จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 261
“ท่านปรมาจารย์ได้โปรดชี้แนะ!”ผู้อาวุโสทุกคนตะโกนพร้อมกัน
สายตาของชายชราที่ถูกเรียนว่าท่านปรมาจารย์ขยับและเขาพูดออกมาทันที:“รออย่างเงียบๆ!”
“ได้ครับ!”เมื่อท่านปรมาจารย์พูด ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ และทุกคนก็ตอบตกลงทันที ความหมายของประโยคนี้ชัดเจนมากๆ ประเทศหวากำลังจะเกิดภัยพิบัติ และคนเดียวที่สามารถหยุดภัยพิบัติได้ก็คือนักปราชญ์ที่กลับชาติมาเกิด
ไม่มีใครรู้ว่าปรมาจารย์แข็งแกร่งแค่ไหน และไม่มีใครรู้ว่าเขามีชีวิตอยู่มานานแค่ไหน เขาเป็นคนนั่งเฝ้าองค์กรนินจามาโดยตลอด ดูเหมือนว่านอกจากเขา ก็ไม่มีใครสามารถควบคุมสถานการณ์ปัจจุบันของที่นี่ได้
การตายของนักเต๋าอีเหมยมันเกิดขึ้นแล้ว ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามอีก
แก๊งจิ่วหลงเหมิน!
ผู้หญิงที่มีรูปร่างเซ็กซี่ใส่ชุดสีดำ และหน้าตาสวยงามคนหนึ่งรีบเดินมาที่หน้าประตูที่โดดเด่นสวยงามบานหนึ่ง ประตูบานนี้ใหญ่มาก สูงอย่างน้อยเก้าเมตร ประตูทั้งบานเลี่ยมทอง ประตูจากด้านล่างไปยังด้านบนมีมังกรเก้าตัวอยู่ แค่ดูก็รู้ว่าราคาต้องแพงมากๆ ผู้หญิงคนนั้นสวยมาก แต่ดวงตาของเธอแตกละเอียด นัยน์ตาสีดำแตกเป็นเสี่ยงๆ กระจายอยู่รอบๆนัยน์ตาสีขาว ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกหวาดกลัว เธอยืนอยู่หน้าประตู และพูดด้วยความเคารพ:“เจ้าสำนัก นักเต๋าอีเหมยเสียชีวิตแล้ว!โดนจอมพลโผ้จวินของสำนักเจ็ดพิฆาตฆ่าตาย เขายังฆ่าล้างตระกูลเซียวด้วย”
ด้านในประตูเงียบจนผิดปกติ และผู้หญิงคนนั้นก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก เธอก้มหน้าและรอ
ผ่านไปสักพัก มีเสียงแหบและทุ่มของชายคนหนึ่งดังออกมาจากด้านในประตู:“เก้าดาวเคราะห์เรียงตัว นักปราชญ์กลับชาติมาเกิด ปีศาจออกอาละวาด ใต้หล้าเกิดความวุ่นวาย จุดเริ่มต้นใกล้จะมาถึง สำนักซ้อนเร้นอยู่ไม่เป็นสุข ด้านบนมีหลงเหมิน ด้านล่างมีเพลิงเสวน!”
ผู้หญิงคนนั้นลังเลอยู่ชั่วครู่และพูด:“เจ้าสำนัก ได้โปรดชี้แนะ!”
น้ำเสียงแหบและทุ่มดังขึ้นมาอีกครั้ง:“รอฉันออกมาก่อน!”
“ได้!”ผู้หญิงคนนั้นตอบแล้วเดินจากไปอย่างเงียบๆ
วันรุ่งขึ้น ฟางเหยียนกับเทียนขุยออกจากรีสอร์ทหยูฉวน เพื่อไปหาคนที่ชื่อจ้าวเอ้อที่เขตหนานซาโจว หลัวเทียนเยว่เคยพูดว่าจ้าวเอ้อคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญและกำลังศึกษาวิถีของนินจาอยู่ พวกเขาจำเป็นต้องไปถามเรื่องนินจากับจ้าวเอ้อ
นั่งอยู่บนรถยนต์ ในสมองของฟางเหยียนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเย่ชิงหยู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง ท้ายที่สุด เย่ชิงหยู่ก็เป็นปมในใจที่เขาไม่สามารถแก้ได้ และผู้หญิงคนนี้สำคัญมากๆสำหรับเขา
เป็นเพราะเขาเป็นห่วงเย่ชิงหยู่ ทำให้ใบหน้าของเขาโศกเศร้า
เทียนขุยมองกระจกหลังและเห็นใบหน้าที่โศกเศร้าของจอมพลโผ้จวิน จึงถามว่า:“จอมพลโผ้จวิน คุณเป็นห่วงคุณนายเหรอ?”
นอกจากคุณนาย เทียนขุยไม่เคยเห็นฟางเหยียนกังวลและเป็นห่วงเรื่องอะไรเลย แม้แต่ตอนเผชิญหน้ากับกองทัพที่ทรงพลังของศัตรู ฟางเหยียนก็ไม่เคยแสดงท่าทีเช่นนี้มาก่อน เทียนขุยเข้าใจในตัวฟางเหยียน
“ใช่!”ฟางเหยียนพูดคำนี้ออกมาเบาๆ
เทียนขุยพูด:“ฉันไปรับคุณนายกลับมาดีไหม!ฉันเห็นคุณคิดถึงเธอมากๆ”
ฟางเหยียนพูดไม่ออก เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกับคิดถึงหรือเปล่า และเขาก็ขี้เกียจพูดก็เลยตอบว่า:“พวกเราหาที่กินข้าวก่อน จากนั้นค่อยไปหาจ้าวเอ้อ!”
“ได้!”เทียนขุยไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาก็เลยรับปากทันที
อันที่จริงเขตหนานซาโจวถือได้ว่าเป็นสถานที่ห่างไกล น่าจะอยู่ใกล้ๆกับแหล่งท่องเที่ยว เพราะสถานที่ที่พวกเขาอยู่มันห่างไกลมากๆ บริเวณโดยรอบว่างเปล่าไร้ผู้คนอาศัย และมันก็เงียบสงัดมากๆ
ผ่านไปสักพัก พวกเขาสองคนจอดรถที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง หลังจากจอดรถ พวกเขาถึงสังเกตได้ว่ามันเป็นย่านชานเมืองที่ค่อนข้างห่างไกลในหนานหลิง บริเวณโดยรอบไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ มีเพียงถนนคดเคี้ยวสายหนึ่ง บนถนนเส้นนี้ยังมีรถสปอร์ตบางคันวิ่งผ่าน และรถยสปอร์ตก็วิ่งเร็วมากๆ
รถยนต์ที่ฟางเหยียนกับเทียนขุยขับไม่ใช่รถหงฉี แต่เป็นรถเบนซ์ที่เช่ามา ถ้าขับรถหงฉีไปไหนมาไหนมันจะเป็นที่น่าสนใจ และจะทำสิ่งต่างๆได้ยาก ดังนั้นฟางเหยียนก็เลยให้เทียนขุยเช่ารถเบนซ์เพื่อพาเขามาที่นี่ เพื่อเขาจะได้ปกปิดฐานะตัวเอง
หลังจากจอดรถเสร็จ ทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในร้านอาหาร ตอนนี้ไม่ใช่เวลาทานอาหาร ดังนั้นในร้านอาหารจึงไม่ค่อยมีคน มีเพียงผู้หญิงคนเดียวกำลังดื่มเหล้าอยู่ ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา มองก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงที่ได้กำลังอกหักอยู่
เถ้าแก่เป็นคนอ้วนและหัวล้าน ดูท่าทางเหมือนพวกขโมย เมื่อเถ้าแก่เห็นฟางเหยียนกับเทียนขุยเดินเข้ามา เขาก็รีบยิ้มทันทีและพูด:“คุณผู้ชายสองคน มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“ที่นี่ไม่ใช่ร้านอาหารเหรอ?”เทียนขุยถาม ถ้ามาร้านอาหารแล้วไม่ทานข้าว แล้วจะมาทำไม
เถ้าแก่อ้วนพูดด้วยรอยยิ้ม:“ใช่ครับ แต่ร้านอาหารของเรายังไม่ได้เปิดเลย ถ้าพวกคุณต้องการทานอาหาร ก็มาที่นี่ในตอนบ่าย!ตอนนี้ฉันมีธุระต้องไปจัดการ จะปิดร้านและออกไป”
หลังจากพูดจบ เถ้าแก่อ้วนคนนั้นก็เหลือบมองผู้หญิงคนนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ
ผู้หญิงคนนั้นอายุไม่เยอะ อายุประมาณยี่สิบกว่าๆ เธอมีรูปร่างหน้าตาที่สวย และเธอก็ดูเหมือนจะเป็นลูกของครอบครัวที่มีฐานะ ตอนนี้เธอเมาเหล้าอยู่และหน้าแดงมากๆ ดูเหมือนเธอจะเริ่มดื่มเหล้าตั้งแต่เช้ามืด
“แล้วผู้หญิงคนนี้ละ?”ฟางเหยียนเหลือบมองผู้หญิงคนนั้นแล้วถาม
ไม่อนุญาตให้พวกเขาทานอาหาร แต่ให้ผู้หญิงคนนี้ทานอาหารได้ มันหมายความว่าไง?
เถ้าแก่พูดว่า:“เธอคือน้องสาวของฉัน ตอนนี้เธออกหัก หลายวันมานี้เธอก็เป็นแบบนี้ ฉันต้องขอโทษพวกคุณสองคนด้วย เชิญกลับครับ!”ขณะพูด เถ้าแก่ก็เข้ามาไล่พวกเขาสองคนออกไป
หลังจากพวกเขาสองคนเดินออกมา เถ้าแก่ก็รีบปิดประตูทันที ไม่นานก็มีเสียงของเถ้าแก่ดังออกมาจากข้างใน:“น้องสาว ไปกันเถอะ ฉันจะพาเธอไปพักผ่อน”
“จอมพลโผ้จวิน ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่น้องสาวของเถ้าแก่แน่ๆ!”จู่ๆเทียนขุยก็พูดประโยคนี้ออกมา
ฟางเหยียนรีบถามขึ้นมา:“คุณดูออกได้ยังไง?”
เทียนขุยพูดว่า:“ด้วยรูปลักษณ์ของเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะมีน้องสาวสวยขนาดนี้ และผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นลูกคุณหนูของครอบครัวที่ร่ำรวย สี่งที่เขาจะทำคือพยายามล่วงเกินผู้หญิงคนนั้น เรื่องนี้พวกเราจะเข้าไปยุ่งไหม?”
ฟางเหยียนโบกมือและพูด:“เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับพวกเรา ไปกันเถอะ ไปจัดการเรื่องของพวกเราดีกว่า”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะเดินจากไป ด้านในก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้น:“คุณลวนลามฉันทำไม?คุณเป็นใคร?”
“น้องสาว ฉันเป็นพี่ชายของเธอไง ฉันจะพาเธอไปพักผ่อน”เสียงของเถ้าแก่อ้วนก็ดังขึ้น
“คุณไสหัวไปซะ!”เสียงของผู้หญิงก็ดังขึ้น จากนั้นก็มีเสียงอือๆๆ
เทียนขุยยืนนิ่งและพูด:“จอมพลโผ้จวิน!พวกเรา…”
ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆเขาก็เห็นร่างของฟางเหยียนพุ่งไปที่หน้าประตู จากนั้นได้ยินเสียงตูมดังขึ้น ประตูก็ถูกพังจนมีรูขนาดใหญ่
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เถ้าแก่ที่อยู่ด้านในตกมากๆ เขามองฟางเหยียนที่ยืนอยู่ด้านหน้าประตูด้วยสีหน้าหวาดกลัวและถาม:“คุณ คุณๆๆคิดจะทำอะไร?”
ฟางเหยียนจ้องหน้าของเถ้าแก่ ตอนนี้เขากำลังกอดผู้หญิงคนนั้นอยู่ มือของเขายังจับที่หน้าอกของเธออยู่
“ปล่อยผู้หญิงคนนั้นเดี๋ยวนี้!”ฟางเหยียนพูดกับเถ้าแก่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา