จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 430
มีคนบอกว่าเด็กไม่เข้าใจความรัก ความจริงแล้วความรักในตอนนั้นถึงจะเรียกว่าความรัก ไม่มีผมประโยชน์ใดๆ และไม่มีเหมาะสมกับสถานะทางสังคมหรือไม่ ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ
สิ่งที่คนอื่นอิจฉากันก็คือช่วงอายุที่มีความรู้เพียงผิวเผิน เพราะตอนนั้นสามารถทำได้ทุกอย่าง เพื่อคนที่รัก!
“เสี่ยงหง คุณคือเสี่ยวหงจริงๆด้วย” พูดพลาง มือทั้งสองที่สั่นของเทียนขุยกอดเธอไว้แน่น
ร่างกายของเสี่ยวหงนุ่มมาก ต่อให้เสื้อผ้าบนเรือนร่างสกปรกมาก เก่ามาก แต่ก็ปกปิดสรีระโตเต็มวัยของเธอไว้ไม่ได้ เสี่ยวหงมีเสน่ห์ของความเป็นผู้หญิงมากกว่าเมื่อก่อนอีก ต่อให้เธอสกปรกมาก แต่ก็บดบังเสน่ห์ของเอาไว้ไม่ได้
ขอบคุณฟ้าดิน ดีที่จอมพลโผ้จวินให้เขาตามมา ไม่งั้นเขาก็ไม่มีทางได้เจอเสี่ยวหงของตนได้
“ไป! ไปกับผม!” เทียนขุยลากเสี่ยวหงมา จับมือเสี่ยวหงไว้ พาเธอออกจากบ้านที่รกร้างแห่งนี้ ไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงถนนใหญ่ เทียนขุยไม่พูดอะไร พาเสี่ยวหงเข้าไปนั่งในรถหงฉีโดยตรง แต่เธอนั่งที่ข้างๆคนขับ
เดิมทีรถคันนี้มีเพียงฟางเหยียนนั่งได้คนเดียวไม่ก็คนที่ฟางเหยียนให้นั่ง วันนี้ถือว่าเทียนขุยตัดสินใจโดยภาระการ แต่เขาเชื่อว่าจอมพลโผ้จวินไม่มีทางตำหนิเขาแน่นอน เรื่องเล็กๆแบบนี้ จอมพลโผ้จวินไม่เก็บมาโกรธเคือง
รถเริ่มขับอย่างนิ่งเรียบบนท้องถนน แววตาทั้งคู่ของเสี่ยวหงเหมือนเด็กที่เพิ่งเกิดใหม่ แปลกประหลาดกับสิ่งรอบกาย แว็บๆเธอก็มองถนน แว็บๆเธอก็หันมาเทียนขุย จากนั้นก็มองรถอีก เสี่ยวหงเป็นคนที่มีความรู้ เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่รถธรรมดา นั่นก็หมายความว่า เทียนขุยในตอนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา! แว็บเดียว เสี่ยวหงก็รู้สึกถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน ทั้งสองราวกับคนหนึ่งอยู่บนฟ้าคนหนึ่งอยู่ในนรก
ทั้งสองไม่พูดอะไรในรถ บรรยากาศเริ่มอึดอัดขึ้นมาทันใด แต่ก็ดูออกได้ไม่ยากว่าเทียนขุยตื่นเต้น เขายิ้มอ่อนๆบนใบหน้า การได้เจอกับเสี่ยวหง จะให้เขาไม่ดีใจได้อย่างไรกันเล่า?
เขาอยากจะถามอะไรกับเสี่ยวหง แต่แว็บเดียวก็ไม่รู้แล้วว่าจะถามจากอะไรก่อนดี ด้วยเหตุนี้จึงได้เงียบสงบไป รวบรวมคำพูดได้แล้วค่อยถาม พอเงียบสงัดไป จู่ๆในหัวก็ผุดคำถามขึ้นมามากมาย ไม่รู้ว่าจะถามอะไรก่อนดี
เทียนขุยไม่เคยมีความรักแบบจริงๆจังๆมาก่อน มีเพียงความสวยงามเล็กๆน้อยๆที่อยู่ภายในจิตใจเป็นสิ่งที่เสี่ยวหงทิ้งไว้ให้เขา ดังนั้นตอนที่ได้เจอเสี่ยวหงอีกครั้ง เขาจึงทำอะไรไม่ถูก
“เจ้าวัวรอง คุณ คุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันอยู่ที่นี่?” ไม่รอคำถามของเทียนขุย เสี่ยวหงก็ได้เอ่ยปากถามขึ้นมา
เทียนขุยตอบรับ ส่งเสียงอ๋อ แล้วกล่าว “เพราะตอนที่ผมกินข้าวเจอกับไอ้พวกลับๆล่อสองตัวนั้น ได้ยินการสนทนาของพวกมัน ดังนั้นจึงได้ตามมาดู”
“ขอบคุณนะ เจ้าวัวรอง!” เสี่ยวหงมองเทียนขุยอย่างจริงจัง แล้วกล่าว “ถ้าไม่ใช่คุณ เกรงว่าจะ…”
เธอยากที่จะเอ่ยคำพูดถัดมาได้ ทำได้เพียงก้มหน้าแล้วกล่าว “แต่ ฉันคุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้ไปนานแล้วล่ะ ถ้าไม่ใช่แบบนี้ ฉันก็ไม่มีทางมาที่นี่ และยิ่งไม่ได้เจอคุณเข้าไปอีก”
“อ้อ ตอนนี้คุณทำงานอะไรเหรอ?” เธอเพิ่งถามจบ ก็รีบอธิบายว่า “คุณวางใจได้ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฉันจะไปเอง ไม่มีทางรบกวนชีวิตคุณแน่นอน”
เทียนขุยรีบกล่าว “ไม่ๆๆ ไม่ได้รบกวนชีวิตอะไรของผมเลย คุณจะรบกวนชีวิตผมได้อย่างไรกัน หลังจากที่ผมเรียบจบมัธยมต้นได้ไม่ถึงสองปีก็ไปเป็นทหาร”
“งั้น หลังจากที่คุณปลดประจำการจากกองทัพแล้วทำอะไรเหรอ? นับๆดู ตั้งแต่คุณเป็นทหารถึงตอนนี้ ก็สิบกว่าปีได้แล้วมั้ง?” เสี่ยวหงตาโตถามอย่างแปลกใจ ในทัศนคติของเสี่ยวหง เป็นทหารแค่สองปี
เทียนขุยยิ้มอย่างซื่อๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าว “ยังไม่ปลดประจำการเลย อยู่ในกองทัพจนชิน ออกมาไม่รู้จะทำอะไร”
เทียนขุยถือว่าตอบเสี่ยวหงไปงั้นๆ ความจริงกองทัพไม่ใช่ที่ใครอยากอยู่ต่อก็อยู่ได้ เทียนขุยใช้เลือดเนื้อของตัวเองในสนามรบเพื่อความมั่นคง เดินมาถึงวันนี้ทีละก้าวทีละก้าว แต่เขาจะพูดกับเสี่ยวหงได้อย่างไรกันเล่า ช่วงนี้จะพูดไม่ได้นี่คือความลับ ต่อให้ไม่เป็นความลับ เขาก็ไม่ทีทางบอกเสี่ยวหง
เสี่ยวหงส่งเสียงอ๋อ ราวกับไม่มีอะไรจะถามแล้ว และก็ไม่รู้ว่าจะถามอะไรอีกด้วย มือของเธอวางไว้ที่ท้องน้อย ไม่กล้านั่งพิงพนักพิง เธอระมัดระวังมาก เหมือนกับว่ากลัวว่าจะทำให้รถนี้สกปรก
เสี่ยวหงไร้เดียงสามาก ดูจากพฤติกรรมและการกระทำของเธอ เธอยังคงเป็นเธอ ไม่เปลี่ยนแปลงไป
ต่อจากคำพูดของเสี่ยวหง เทียนขุยได้ถามว่า “อ้อ เกิดอะไรขึ้นกับคุณ? ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้ได้? ผมจำได้ว่าพ่อของคุณทำธุรกิจ ตามหลักแล้ว คุณควรจะมีชีวิตที่ดีมากไม่ใช่เหรอ?”
“ฉัน…” เสี่ยวหงหยุดพูดไป จากนั้นเริ่มนิ่งไป นัยน์ตาเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้าขึ้นอีกครั้ง
นี่จะต้องจี้โดนจุดที่อ่อนแอที่สุดในจิตใจของเธอเข้าแล้วแน่นอน เทียนขุยขมวดคิ้ว แล้วกล่าว “คุณอย่าเพิ่งเสียใจนะ ถ้าคุณไม่อยากพูด ก็ไม่ต้องพูด ไม่เป็นไรนะ!”
พูดพลาง เทียนขุยหยิบกระดาษทิชชูยื่นให้เสี่ยวหง
เมื่ออยู่ในรถไฟสว่างไสว เทียนขุยจึงได้เห็นหน้าตาของเสี่ยวหงชัดเจน ถึงแม้ตะมอมแมมไปบ้าง แต่ก็ยังเห็นเค้าโครงของเธอชัดเจน รูปร่างหน้าตาของผู้หญิงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หน้าตาของเสี่ยวหงก็เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เปลี่ยนเป็นภูมิฐานดูดีกว่าตอนเด็กเยอะมาก แม้การแต่งกายของเธอในตอนนี้จะสกปรกมากและเยินมาก แต่ก็บดบังประสาทสัมผัสทั้งห้าของเธอไม่ได้
หลังจากที่เช็ดหน้าแล้ว เสี่ยวหงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าว “ความจริงก็ไม่ได้มีอะไรที่พูดไม่ได้นะ ตอนที่พ่อแม่ของฉันมารับฉันไปจากบ้านของคุณตาของฉัน พวกเขาทำธุรกิจ ได้เงินมาไม่น้อยจริง ต่อมาธุรกิจยิ่งอยู่ยิ่งเติบโต ถึงขั้นขยายไปถึงดินแดนตะวันตก ยิ่งสูงยิ่งตกเป็นเป้าโจมตี เพราะธุรกิจของพวกเขาใหญ่โต จึงกลายเป็นจุดสนใจของคนอื่น ตระกูลหยางของดินแดนตะวันตกเป็นตระกูลใหญ่ของธุรกิจ ทำการค้าแบบผูกขาด อำนาจของพวกเขาที่ดินแดนตะวันตกยิ่งใหญ่มาก รองลงมาก็ตระกูลโจวอันลึกลับ ด้วยเหตุนี้ผู้นำตระกูลของตระกูลหยางจึงมาสู่ขอฉันที่บ้าน อยากได้ฉันเป็นน้อย เขาอายุหกสิบปีไปแล้ว พ่อแม่ของฉันไม่ยินยอมแน่นอน พวกเขาก็ไม่ได้โง่ รู้ว่าเขาใช้วิธีสู่ขอเพื่อมาควบคุมกิจการของพ่อแม่ฉัน อยากจะผูกขาดธุรกิจของพ่อแม่ฉัน พ่อของฉันไม่ยินยอมการสู่ของของเขา ด้วยเหตุนี้เองจึงได้เผชิญกับการล้างแค้นของตระกูลพวกเขา
“พวกเขาทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน ฆ่าพ่อแม่ของฉันทางอ้อม แล้วยังทำให้ธุรกิจของเราผิดกฏหมายต่างๆนานา สุดท้ายเขาครอบครองธุรกิจทั้งหมดของครอบครัวเรา ฉันคิดว่าเพื่อล้างแค้นให้พ่อแม่จึงได้ตัดสินใจแต่งงานกับเขา เป็นน้อยของเขา แต่สิ่งที่ฉันไม่คาดคิดคือ เขาเป็นคนบ้า ในวันแต่งงานเขาก็รู้เป้าหมายของฉัน ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงเริ่มทรมานฉัน ทรมานจนฉันอยากตายจริงๆ แต่ฉันก็ไม่กล้าตาย ฉันต้องล้างแค้นให้พ่อแม่ของฉัน มันไม่ง่ายเลย สุดท้ายฉันก็หนีออกมาได้ เดิมฉันคิดว่าหนีออกจากเสือได้แล้ว แล้วค่อยๆล้างแค้น แต่ใครจะรู้ว่าได้ปะกับจระเข้เข้าให้อีก