จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 171
เมื่อพูดจบ ดวงตาทั้งสองข้างของฟางเหยียนก็จับจ้องไปยังใบหน้าของจางฉี่เหา ใบหน้าที่สูงวัยของจางฉี่เหาเปลี่ยนเป็นสีเข้มในทันที นี่ฟางเหยียนตั้งใจจะไม่ให้เกียรติเขาสักนิดเลยสินะ
เกียรติ ในสายตาของฟางเหยียนเกียรติของจางฉี่เหาก็เหมือนกับลมตดนั่นล่ะ อย่าว่าแต่จางฉี่เหา ต่อให้เป็นฟางจินหยวนปู่แท้ๆของเขาก็ต้องคุกเข่าลงตรงหน้าเขา! ก็แค่จางฉี่เหา จะนับประสาอะไร ให้เย่ชิงหยู่จำนนโดยไม่มีเหตุผล แล้วยังรังแกภรรยาของเขาอย่างไร้เหตุผลอีกนับครั้งไม่ถ้วน พวกเขาคิดว่าจะหนีไปทั้งอย่างนี้ได้เหรอ?
ในตระกูลจาง ถ้าไม่ใช่เพราะจางฉี่เหาไม่ใส่ใจกับความเป็นอยู่ของเย่ชิงหยู่ แล้วปล่อยให้ใครก็ได้รังแกเขาล่ะก็ เย่ชิงหยู่ก็คงไม่ต้องตกที่นั่งลำบากถึงขนาดนี้ เพราะงั้น การที่เย่ชิงหยู่ถูกรังแกมีความเกี่ยวข้างโดยตรงกับจางฉี่เหา
เมื่อจางฉี่เหาได้ยินคำพูดของฟางเหยียน ก็ถึงกับตัวสั่นด้วยความโกรธ เขาชี้ไปยังฟางเหยียนแล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ฟางเหยียน! แก…”
“แกอะไร? หรือว่าผมพูดผิดงั้นเหรอครับ? พอชิงหยู่เข้ามาคุณก็ให้เธอยอมจำนนรับใช้ คุณหมายความว่าอะไรกันล่ะ? คุณเป็นผู้ใหญ่แท้ๆเคยทำเรื่องอะไรให้ใครเคารพไหม?” ฟางเหยียนพูดอย่างมีเหตุผล ทุกคำล้วนแล้วแต่แทงใจจางฉี่เหาอย่างแรง
“ฟางเหยียน!” จางซื่อข่ายรู้สึกทนดูต่อไปไม่ได้ เขาจึงพูดอย่างโกรธเคืองว่า “แกอย่าได้คืบจะเอาศอกนะ! ตอนที่ตระกูลเย่ของเธอมีปัญหา ทำไมฉันไม่เห็นแกออกมากันล่ะ? ตอนนี้แกดันออกมาแกล้งทำเป็นสุภาพบุรุษงั้นเหรอ? หึ ตอนตระกูลเย่เกิดเรื่องทีแรก ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเราล่ะก็ แกคิดว่าภรรยาของแกจะยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ไหม?”
ดวงตาของฟางเหยียนเย็นชามาขึ้นกว่าเดิม เขาจ้องเขม็งไปยังจางซื่อข่าย ก่อนจะพูดว่า “พูดแบบนั้น ก็หมายความว่าพวกคุณไม่ควรจะยื่นมือเข้าช่วยสินะ? ทีแรกตระกูลเย่ให้เงินพวกนายไปเท่าไร? ถ้าไม่มีตระกูลเย่ ตระกูลจางของพวกนายจะมีชีวิตอย่างทุกวันนี้เหรอ? จะขึ้นมาเป็นเศรษฐีของเมืองจินโจวได้เหรอ?”
“ฟางเหยียน!” เย่ชิงหยู่ทนฟังต่อไปไม่ไหว เขาเดินมาข้างหน้าแล้วขว้าแขนของฟางเหยียนไว้
แม้ว่าฟางเหยียนจะพูดความจริงทั้งหมด แต่มาพูดตอนนี้มันก็ไม่มีความหมาย
ฟางเหยียนเข้าใจความหมายของเย่ชิงหยู่ เขาไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ เพียงแค่ค่อยๆเดินตรงไปยังจางไห่เฟิง แล้วถามขึ้นว่า “จางไห่เฟิง งั้นผมขอถามนายหน่อย!”
“พ่อครับ แม่ครับ!” จางไห่เฟิงมองไปยังจางซื่อตงและแม่ของเขาด้วยความกลัว
“แกคิดจะทำอะไร?” จางซื่อตงเข้ามาขวางหน้าจางไห่เฟิงไว้ แล้วมองฟางเหยียนพร้อมกับถามเขาด้วยความกลัวจนใจเต็วรัว
ในเวลานี้ ทั้งตระกูลจางราวถูกปกคลุมไปด้วยหมอก อำนาจทั้งหมดถูกกดไว้หมดโดยฟางเหยียนเพียงคนเดียว คนทั้งตระกูลจางไม่มีใครพูดอะไร ไม่ใช่ว่าไม่พูด แต่เพราะไม่กล้าพูด! แม้แต่คุณพ่อยังไม่พูดอะไรต่อ แล้วคนตระกูลจางจะกล้าพูดอะไรอีก
ฟางเหยียนไม่ได้ใส่ใจจางซื่อตง ทำแค่เพียงมองจางไห่เฟิงพร้อมกล่าวว่า “ผมอยากถามนาย แปลนภาพความร่วมมือของตงข่ายกรุ๊ปกับซีหนานกรุ๊ปนายเป็นคนขโมยไปใช่ไหม? ใครเป็นคนใช้ให้นายทำ? ผมหวังว่านายจะพูดความจริงนะ ถ้าไม่อธิบายมาตามจริงล่ะก็ งั้นพวกเราก็จะเอาเรื่องเมื่อกี้ไปใส่ร้ายนาย ถึงตอนนั้นนายคงจะถูกจับขังคุกแล้วล่ะ”
เมื่อจางไห่เฟิงได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสีทันที เขาพูดไปตัวสั่นไปว่า “ขังคุก แกคิดว่าแกเป็นใครกันฮะ?”
“นายอยากรู้ว่าผมเป็นใครเหรอ?” ฟางเหยียนถามอย่างเย็นชา ดวงตาทั้งสองข้างคมกริบราวใบมีด ทำเอาจางไห่เฟิงไม่กล้าสบตาตรงๆ
เขาเลี่ยงสายตาของฟางเหยียน แล้วส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังจางฉี่เหา ก่อนจะพูดอย่างน่าสมเพชว่า “คุณปู่ครับ ช่วยผมด้วย เขากำลังคุกคามหลานชายของคุณปู่อยู่นะครับ”
จางฉี่เหาไม่พูดสักคำ ทำแค่เพียงก้มหัวลงต่ำ!
“ว่ามาเถอะ ผมว่านายคงไม่อยากรู้การรักษาคนพิการในคุกหรอก เดาไม่ออกเลยว่าถ้านายติดคุกสักหนึ่งเดือนนายจะถูกกระทำจนเสียผู้เสียคน ถึงตอนนั้นเกรงว่านายจะไม่มีสิทธิ์ฆ่าตัวตายด้วยซ้ำนะ” น้ำเสียงอันเย่อหยิ่งเย็นชาดังขึ้นอีก ทุกเสียงพูดราวกับกำลังกระทบหัวใจของจางไห่เฟิง
จางไห่เฟิงถูกทำเอาตกใจจนเหงื่อตก ดูท่าทีของฟางเหยียนแล้วคงจะไม่ได้กำลังล้อเล่น
เขาจึงส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังจางซื่อตงพ่อของเขา จางซื่อตงสีหน้างงงวย
แม่ของเขาพูดอย่างโกรธเคือง “แกกล้า อย่างแกนับเป็น…”
“อืม?” ฟางเหยียนส่งเสียงอืม ก่อนจะหันไปส่งสายตาดุดันจับจ้องที่ใบหน้าของเธอ
แค่สายตาเพียงแวบเดียว แววตาของจางไห่เฟิงก็เอาคำพูดที่ยังไม่ได้พูดทั้งหมดกลืนกลับลงไป
จางซื่อข่ายมองอารมณ์ของจางไห่เฟิงออก ก็เลยถามขึ้นว่า “ไห่เฟิง เธอคงไม่ได้เป็นคนทำหรอกใช่ไหม?”
จางไห่เฟิงถึงสะอึก แต่ก็ยังไม่กล้าพูดจา จางฉี่เหาเงยหน้าขึ้นมาถลึงตาใส่จางไห่เฟิงอีกครั้ง เขาไม่ได้พูดอะไร แต่แววตาจากดวงตาทั้งสองข้างนั่นเต็มไปด้วยความประหลาดใจที่อธิบายไม่ได้
สายตาของฟางเหยียนยังคงให้ความรู้สึกกดขี่ ทำเอาอยากจะขาดอากาศหายใจ ถ้าพวกเขาฟ้องตัวเองขึ้นมาจริงๆ งั้นต้องถูกพิพากษาอย่างแน่นอน พอตัวเองเข้าไปในคุกแล้ว ก็คงจะอยู่ไม่สู้ตายแน่
แต่ตอนนี้ตัวเขากลายเป็นคนไร้ประโยชน์คนหนึ่งไปแล้ว แถมยังติดต่อคุณหนูตระกูลเซียวไม่ได้อีก พูดออกมาแล้วจะได้อะไรกัน คนในตระกูลต้องยกโทษให้เขาแน่ พวกเขาต้องไม่ทนปล่อยให้ตัวเองติดคุกแน่
เขากัดฟันราวกับว่าเขาได้ตัดสินใจแล้ว ก่อนที่เขาจะมองไปที่ฝางเหยียนอย่างน่าสงสาร แล้วพูดว่า “ผมจะพูด ผมจะอธิบาย! ผมเป็นคนขโมยเอง ภาพวาดนั่นผมเป็นคนขโมยเองทั้งหมด เป็นเซียวห้านคุณหนูตระกูลเซียวให้ผมเป็นคนขโมย เธอบอกว่าขอแค่ผมช่วยเธอขโมยงานออกแบบของบริษัทของเย่ชิงหยู่ เธอก็จะมีวิธีให้ผมได้เป็นประธานของตงข่ายกรุ๊ป แล้วผมก็เชื่อครับ ในคืนนั้นเพื่อที่จะหลบซ่อนสายตาผู้คน ผมตัดสายไฟของบริษัท แล้วผมก็ไปที่บริษัท จากนั้นก็ขโมยงานออกแบบของบริษัทออกมา”
ตึง! ใบหน้าของคนทั้งตระกูลเปลี่ยนไป เพียงชั่วขณะหนึ่ง ภายในห้องผู้ป่วยก็เต็มไปด้วยใบสีหน้าแบบต่างๆ
ถึงเย่ชิงหยู่จะรู้ว่าจางไห่เฟิงเป็นคนทำ แต่เมื่อคำพูดนี้ออกมาจากปากของเขาเอง ความโกรธภายในใจของเธอก็พรั่งพรูออกมา เธอหรี่ตามองจางไห่เฟิง แล้วพูดขึ้นอย่างผิดหวังว่า “จางไห่เฟิง พี่รู้หรือเปล่าว่าการทำแบบนี้เป็นการโจมตีตงข่ายกรุ๊ปยังไงบ้าง? พี่รู้หรือเปล่าว่าฉันพยายามแค่ไหนเพื่องานภาพออกแบบนี่? และเพราะพี่ขโมยกระดาษภาพ สิ้นเปลืองความพยายามของคนทั้งบริษัทเรา ในตอนนั้นฉันคิดว่าฉันจบเห่แล้ว ฉันรู้ว่าพี่อยากจะทำลายฉัน แต่ในนี้ยังมีชีวิตของคนทั้งตระกูลพี่อยู่ด้วย รวมถึงชีวิตของคนทั้งตระกูลจาง พวกพี่อยากทำอะไรโดยไม่สนใจก็ได้ แต่ทำไมพี่ถึงต้องทำแบบนั้นกันคะ? ภาพวาดถูกขโมย มีความเป็นไปได้ที่ซีหนานกรุ๊ปจะยกเลิกสัญญากับเรา ถ้ายกเลิกสัญญาแล้ว ตงข่ายกรุ๊ปจะเป็นหนี้ก้อนโต พี่รู้บ้างหรือเปล่า?”
จางไห่เฟิงรีบพูดขึ้นทันทีว่า “พี่รู้แน่อยู่แล้ว แต่เซียวห้านเธอเคยรับปากผม ว่าเธอจะช่วยพี่ ถึงตอนนั้นขอแค่น้องยอมสละตำแหน่ง พี่ก็จะรับช่วงต่อบริษัท พวกเขาตระกูลเซียวก็จะช่วยเรา”
“เป็นความผิดของพี่เอง น้อง เป็นความผิดของพี่เอง! พี่รู้ว่าไม่ควรทำแบบนั้น ที่ควรจะอธิบายพี่ก็ได้อธิบายไปแล้ว ผมแค่หวังว่าพวกคุณจะไม่ฟ้องร้องผม” จางไห่เฟิงเริ่มกลับใจต่อเย่ชิงหยู่แล้ว นี่เป็นครั้งแรกในรอบครึ่งปีที่ผ่านมา
จางเจียวเจียวได้ยินเรื่องที่เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้ยิน เธอพูดกับจางไห่เฟิงกด้วยความผิดหวังว่า “ฉันคิดไม่ถึงจริงๆว่าแกจะเป็นคนแบบนี้ แกเป็นพี่ชายของเย่ชิงหยู่ เธอเหนื่อยแทบเป็นแทบตายอยู่ที่บริษัทก็เพื่อพวกแก แต่แกกลับทำเรื่องแบบนี้ออกมา พี่ใหญ่ นี่ก็คือลูกชายคนดีที่พี่อบรมเลี้ยงดูมา นี่ก็คือเด็กที่พวกพี่รักถนุถนอมมากที่สุด”
เธอผิดหวังกับคนตระกูลจางจนถึงขีดสุด! เธอคิดไม่ถึงเลยว่าคนในครอบครัวเธอจะทำกับลูกสาวของเธอแบบนี้
ฟางเหยียนกวาดตามองหน้าดำคร่ำเครียดแต่ละคนภายในห้อง แล้วพูดอย่างนิ่งเรียบว่า “ต่อจากนี้ ตระกูลเย่และตระกูลจางจะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆต่อกันอีก ถ้าตระกูลจางอยากจะมีหุ้นในตงข่ายกรุ๊ป งั้นก็ต้องไปทำงานที่บริษัท หุ้นมีขนาดใหญ่เท่าไร เรื่องที่ทำก็ใหญ่เท่านั้น ตงข่ายกรุ๊ปจะไม่เลี้ยงคนอยู่ว่างๆอีกต่อไป ถ้าหากพวกคุณไม่ยินยอม พรุ่งนี้ก็จะมอบหุ้นส่วนของพวกคุณให้พวกคุณนะครับ”