จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 205
คำพูดนี้ออกมาอย่างสบายๆ ใบหน้ามีรอยยิ้มของความมั่นใจ แต่เมื่อเยชิงหยู่ได้ยิน กลับเป็นคำพูดเท็จประโยคหนึ่ง ฟางเหยียนนี่ยิ่งอยู่ยิ่งเวิ่นเว้อเข้าไปใหญ่แล้ว ไปๆมาๆตัวเองกลายเป็นคุณชายของตระกูลฟางไปเสียแล้ว
ฟางเหยียนชอบคุยโวโอ้อวด เพียงแค่เย่ชิงหยู่ไม่คาดคิดว่าเขาจะคุยโม้ได้ถึงขั้นนี้ เมื่อนึกถึงจุดนี้ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า ครุ่นคิดสักพัก แล้วพูดกับฟางเหยียนว่า “คุณเวิ่นเว้อกว่านี้อีกได้มั้ย ฟางเหยียน ฉันไม่ได้ล้อเล่นกับคุณ ตอนนี้ฉันจริงจังนะ ทำไมคุณเอาแต่เป็นพ่อพวงมาลัย? แม้ฉันจะยอมรับว่าบางครั้งคุณก็รู้จักคนอื่นๆ ที่เหนือความคาดหมาย แต่เรื่องที่คุณเป็นคุณชายขอตระกูลฟาง ต่อไปไม่ต้องพูดแล้ว”
คำพูดนี้ไม่ว่าใครได้ยินเข้าก็ไม่มีทางเชื่อ คนๆหนึ่งที่อยู่กับตัวเองทั้งวันจู่ๆก็มีตัวตนแบบนี้ แล้วจะเชื่อได้อย่างไร?
พ่อพวงมาลัย! นึกไม่ถึงว่าจะใช้คำนี้กับฟางเหยียน บางทีมีเพียงเย่ชิงหยู่ที่กล้าใช้คำนี้กับเขา
ฟางเหยียนเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง แล้วกล่าว “ผมไม่ได้ล้อคุณเล่นนะ ผมเป็นคุณชายของตระกูลฟางจริงๆ แต่ผมจะเป็นคนของตระกูลเย่ตลอดไป เพียงแต่ตอนนี้มีบางเรื่องที่ผมยังไม่สะดวกจะบอกคุณ อนาคตถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วผมจะบอกคุณ คุณสบายใจได้ เพียงแค่คุณต้องการ ไปคุยเรื่องการร่วมมือกันที่ตระกูลฟางได้ตลอดเวลา”
นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาแสดงตัวตนของตัวเองให้เย่ชิงหยู่รู้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรเขาไม่ชอบพูดซ้ำสอง มีเพียงอยู่ต่อหน้าเย่ชิงหยู่เท่านั้น เขาจึงจะพูดซ้ำสอง
เย่ชิงหยู่เชอะใส่ มองบนต่อฟางเหยียน แล้วกล่าว “ทำไมฉันต้องเจอคนอย่างคุณด้วยนะ ถ้าคุณคือคุณชายของตระกูลฟาง แล้วอยู่บ้านฉันตลอดเนี่ยเหรอ? ในเมื่อคุณบอกว่าคุณคือคุณชายของตระกูลฟาง มีอะไรมาพิสูจน์”
ฟางเหยียนอธิบายจนถึงจุดนี้แล้ว เย่ชิงหยู่ยังไม่เชื่อคำพูดของเขา แล้วเขาจะอธิบายยังไงได้อีก?
เห็นฟางเหยียนไม่พูดอะไร เย่ชิงหยู่จึงกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ฉันรู้ว่าคุณดีต่อพวกเรา และอยากใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดทำดีต่อฉันและแม่ของฉัน แต่สามีของฉัน ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจว่าฉันหมายความว่าอะไร”
แม้ฟางเหยียนเซอร์ไพรส์เธอมาไม่น้อย แต่ถ้าพูดว่าเขาคือคุณชายของตระกูลฟาง เย่ชิงหยู่ไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย สิบปีมานี้ เขาอยู่ที่เมืองจินโจวมาโดยตลอด ถ้าเขาเป็นคุณชายของตระกูลฟางจริงๆ ตระกูลฟางมาหาถึงที่ไปนานแล้ว แล้วทำไมต้องรอจนถึงตอนนี้ละ? เย่ชิงหยู่เชื่อในตัวตนอื่นของฟางเหยียน แต่ไม่มีทางเชื่อที่เขาคือคุณชายของตระกูลฟางแน่นอน
สำหรับตัวตนอย่างเธอที่มีต่อตระกูลฟาง ทำได้เพียงแหงนหน้ามอง แล้วหราบเท่านั้น
“โอเค!” ฟางเหยียนไม่แก้ตัวใดๆ ทำได้เพียงพยักหน้ายอมรับ
จู่ๆก็มีตัวตนนั้นขึ้นมา เย่ชิงหยู่ยากที่จะรับได้แน่นอน ถ้าจู่ๆให้เย่ชิงหยู่รู้ถึงตัวตนที่สูงศักดิ์ของตน ไม่รู้ว่าเธอจะคิดยังไง
สำหรับคนธรรมดาอย่างเย่ชิงหยู่ ตระกูลฟางยิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่ถึงขึ้นทำให้คนอุทาน และถ้าเธอรู้ว่าฟางจินหยวนผู้นำตระกูลของตระกูลฟางคุกเข่าขอร้องฟางเหยียนให้สืบทอดวงศ์ตระกูลล่ะก็ ไม่รู้ว่าจะเป็นออกมาลักษณะไหนกัน
ในขณะที่ทั้งสองกำลังทานอาหารอยู่นั้น ชายหัวล้านที่นั่งโต๊ะข้างๆสวมเสื้อกั๊ก กางเกงยีน จงใจโชว์รอยสักบนแขนหันมาถามอย่างยิ้มระรื่นว่า “สาวน้อย รู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร?”
ใบหน้าของชายผอมหัวล้านมีแผลเป็นอยู่ ไม่ใช่รอยแผลเป็นที่เกิดจากมีด แต่เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากการเผาไหม้ ดวงตาเล็กๆทั้งสองข้างของเขา ดูท่าทางเหมือนพวกขโมย ดูก็รู้ว่าไม่ได้เป็นคนดีอะไร
เย่ชิงหยู่ชะงัก เงยหน้าสบตากับชายหัวล้านคนนั้น เห็นแววตาอันสกปรกของชายหัวล้าน และรอยยิ้มอันเหลาะแหละบนใบหน้า ก็รู้แล้วว่าคนนี้ตั้งใจจะจีบตน
เขาผอมมาก เมื่อยิ้มแล้วดูอัปลักษณ์ เย่ชิงหยู่ไม่รู้จักคนนี้ และไม่จำเป็นต้องสนใจเขาด้วย เพียงแค่มองเธอก็หันกลับแล้ว เธอไม่กลัวมีปัญหา แต่กลัวอีกเดี๋ยวฟางเหยียนจะออกโรงจัดการอีก
ชายหัวล้านเห็นฟางเหยียนไม่พูด จึงได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปที่เย่ชิงหยู่ กล่าวอย่างได้คืบจะเอาศอก “สาวน้อย แฟนของคุณเวิ่นเว้อเกินไป ไม่งั้นไปกับพี่มั้ยน้อง พี่เห็นน้องยังสาว ยังสวย แม้พี่จะไม่ใช่คุณชายของตระกูลฟาง แต่พี่เป็นเพื่อนของคุณชายตระกูลฟางนะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ไอ้อ้วนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับเขาหัวเราะบ้าคลั่งออกมา
ทั้งสองเยาะเย้ยฟางเหยียน ไอ้อ้วนนั่นเดินมาด้านหลังของฟางเหยียน ยื่นมือไปแตะที่ไหล่ของเขา ตั้งใจจะบีบฟางเหยียน ดูออกชัดเจน ว่าพวกเขาอยากเพิ่ม“ความกดดัน”ให้ฟางเหยียน
ชายหัวล้านกล่าว “สาวน้อย อยากเห็นอีกด้านของแฟนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนมั้ย?”
“แกจะทำอะไร?” เย่ชิงหยู่เงยหน้ามองชายหัวล้านแล้วถาม
ชายหัวล้านหัวเราะ “ทำอะไร? ให้คุณได้รู้จักแฟนคนนี้ของคุณมากขึ้นอีกยังไงละจ๊ะ ปกติพี่ไม่ชอบคนที่คุยโวโอ้อวดอยู่แล้ว ในเมื่อวันนี้เจอเข้าให้ จะให้น้องได้เห็นธาตุแท้ของแฟนน้องยังไงละจ๊ะ”
ชายหัวล้านหัวเราะอย่างสะใจ จากนั้นส่งสายตาให้ไอ้อ้วน เมื่อกี้พวกเขานั่งปรึกษากันที่โต๊ะข้างๆว่าจะเอาเงินได้อย่างไร นี่มันก็ เจอกับคนโง่ที่บอกว่าตัวเองเป็นคุณชายของฟางซื่อกรุ๊ปพอดี ทั้งสองจึงได้คิดแบบนี้
การแต่งตัวของฟางเหยียน ไม่ว่าใครเห็นเข้าก็ไม่มีทางคิดว่าเขาเป็นคุณชายตระกูลฟาง เสื้อเชิ้ตกางเกงยีน ใส่รองเท้าคอมแบต การแต่งกายแบบนี้ดูยังไงก็ไม่เหมือนคุณชาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณชายของตระกูลฟางเลย
ดังนั้นทั้งสองจึงมั่นใจแล้วว่าชายคนนี้กำลังคุยโวโอ้อวดอยู่
เมื่อไอ้อ้วนเห็นสายตาของชายหัวล้าน จากนั้นก็กดแขนของฟางเหยียนไว้ เพื่อเป็นการ“เตือน”ฟางเหยียนอีกครั้ง จากนั้นได้ส่งเสียงหัวเราะฮ่าฮ่าฮ่าออกมา
ชายผอมกลอกตาไปมา แล้วกล่าวอย่างต่ำช้า “สหาย ขี้โม้ไม่ผิดกฎหมาย แต่มีบางอย่างที่โม้ไม่ได้นะ แกรู้มั้ยว่าทำไมตระกูลฟางถึงได้จัดตั้งฟางซื่อกรุ๊ปที่เมืองจินโจวมั้ย? เพราะคุณชายของพวกเขาเติบโตที่นี่ ใช้ชีวิตอย่างสมถะที่สุด เพื่อเป็นการชดเชย ตระกูลฟางจึงได้จัดตั้งฟางซื่อกรุ๊ปให้เขา รู้มั้ยว่าทำไมฉันจะรู้มากขนาดนี้? จะบอกให้แกฟังแบบนี้ละกัน เมื่อก่อนเขาอยู่กับเราทั้งสอง ตอนนั้นพวกเราทั้งสามได้รับสมญานามว่าเป็นเพื่อนซี้แห่งเมืองจินโจว ที่เมืองจินโจว เห็นพวกเราได้ทุกที่ ตอนนี้ น้องชายเขาไปไกลแล้ว แน่นอนว่าไม่มีทางลืมบุญคุณของเราทั้งสองที่มีต่อเขา เราทั้งสองคนเฝ้าสังเกตการณ์ให้น้องชายที่ฟางซื่อกรุ๊ป สหายคนนี้ ค่อนข้างเลวทราม เกลียดที่สุดที่อ้างชื่อของเขาเพื่อจีบสาวข้างนอก ถ้าเขารู้ แกน่าจะรู้จุดจบนะว่าเป็นยังไง”
เดิมทีคิดว่าชายที่อยู่ตรงหน้าจะตกใจกับคนพูดของทั้งคู่ แต่ใครจะรู้ละว่าเขายังคงเหมือนเดิม แล้วยังเงยหน้าทั้งคู่ จากนั้นจึงถามว่า “นี่ รอยสักบนแขนของแกแปะมาใช่มั้ย?”
เมื่อพูดจบ ทำให้ทั้งสองมึนงง ทั้งคู่สบตากัน ถามอีกว่า “แกพูดว่าอะไรนะ?”