาม
ลู่หงปอรีบพูดทันที “ไม่ ไม่มีอะไรครับ เพียงแค่พูดเรื่อยเปื่อยเท่านั้น”
เมื่อพูดจบ เขาก็เดินมาที่ด้านข้างของโซฟา จากนั้นก็ยกโซฟามังกรลงมา
ฟางเหยียนเดินมาถึงประตูของบ้านใหญ่ตระกูลเย่ หยิบกุญแจขึ้นมาไข จากนั้นลู่หงปอก็ได้ยกโซฟาลายมังกรเข้าไป
หลังจากที่วางโซฟาลายมังกรไว้ตรงใจกลางของห้องโถงใหญ่แล้ว ลู่หงปอก็ได้คุกเข่าลงและพูดว่า “พี่เย่ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ขุ่นเคือง ฉันจะเก็บรักษาโซฟาตัวนี้ไว้ให้ และฉันก็ได้ส่งมอบคืนให้แก่ท่าน”
หลังจากพูดจบ เขาก็ยืนขึ้นและยิ้ม ถามฟางเหยียนว่า “งั้น ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อนนะ”
ฟางเหยียนเงยหน้ามองขึ้นไปดูคำว่าเย่ขนาดใหญ่ เมื่อเห็นลู่หงปอดูเข้าใจว่าง่าย จึงพูดไปว่า “นายไปเถอะ!”
ลู่หงปอกล้าที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอกและวิ่งออกจากบ้านใหญ่ตระกูลเย่
หลังจากที่กลับมาที่รถ เหงื่อไหลท่วมร่างกายจนรู้สึกหนาวเหน็บ
คนขับถามว่า “นายท่าน ต้องการให้ใครไปลอบสังหารเขาหรือไม่ครับ?”
“เพี๊ยะ!” ลู่หงปอตบไปที่หัวของชายคนนั้นอย่างจัง และด่าอย่างโกรธจัด “ลอบฆ่าบ้าบออะไรกัน!แกฆ่าเขาได้เหรอ?รู้ไหมว่าเขาทำอะไร?”
คนขับพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกัน”
ลู่หงปอพ่นลมหายใจออกมาและกล่าวว่า “แกนี่มันสมองหมูจริงๆ ถึงรู้แล้วก็แปลกมากอยู่ดี คนที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้ แกไม่เห็นหรือว่าเขาไม่ได้มีฉันในสายตาเลย ถ้าจะลอบฆ่าแล้วเขารู้ขึ้นมา คราวหน้าจะคุยก็ไม่ง่ายแล้ว ตอนนี้คุกเข่าเอาตัวรอดได้ แต่ถ้าการลอบฆ่าล้มเหลวล่ะก็ คุกเข่ายังไงก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี”
“น่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” คนขับถามด้วยความแปลกใจ
ลู่หงปอพ่นลมหายใจออกมา เขาอยู่มานานมาก และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับความเดือดร้อนขนาดนี้!
แต่ข้อดีก็คือการรอดชีวิต ขอแค่มีชีวิตรอด อะไรๆก็พูดได้
หลังจากไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง เขาก็บอกกับคนขับว่า “แกไม่จำเป็นที่จะต้องไปเชื่อในเรื่องความน่ากลัวของเขาหรอก แต่อย่าไปหาเรื่องเด็ดขาด จริงสิ ให้คนลองดู ว่าตำแหน่งของจอมพลโผ้จวินคืออะไรฉันต้องรู้ตัวตนของเขาก่อน อนาคตเผื่อเขามีเรื่องขึ้นมา ฉันจะได้ไปช่วยได้”
สำหรับคนแบบนี้ ไม่กล้าที่จะหาเรื่องหรอก แต่ถ้าอยากก็ท้าให้ลองดู!
—
วันนี้เย่ชิงหยู่ไม่ได้ไปที่บริษัท หลังจากกลับมาจากบ้านใหญ่ตระกูลเย่ก็กลับบ้านไป ถึงแม้ว่าวันนี้เธอจะไปบริษัท แต่เธอก็ไม่สามารถทำงานได้ เธอนั่งอยู่ที่ขอบเตียงในห้อง ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์จะทำอะไรเลย มีร่องรอยของน้ำตาสองที่ไหลอยู่ใต้ดวงตาของเธอ
เธอถือกรอบรูปอยู่ในมือ ในกรอบรูปนั้นก็มีรูปถ่ายหมู่ของคนหลายคน ในภาพกลุ่ม มีชายวัยกลางคนที่ดูเคร่งขรึม แต่งกายด้วยชุดที่เป็นทางการ และผู้หญิงในชุดกี่เพ้าที่หัวเราะอย่างสุภาพเรียบร้อย คนคนนั้นคือแม่ของเธอ จางเจียวเจียวและเย่เทียนผู้ซึ่งเป็นพ่อ และอีกสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างของพวกเขานั่นคือฟังเหยียนและเธอ
นี่เป็นภาพเดียวที่ฟางเหยียนหลงเหลืออยู่ ภาพของฟางเหยียนนั้นดูเก่าและเหลือง แต่เธอก็ยังคงเก็บมันไว้อย่างดี ที่ที่พวกเขาได้ถ่ายภาพไว้ก็คือ ประตูของบ้านใหญ่ตระกูลเย่นี่เอง
ความทรงจำของเธอที่บ้านใหญ่ตระกูลเย่นั้นมีมากเกินไป เมื่อบ้านที่เคยอยู่กำลังจะไปเป็นของคนอื่น เธอจะไม่เสียใจได้อย่างไรกัน ยิ่งคิดเย่ชิงหยู่ก็ยิ่งรู้สึกผิดกับพ่อของเธอ พ่อไม่อยู่แล้ว แม้แต่บ้านใหญ่ตระกูลเย่ก็รักษาเอาไว้ไม่ได้
นิ้วของเธอค่อย ๆ ลูบไล้บนใบหน้าของพ่อ น้ำตาก็ได้ไหลออกมาจากดวงตาคู่นั้นของเธอ ไหลรินอาบหน้า จากนั้นมันก็ค่อยๆหยดลงบนกรอบรูป หัวใจของเธอถูกทำให้ยุ่งเหยิงโดยสมบูรณ์
เย่ชิงหยู่สะอื้น น้ำตาไหลลงมาอย่างรวดเร็ว อีกนิดก็จะกลายเป็นเส้นเส้นหนึ่งแล้ว
ความรู้สึกแบบนี้สามารถสัมผัสได้เฉพาะคนที่มีประสบการณ์เท่านั้น คนธรรมดาไม่สามารถเดาอารมณ์ของเย่ชิงหยู่ได้ในขณะนี้
ในที่สุด เธออดไม่ได้ที่จะถืออัลบั้มและเริ่มร้องไห้ ปล่อยตัวล้มลงบนเตียง
ไม่รู้ว่าร้องไห้มานานแค่ไหนแล้ว อาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้า เธอจึงผล็อยหลับไปอย่างเบลอๆ
เมื่อตกกลางคืน โทรศัพท์มือถือของเธอส่งเสียงปลุกเธอให้ตื่นจากการนอนหลับ
เธอเปิดโทรศัพท์และเห็นว่าเป็นข้อความที่ส่งโดยฟางเหยียน
ข้อความกล่าวว่า ชิงหยู่ ออกมา ฉันจะรอเธออยู่ด้านนอก
เมื่อเย่ชิงหยู่เห็นข้อความก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย สองวันมานี่ฟางเหยียนหายตัวไปก่อนเธอจะตื่นมาทุกที รอเธอนอนไปแล้วถึงจะค่อยกลับมา เธอไม่รู้ว่าฟางเหยียนโกรธเธอเรื่องวันนั้นหรือเปล่า แต่ตัวเธอเองก็รู้สึกโกรธเช่นกัน
ไม่ว่าเย่ชิงหยู่จะพูดอะไร เธอก็ยังเป็นภรรยาของเขาอยู่ดี แต่ว่าเขากลับไม่ให้ตนรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขานี่สิ
สิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดของการเป็นสามีภรรยาเลยก็คือความไว้ใจ นั่นจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เย่ชิงหยู่เสียใจเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ฟางเหยียนเองก็ช่วยเธอมาครั้งแล้วครั้งเล่า ในเวลาที่อันตรายที่สุด ก็จะมีแต่ฟางเหยียนเท่านั้นที่มาช่วยเหลือ
เขาไม่กลัวอันตรายใดๆ เพื่อที่จะปกต้องตน แต่ตนนั้นแม้แต่เรื่องระหว่างสามีภรรยาเองก็ไม่ได้ทำมันด้วยซ้ำ แล้วตนจะเอาจุดไหนไปบอกว่าเป็นภรรยาของเขาล่ะ?
เฮ้ เย่ชิงหยู่อะ เย่ชิงหยู่ เธอสับสนมากเกินไปแล้วนะ สามีภรรยาต้องเคารพซึ่งกันและกัน คนในโลกนี้ คงมีเพียงฟางเหยียนเท่านั้นที่สามารถรองรับคนอย่างเธอได้ อีกทั้งยังจำได้ว่าหลังจากเรียนจบมัธยมปลาย เย่ชิงหยู่ไม่อยากจะยอมรับความจริงที่ว่าฟางเหยียนเป็นสามี เธอจึงให้เขาไปเป็นทหารซะ
ตอนนี้เมื่อเขากลับมาจากการเป็นทหาร ตนนั้นนอนห้องเดียวกับเขาก็จริง แต่ก็ไม่เคยให้เขามานอนร่วมกันกับเธอเลย
เพื่อที่จะเอาใจแม่ของตน จึงได้จงใจที่จะบอกว่าวันที่โดนลักพาตัวนั้น ทั้งสองได้ออกจากบ้านไปเปิดห้องกัน นี่แสดงให้เห็นว่า ฟางเหยียนนั้นเอาใจแม่และตนเป็นอย่างมาก
ไม่ได้โกรธแล้ว ตัวตนของฟางเหยียนคืออะไรกันแน่?บางทีอาจจะเหมือนที่เขาเคยพูด เธอจะรู้เมื่อถึงเวลาที่ควรรู้ พูดโดยย่อก็คือการมีฟางเหยียนเคียงข้างกายนั้น จะเป็นประโยชน์และจะไม่มีอันตรายอะไรเกิดขึ้นกับตน
เมื่อดูข้อความทางโทรศัพท์ จากบทเรียนครั้งก่อน เย่ชิงหยู่จะไม่รีบร้อนที่จะเชื่อใจคนอย่างฟางเหยียนอีก แม้ว่าจะบันทึกเบอร์ของฟางเหยียนไว้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นล่าสุดก็ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว
ดังนั้นเธอจึงโทรกลับไปหาเขา อีกฝ่ายรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว
เย่ชิงหยู่ถาม “นายทำอะไรอยู่ ฟางเหยียน?”
เสียงของฟางเหยียนดังขึ้นมาจากสาย “ชิงหยู่ ลงมา!ฉันจะพาเธอไปที่ที่หนึ่ง”
เสียงนี้ฟังดูไร้เดียงสาเล็กน้อย ซึ่งดูไม่สอดคล้องกับนิสัยของฟางเหยียนช่วงนี้เลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็ไม่ได้สงสัยเลยว่านี่จะไม่ใช่ฟางเหยียน เย่ชิงหยู่มั่นใจเต็มเปี่ยม ว่านี่คือเสียงของฟางเหยียน
“ทำอะไร?ทำไมจะขึ้นมาพูดกันไม่ได้?” เธออดไม่ได้ที่จะถาม
ฟางเหยียนพูดที่ปลายสายว่า “ลงมา! ฉันจะรอ”
เมื่อพูดจบ เขาก็วางสายลงทันที