จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 391
“ไม่เป็นไร!” ฟางเหยียนมักทำหน้าตาไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร เขาปลอบถังยู่ด้วยท่าทางสบายๆ ทั้งๆที่คนตรงหน้านี้เก่งกาจมาก แต่ในสายตาฟางเหยียนแล้วกลับกลายเป็นอากาศธาตุ เหมือนมดตัวหนึ่งเท่านั้นเอง
คล้ายกับคนที่เก่งจริงๆไม่ใช่เทียนขุยที่เป็นการ์ดของเขา แต่เป็นตัวเขาเอง! นี่เป็นครั้งแรกที่ถังยู่คิดอะไรแปลกแบบนี้ แต่พอความคิดนี้ออกมาก็โดนตัวเธอเองปัดทิ้งทันที
จะเป็นไปได้ยังไงกัน ฟางเหยียนผอมขนาดนั้น ผิวซีดแบบนั้น ดูแล้วขาดสารอาหารด้วยซ้ำ เขาจะเป็นยอดฝีมือแบบนั้นได้ยังไงกัน? การ์ดของเขารูปร่างใหญ่ล่ำ แถมยังมีความบึกบึน นั่นต่างหากยอดฝีมือตัวจริงสิ
พอมาเทียบกับตาแก่นั่น บนร่างมีออร่าของความไม่ยอมคนอยู่ แค่ดูก็รู้แล้วว่าเก่งแน่ บนร่างฟางเหยียน ถังยู่มองไม่ออกเลยว่าเขาสามารถเก่งทัดเทียมเทียนขุยและตาแก่นั่นได้
ในตอนนี้เอง ร่างตาแก่กลายเป็นแสง โดยมีค้อนใหญ่ยกขึ้นเหนือแสงนั่น และพุ่งเข้าโจมตีเทียนขุยอย่างรวดเร็ว แค่ไม่ถึงหนึ่งวินาทีก็พุ่งถึงเทียนขุยแล้ว
“เทียนขุย!” ฟางเหยียนตะคอกเสียงเย็นใส่ร่างเทียนขุยหนึ่งคำ เสียงนี้สกัดกั้นตาแก่ที่กำลังพุ่งเข้ามาให้ชะงักลงไปได้ และเทียนขุยก็ฟื้นคืนสติทันทีเลยด้วย
แต่พอเขาคืนสติกลับมา อ๋าวไท่ก็พุ่งมาตรงหน้าเขาแล้ว ค้อนใหญ่นั่นกำลังตีลงมาจากบนลงล่าง แค่โดนเข้าไป เทียนขุยจะเละเป็นโจ๊กทันที
แต่พูดมันช้าไป เทียนขุยได้สติทันที อดตัวสั่นไม่ได้ เขาออกหมัดไม่ทันแล้ว ได้แต่เลือกหลบหลีก วิทยายุทธ์น่ะปรับเปลี่ยนกันได้ มีทั้งรุกและหนี ถ้ารุกไม่ได้ ก็ต้องหนี
ถึงแม้จะหลีกหนีได้ แต่ร่างเทียนขุยก็ยังโดนค้อนใหญ่ฟาดเฉียดไป ค้อนใหญ่เอาไฟฟ้ามาด้วย พลังของมันรุนแรงมาก โดนเข้าแขนเขาอย่างจัง
ได้ยินเสียงแคร่กดังขึ้น เสื้อผ้าที่แขนเขายังฉีกขาดเลย แขนข้างนั้นก็ถลอกไป
เทียนขุยกลิ้งตลบบนพื้น หันมามองจุดที่ค้อนใหญ่ของอ๋าวไท่ฟาดลงมาอย่างตะลึง ที่ตรงนั้นกลายเป็นหลุมใหญ่เรียบร้อย
พื้นแตกละเอียด ถ้าค้อนฟาดลงบนตัวเทียนขุยจังๆ เขาต้องตายแน่
เขาหันไปมองฟางเหยียน พูดอย่างละอายใจว่า “โผ้จวิน ผม…”
เขายังพูดไม่ทันจบ ก็ก้มหัวต่ำพลางว่า “ขอบคุณครับ โผ้จวิน!”
เมื่อกี้สติเขาไม่เหลือแล้ว มองไม่เห็นเลยว่าเกิดอะไรขึ้นตรงหน้า รู้สึกแต่ว่าสายตาพร่าเลือน สติเริ่มควบคุมไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เสียงเรียกของโผ้จวิน ตอนนี้ตนคงกลายเป็นศพไปแล้ว นี่เป็นวิชาสะกดจิต สามารถทำให้จิตสำนึกของคนโดนทำลาย และหาโอกาสฆ่าอีกฝ่ายซะ
เทียนขุยทำไม่เป็น แต่เขาเคยเห็นมาก่อน เมื่อก่อนตอนโผ้จวินฆ่าคนในสนามรบ เคยทำแบบนี้เหมือนกัน อีกฝ่ายจะโดนอานุภาพเสียงของเขาสะกดจนเผลอไผลเคลิบเคลิ้ม จากนั้นพี่น้องสำนักเจ็ดพิฆาตก็จะพร้อมใจกันเข้าไปฆ่าศัตรูตายเรียบไม่เหลือหลอ
พูดให้น่ากลัวไปอีกคือ มันเป็นวิชามาร พูดให้น่าฟังหน่อย มันคือฝีมือ! แต่สรุปในที่สุดแล้ว มันก็คือฝีมือน่ะแหละ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตาแก่ตรงหน้านี้ใช้ลมปราณภายในขับเคลื่อน เขาถ่ายทอดลมปราณออกมาจากในร่างกายสู่ภายนอก เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนและก่อกวนสติผู้อื่น คนที่โฟกัสไม่นิ่งจะกลายเป็นเลื่อนลอย และอาศัยโอกาสนี้ฆ่าอีกฝ่ายซะ
เทียนขุยหันไปมองมือที่ควันขึ้น มือไม่มีเลือด มีแต่เนื้อไหม้เกรียม บนเนื้อส่วนนั้นมีควันโขมงขึ้นมา กลายเป็นสีดำเมี่ยม เหมือนกับโดนเผาไหม้มา
อ๋าวไท่ใช้อะไรกันแน่? กลับสามารถพกพาค้อนใหญ่ที่มีพลังไฟฟ้าสถิตโจมตีสูงขนาดนี้ เทียนขุยที่ปกติไม่กลัวอะไรยังเริ่มระมัดระวังขึ้นเลย
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางอ๋าวไท่ อ๋าวไท่ยังคงยืนตรง สองมือถือค้อนใหญ่ไว้! มองมาทางฟางเหยียนด้วยสีหน้าตกตะลึง ใช่ เขากำลังมองฟางเหยียนอยู่
เมื่อกี้เขามั่นใจว่าจะเอาชีวิตเทียนขุยได้ แต่ฟางเหยียนตะคอกเรียกเขาคำเดียว เสียงนี้สะกดเสียงสะกดจิตเขาไว้ แถมยังเรียกสติเทียนขุยจากอาการมึนงงกลับมาอีกด้วย หมอนี่ไม่ธรรมดาเลย
อ๋าวไท่มองพิจารณาฟางเหยียนจากหัวจรดเท้า จากนั้นหรี่ตาถามว่า “แกก็เป็นต้าชี่?”
ถ้าหมอนี่เป็นยอดฝีมือระดับต้าชี่จริง งั้นทัศนคติชีวิตของตนคงพังทลายลงแล้วงานนี้ เพราะหมอนี่ดูแล้วอายุน้อยกว่าเทียนขุยอีก น่าจะแค่ยี่สิบกว่า
คนหนุ่มที่อายุยี่สิบกว่าคนหนึ่งก็บรรลุระดับต้าชี่แล้ว เป็นอัจฉริยะแน่ๆ ในประเทศหวายังไม่เคยมีอัจฉริยะที่อายุน้อยเท่านี้มาก่อน อัจฉริยะแบบนี้ เขาน่าจะไปได้ไกลเกินกว่าระดับปรมาจารย์แน่
ระดับปรมาจารย์ ต่อให้กวาดตามองไปทั่วประเทศหวา ก็ไม่เกินสามคน และทั้งสามคนนี้ยังเป็นบุคคลที่ไม่รู้ว่ามีตัวตนจริงไหมด้วย คนหนึ่งเป็นดั่งตำนาน อีกคนเคยได้ยินแต่ชื่อไม่เคยเจอตัวจริง ลึกลับจนคนไม่กล้าสืบหา อีกคนก็เป็นผู้อาวุโสขององค์กรนินจาคนนั้น นั่นก็เป็นตำนานเหมือนกัน ต่อให้ตัวอ๋าวไท่เองก็ไม่เคยเจอผู้อาวุโสระดับปรมาจารย์คนนั้นกับตาตัวเองเลย
สำหรับนินจาแล้ว ระดับปรมาจารย์อยู่ไกลเกินเอื้อม แค่สามารถมาถึงระดับต้าชี่ก็แทบจะนับนิ้วได้แล้ว ตัวเขาเป็นระดับสูงสุดของต้าชี่ หรือว่าคนตรงหน้านี้ก็เป็นระดับสูงสุดของต้าชี่เหมือนกัน?
จิตใจอ๋าวไท่ตกตะลึงพูดอะไรไม่ออกแล้ว วันนี้เขาตกใจมากเกินไปจริงๆ!
“แก ไม่คู่ควรที่จะรู้!” ฟางเหยียนตอบเสียงเรียบ เขามองอ๋าวไท่อย่างรังเกียจ เหมือนกับจะบอกว่า แกยังไม่คู่ควรจะพูดกับฉัน และไม่คู่ควรรู้ฐานะของฉันด้วย
อ๋าวไท่เป็นใคร? เขามีหรือจะทนรับการลบหลู่แบบนี้ได้ พริบตาเดียวสาดสายตามาดร้ายไปที่ฟางเหยียน พลางตะคอกดังว่า “แก อยากตายใช่ไหม? ต่อให้แกเป็นต้าชี่ ในสายตาฉันแกก็แค่มดตัวหนึ่ง แค่ขยะเท่านั้น!”
“แกคิดว่าแกคู่ควรให้โผ้จวินลงมือหรือไง?” เทียนขุยลุกขึ้นยืนแล้ว เขาสองตาแดงก่ำ หมัดแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงและสว่าง จากนั้นก็ได้ยินเขากัดฟันตะคอกว่า “แปดทิศ สะเทือน!”
พอพูดจบ สองหมัดของเขาปะทะลงกับพื้นอย่างแรง และเห็นพื้นดินสะเทือนจนแหลก ทั่วทั้งโรงงานเหล็กร้างค่อยๆเคลื่อนตัว เหล็กแผ่นที่โดนทิ้งร้างหลายแผ่นส่งเสียงสะท้อนกันไปมา เหมือนเกิดแผ่นดินไหว
ร่างของฟางเหยียนกับถังยู่ถอยไปหลายก้าวอย่างกลั้นไม่อยู่ เป็นเพราะกำปั้นของเทียนขุยกระแทกกับพื้น
ส่วนอ๋าวไท่หนักกว่า ร่างเขาลอยขึ้นมาทันที!
ไม่ ไม่ใช่ลอย ตัวเขาบินขึ้นมาเอง กลางอากาศ เขายกค้อนใหญ่ของตนขึ้นสูงอีกครั้ง และใช้ท่าทางมังกรคู่เสือคำรามตะคอกใส่เทียนขุยว่า “ตายซะเถอะ! ไอ้หนู”
จากนั้นค้อนเหล็กของเขาส่งเสียงดังออกมา ค้อนเหล็กนั่นเหมือนกับพาพลังสายฟ้าฟาดฟันใส่เทียนขุย แสงไฟรอบด้านหมุนวน ราวกับเชื่อมกับกระแสไฟมากมาย
เทียนขุยไม่ด้อยเลย เขากัดฟันตะคอกออกมา สองหมัดประจันขึ้นมาและส่งพลังดุดันที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าออกจากสองหมัดของเขาอีกครั้ง ดุดันตะคอกดัง ออกหมัดแล้ว!
ได้ยินเพียงแต่เสียงปะทะดังสนั่น พริบตาเดียวทั่วทั้งโรงงานเหล็กกลายเป็นควันโขมง จุดที่ทั้งสองคนปะทะกันเกิดเสียงระเบิดเสียงดังอึกทึก!