จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 394
นี่จะโหดร้ายทารุณกว่าตนอีกหรือไง? ถ้าจะโหดร้ายกว่าตน ทารุณยิ่งกว่าตน นอกจากระดับปรมาจารย์!ยังจะมีอะไรอีก? ระดับปรมาจารย์ หรือว่าชายหนุ่มอายุยี่สิบห้ายี่สิบหกปีตรงหน้าคนนี้จะเป็นยอดฝีมือระดับปรมาจารย์? ไม่ จะเป็นไปได้ยังไง? จะมียอดฝีมือระดับปรมาจารย์ที่อายุยี่สิบห้ายี่สิบหกปีได้ยังไงกัน ต่อให้เป็นอัจฉริยะมาจากนอกโลกก็ไม่มีทางแข็งแกร่งขนาดนี้
นอกจากว่านี่คือคนที่ฟ้าเลือก นอกจากเป็นคนที่ฟ้าเลือกแล้ว จะมีใครมีวาสนาแบบนี้อีก…
สมองอ๋าวไท่ไม่ทันคิดอะไรมากมาย เพราะสายตาเขาเริ่มดำมืดลง สติเริ่มเลือนราง ใกล้จะหมดลมหายใจลงทุกที แรงที่มือฟางเหยียนเหมือนจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย ขอเพียงใช้แรงอีกนิดเดียว ก็ทำให้เขาหมดลมหายใจและตายไปได้เลย!
อ๋าวไท่อยากดิ้นรนขัดขืน แต่แรงมือข้างนั้นมันมากเกินไป เหมือนหุ่นยนต์ ไม่ แกร่งแน่นยิ่งกว่าหุ่นยนต์ ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนยังไงก็สลัดไม่หลุดสักที
“โผ้จวิน!” พอเห็นแววฆ่าจากใบหน้าฟางเหยียน และเห็นอ๋าวไท่ที่ใกล้ตาย เทียนขุยรีบเรียกขึ้น
ฟางเหยียนถึงได้สติกลับมา และคลายมือออกเล็กน้อย อ๋าวไท่ได้สติกลับมาฉับพลัน สายตาดำมืดเริ่มมองเห็นภาพชัดขึ้น สติเริ่มคืนมาช้าๆ ฟางเหยียนจ้องอ๋าวไท่เขม็ง เน้นย้ำคำพูดทีละคำว่า “ฉันอยากฆ่าแก ก็เป็นเรื่องง่ายมาก แต่แกไม่คู่ควรที่จะตายด้วยมือฉัน”
พูดจบ ฟางเหยียนออกแรงโยนอ๋าวไท่ไปอีกข้าง เหมือนโยนขยะทิ้งไปอย่างนั้น
โยนคราวนี้ ร่างอ๋าวไท่หมุนหลายตลบเหมือนลูกบอลกว่าจะหยุดลงได้
จากนั้นตามมาด้วยเสียงหอบหายใจอย่างรุนแรงปนเสียงไอสักพักหนึ่ง เดิมคิดว่าการตายไม่น่ากลัวอะไร เขาไม่คิดเลยว่าตอนตนเผชิญความตายจะกลับกลายเป็นหวาดกลัวมัน มันเป็นความรู้สึกที่แท้จริง ความกลัวที่ตนรับรู้ได้ มันทำให้รู้สึกกลัวจริงๆ!
“แกแกแก แกเป็นใครกันแน่?” สมองอ๋าวไท่เอาแค่คิดวนไปวนมาถึงภาพเหตุการณ์ฆ่าคนพวกนั้นที่เมืองจินโจวครั้งก่อน นั่นเป็นคนของกองกำลังระดับภูมิภาค ดูแล้วมาจากกองทัพ
เทียนขุยมาจากกองทัพ หมอนี่ก็ต้องมาจากกองทัพด้วยเหมือนกัน! หรือว่าจะเป็นเทวดาไล่ฆ่าในตำนานคนนั้นของประเทศหวา?
พอคิดถึงเทวดาไล่ฆ่าคนนั้น ดวงตาอ๋าวไท่เบิกกว้างขึ้นกว่าเก่ามากนัก
เห็นสีหน้าตกตะลึงเปลี่ยนไปมาของอ๋าวไท่ ฟางเหยียนแบสองมือออก พูดว่า “แกรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?”
เขา เขาจริงๆด้วย! อ๋าวไท่มั่นใจแล้ว คนตรงหน้านี้คือเทวดาไล่ฆ่าคนนั้นของประเทศหวา มีแต่เทวดาไล่ฆ่าของประเทศหวาเท่านั้นที่สามารถฆ่าเขาได้ในพริบตา มีแต่หมอนั่นที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นตำนานคนนั้นเท่านั้นที่จะมีฝีมือน่ากลัวแบบนี้ได้
เขายังจำได้ชัดเจนว่า ครั้งหนึ่งตนเคยเจอภารกิจแบบนี้ มีคนให้เงินจำนวนมหาศาลให้เขาไปหาหัวหน้าทหารรับจ้างระดับโลก และให้ออกทัพไปโจมตีประเทศหวา ถ้าเขายอมออกทัพ ก็ให้เขาไป ถ้าเขาไม่ยอมก็ฆ่าเขาซะ
เขาไปหาคนคนนั้น พอพูดเรื่องให้เขาออกทัพไปโจมตีประเทศหวาเสร็จ คนนั้นปฏิเสธทันที จากนั้นทั้งคู่เลยต่อสู้กัน ผลรู้ชัด คนนั้นถูกอ๋าวไท่ทำร้ายบาดเจ็บสาหัส
อ๋าวไท่บีบคั้นเขาให้ออกทัพไปโจมตีประเทศหวา แต่หมอนั่นยืนกรานปฏิเสธ แถมยังยอมตายดีกว่าจะไปโจมตีประเทศหวาอีก เขาบอกว่า ถ้าให้ส่งพี่น้องตนไปตาย สู้ให้ตัวเองตายเลยดีกว่า
และนับแต่นั้นเป็นต้นมา อ๋าวไท่ถึงได้รู้ว่าประเทศหวาถือเป็นพื้นที่ต้องห้ามของทหารรับจ้าง คนไม่น้อยยอมตายก็ไม่ยอมไปโจมตีประเทศหวา ต่อให้ไปแค่ชายแดนประเทศหวา พวกเขาก็ไม่กล้า
และรังสีอำมหิตรุนแรงที่คนนี้แผ่ซ่านออกมา แถมยังเป็นคนมาจากกองทัพอีก ถ้าเขาไม่ใช่เทพแห่งสงครามคนนั้น แล้วจะเป็นใครได้อีก?
“แก แกคือเทพแห่งสงครามคนนั้นของประเทศหวา?” อ๋าวไท่ถามอย่างหมดอาลัยตายอยาก
ฟางเหยียนไม่ตอบ เขาทำแค่ใช้สายตาอย่างผู้สูงส่งมองอ๋าวไท่เขม็ง ความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านไปทั่วร่างเขา
อ๋าวไท่สูดลมหายใจเข้าปอดสองเฮือก พูดด้วยสีหน้าสิ้นหวังว่า “จะฆ่าจะฟัน ตามใจแกเลย! ลงมือเถอะ”
ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร เขาแพ้แล้ว มันเป็นความจริงที่เถียงไม่ได้!
การตาย บางทีจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของตน ต่อให้ใจไม่ยอมรับยังไง ตอนนี้ตายไป ก็ถือว่าสมควรแล้ว
“ฮะฮะฮะ!” ทันใดนั้น ฟางเหยียนหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
อ๋าวไท่ถามอย่างตกใจ “แกหัวเราะอะไร?”
เสียงหัวเราะชะงักงง เขาจ้องอ๋าวไท่พลางว่า “อ๋าวไท่ แกคิดง่ายเกินไปหรือเปล่า แกคิดว่าฉันจะให้แกตายง่ายๆหรือไง?”
อ๋าวไท่ตกใจมาก ดวงตาเขาเบิกกว้างแทบถลนออกมา
ฟางเหยียนถามเสียงเย็นชาดั่งน้ำแข็งว่า “แกรู้ไหมว่าอะไรที่น่ากลัวกว่าความตาย?”
น่ากลัวยิ่งกว่าความตาย? โลกนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ความตายหรือไง? ตายแล้วก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ต่อให้เป็นความฝันที่ยังเหลืออยู่ของตนในโลกนี้ก็จะไม่เหลือแล้วเหมือนกัน
แต่อ๋าวไท่รู้ดีว่า โลกนี้มีเรื่องอีกมากมายนักที่น่ากลัวกว่าความตาย อย่างเช่น อยู่ไม่สู้ตาย หรือ ครอบครัวแตกแยก ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆอย่างไร้ความหมาย คำพูดที่ว่า ตายอย่างมีเกียรติไม่สู้อยู่อย่างอดสู ใช้ไม่ได้อีกแล้ว
ระหว่างที่เขาฆ่าคน มีคนมากมายได้รับรู้รสชาติของการอยู่ไม่สู้ตาย มันเป็นความรู้สึกที่เรียกร้องขอความตายอย่างหนึ่ง เมื่อความตายกลายเป็นความปรารถนาอย่างหนึ่ง มันต้องน่ากลัวแค่ไหนกัน มันจะเป็นการทรมานจิตใจคนมากแค่ไหนกัน
อ๋าวไท่ไม่กล้าสงสัยคำพูดของคนตรงหน้าเลย เพราะมีคนมากมายยำเกรงเขา
แล้วตนจะยังหาญกล้าสงสัยอีกได้ยังไง?
“งั้น แกคิดจะทำอะไรล่ะ?” อ๋าวไท่เริ่มพูดเสียงสั่นๆ เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย
“บอกฉันว่าใครส่งแกมา?” ฟางเหยียนเน้นถามทีละคำ ดวงตาจ้องมองอ๋าวไท่ประหนึ่งราชา
คิ้วอ๋าวไท่อดขมวดไม่ได้ เขาส่ายหัวบอกว่า “ไม่มีใครส่งฉันมา ทำไมต้องให้ใครสั่งให้ฉันมา? ปกติฉันอิสระไม่มีใครสั่งฉันได้ แกฆ่าลูกศิษย์ฉัน ฉันก็ต้องอยากฆ่าแก เพียงแต่ฉันคิดไม่ถึงว่า ฉันสู้แกไม่ได้ เลยต้องมีจุดจบแบบนี้”
“งั้นหรอ?” ฟางเหยียนหันไปมองเหล่าเห้อที่ล้มอยู่บนพื้น พลางถามขึ้น “งั้นเขาล่ะจะว่าไง?”
อ๋าวไท่หันหัวไปมองเหล่าเห้อพลางว่า “เขา เขาสู้ฉันไม่ได้ ก็เลยตาย”
ฟางเหยียนจ้องดวงตาอ๋าวไท่เขม็ง ต่อให้เขาเผลออะไรนิดเดียว ฟางเหยียนก็สังเกตเห็นหมด เห็นได้ชัดว่า เขาไม่ได้พูดความจริง
ฟางเหยียนก้าวเท้าเข้าไปอีกหลายก้าว เข้าใกล้อ๋าวไท่อีกหน่อย
“แกแน่ใจว่าตัวแกไม่ใช่คนขององค์กรสัตว์เพลิง? ไม่ใช่ว่าคนขององค์กรสัตว์เพลิงส่งแกมาฆ่าปิดปากคน?” คำพูดของฟางเหยียนมีฤทธิ์เหมือนระเบิด แตกตัวระเบิดบึ้มกระจายออกมา
อ๋าวไท่ขมวดคิ้วพลางว่า “ฉันไม่รู้ว่าแกกำลังพูดอะไร องค์กรสัตว์เพลิงอะไร ใครส่งฉันมาอะไร พูดเหลวไหลทั้งเพ ฉันมาเพื่อฆ่าแก มันดันเข้ามาขวางยุ่งไม่เข้าเรื่อง สมควรตาย! ส่วนแก ฉันสู้แกไม่ได้ ฉันยอมรับ แกอย่าคิดจะใช้คำพูดแบบนี้มาลบหลู่ฉันอีก ขอให้ฉันตายอย่างมีศักดิ์ศรี! ฉันคิดว่าฉันมีสิทธิ์ได้รับสิ่งนี้”
“บอกฉัน แกมีตำแหน่งอะไรในองค์กรสัตว์เพลิง?” ฟางเหยียนย่อตัวลงมา ไม่สนใจคำพูดเขาเลย