จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 49
บทที่ 49 อ้อมกอดที่หนักแน่น
เมื่อเห็นแววตาทั้งสองข้าง คิดไม่ถึงว่าถังยู่จะกลัวจนไม่กล้าสบตา
เธอเจอกับความโหดเหี้ยมมามากมาย แต่ทว่าเธอเพิ่งเคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรก
“หัวหน้าของผมไม่สอนเรื่องพวกนี้ให้ผมหรอก หน้าที่ของผมก็ไม่ใช่ทำเรื่องพวกนี้ หน้าที่ของผมก็คือที่ใดมีคนเลว ผมก็ต้องไปฆ่าที่นั่น การสังหารคือสิ่งที่ผมชื่นชอบ ผมชอบเห็นพวกที่พยายามทำให้ผมไม่พอใจตายไป!” ฟางเหยียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
ถังยู่รู้สึกว่าตัวเองถูกแกล้ง เธอจึงตบโต๊ะแล้วตวาดออกมาว่า “จริงจังหน่อย ฉันไม่ได้กำลังพูดล้อนายเล่นนะ”
ฟางเหยียนยิ้มอย่างเย็นชา “ผมก็ไม่ได้ล้อคุณเล่นเหมือนกัน การฆ่าคนคือเกียรติของผม เพราะผมฆ่าแต่คนที่มันสมควรตาย”
“นาย!” ถังยู่เริ่มโมโห เธอดูเอกสารที่อยู่ในมืออีกครั้ง นี่ก็แค่ทหารธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง จะเป็นไปตามที่เขาพูดได้ยังไง ราวกับโดนปีศาจเล่นงานอย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนว่าเอกสารของฟางเหยียนเป็นเอกสารปลอม ถ้าเขาไม่สร้างเอกสารปลอมขึ้นมา คนของตระกูลเซียวคงไม่แยแสเขาแบบนี้เหรอ อีกอย่างตอนแรกที่ก่อตั้งสำนักเจ็ดพิฆาต เขาก็อยากจะปิดบังตัวตนอยู่แล้ว
“งั้นก็ดี ฉันจะถามนายอีกครั้ง นายทำอะไรกันแน่” ถังยู่จ้องตาฟางเหยียนแล้วถามขึ้น
ฟางเหยียนยิ้มแล้วพูดว่า “ผมว่าทั้งชีวิตนี้คุณก็ไม่น่าจะรู้ว่าผมทำอะไร”
“ฟางเหยียน นาย….” เธอโมโหจนตบโต๊ะอีกครั้ง
จู่ๆ ฟางเหยียนก็ถามขึ้นว่า “พ่อของคุณชื่อถังชิงซานใช่ไหม”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ถังยู่ตัวสั่นเทา สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันที จากนั้นเธอรีบทำหน้านิ่งแล้วพูดออกมาว่า “นายเป็นใครกันแน่ นายมาเรียกชื่อแบบนี้ได้ยังไง”
ถังชิงซานคือพ่อของเธอ เธอเห็นพ่อเป็นทหารตั้งแต่เด็ก และยังเข้าร่วมกองทัพที่มีความลึกลับที่สุดของประเทศ
เมื่อสามปีก่อน ถังชิงซานสละชีพเพื่อชาติ หลงเหลือไว้เพียงที่ใส่เถ้ากระดูกเท่านั้น
ตั้งแต่เด็กเธอจึงตั้งปณิธานว่าจะต้องเป็นฮีโร่แบบพอให้ได้
ฟางเหยียนมองถังยู่และพูดอย่างจริงจังว่า “ทำไมผมจะเรียกไม่ได้?”
ถังยู่เหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่โดนฟางเหยียนพูดตัดบทเสียก่อน “พอละ หมดเวลาแล้ว ผมควรจะออกไปได้แล้ว” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นมา
จู่ๆ ถังยู่ก็เบิกตาโพลง ฟางเหยียนจะเกินไปแล้วจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะดูถูกเธอขนาดนี้
ขณะที่เธอจะอ้าปากต่อว่าเขา ผู้บัญชาการตำรวจก็เดินเข้ามาข้างใน
เขามองฟางเหยียนตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “คุณฟางเหยียนใช่ไหม”
ฟางเหยียนพยักหน้าให้ผู้บัญชาการตำรวจที่ดูกระฉับกระเฉง จากนั้นจึงพูดว่า “ผมเอง”
สีหน้าของผู้บัญชาการตำรวจเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นจีงพูดว่า “ถังยู่ ปล่อยเขา!”
ถังยู่มองผู้บัญชาการตำรวจอย่างตกตะลึง จากนั้นก็หันไปมองฟางเหยียน “แต่ว่าเขาฆ่าคนนะคะผู้บัญชาการ”
ผู้บัญชาการตำรวจขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นี่มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด คุณฟางเหยียนแค่ป้องกันตัวเอง! เขาจึงไม่ได้เป็นคนร้าย อีกอย่างคนนั้นพยายามลักพาตัวและพยายามข่มขืน เป็นข้อหาที่ไม่สามารถปล่อยไปได้”
ฟางเหยียนมองถังยู่ และพูดอย่างน่ากลัวว่า “ผมบอกแล้วว่าหมดเวลาแล้ว!”
พูดจบฟางเหยียนก็ยื่นมือไปตรงหน้าถังยู่ ถึงแม้ถังยู่จะไม่ได้ขัดคำพูดของผู้บัญชาการ แต่การทำแบบนี้มันค่อนข้างสะเพร่าไปหน่อย
แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร และปลดล็อกกุญแจมือให้ฟางเหยียนอย่างเงียบๆ
ฟางเหยียนลุกขึ้นยืนและพูดกับผู้บัญชาการตำรวจว่า “ขอบคุณ!”
ผู้บัญชาการตำรวจพยักหน้าแล้วพูดว่า “สังคมต้องการคนหนุ่มที่มีความยุติธรรมอย่างคุณฟางเหยียน เสี่ยวถังอายุยังน้อย ยังต้องเรียนรู้อีก”
“แค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น ถังยู่ไม่ได้ทำผิดอะไร!” พูดพลางฟางเหยียนก็ลุกขึ้น และเดินออกไป
เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องสอบสวน เขาหันหน้าไปมองถังยู่แล้วพูดอย่างลึกซึ้งว่า “พ่อของคุณคือฮีโร่”
ถังยู่มองฟางเหยียนอย่างแปลกใจ ในใจของเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ผู้บัญชาการคะ เขาเป็นใครกันแน่คะ ทำไมคิดจะปล่อยก็ปล่อยได้”
ผู้บัญชาการถอนหายใจออกมา แววตาและสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความนับถือ “นักสู้ที่ทำให้คนเคารพ!”
ถังยู่ขมวดคิ้วอีกครั้ง นี่ก็แค่วัยรุ่นอายุยี่สิบกว่าปีเท่านั้น อะไรจะเก่งขนาดนั้น จะต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังแน่นอน เธอจึงถามขึ้นว่า “เบื้องหลังของเขายิ่งใหญ่มากเลยเหรอคะ”
ถังยู่ไม่รู้ว่ามันไม่ใช่เบื้องหลัง แต่คือความเคารพ คือความเคารพที่ผู้บัญชาการตำรวจมีต่อผู้กล้าที่ปกป้องและดูแลบ้านเมือง
ขณะนั้นเองแพทย์นิติเวชคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพูดกับถังยู่และผู้บัญชาการว่า “แปลกมาก ศพที่ตายเมื่อคืนวาน ตายเพราะเส้นเลือดในตัวขาดทั้งหมด”
ถังยู่รับบันทึกผลการชันสูตรมา เส้นเลือดขาดโดยไม่ได้แตะตัว ไม่พบรอยนิ้วมือของคนร้ายบนตัวของศพ
คนที่ทำได้ขนาดนี้ คงจะมีเพียงคนที่มีความสามารถเป็นอย่างมาก
อย่าบอกนะว่าฟางเหยียนมีความสามารถที่น่าตกใจอยู่ในตัวของเขา
อีกด้านหนึ่ง
เย่ชิงหยู่ไม่ฟังเสียงห้ามปราบและมาถึงสถานีตำรวจ
เธออยากเจอฟางเหยียนจนแทบจะอดใจไม่ไหวแล้ว อยากพูดขอโทษเขาจากปากของตัวเอง
ความจำของเธอยังหยุดอยู่ตรงช่วงที่เธอพูดไม่ดีกับเขา มันเป็นเรื่องที่เธอไม่อยากคิดเลย
เธอโมโหใส่ฟางเหยียนเพียงเพราะเรื่องเล็กๆ แต่ฟางเหยียนฆ่าคนเพื่อเธอ เมื่อคิดถึงเรื่องที่ฟางเหยียนฆ่าคน เธอก็รู้สึกโทษตัวเองเพิ่มขึ้นไปอีก
รถเพิ่งจอดลง เธอก็กระโดดลงมาจากรถ
เธอยังไม่ทันได้เข้าไป ก็เห็นฟางเหยียนเดินกะเผลกออกมาจากสถานีตำรวจ
ใบหน้าของฟางเหยียนยังคงยโสโอหัง ราวกับว่าหน้าของเขาจะไม่เปลี่ยนไปเพราะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
“ฟางเหยียน!” เมื่อเห็นฟางเหยียน เย่ชิงหยู่ก็รีบเรียกเขาทันที
คนที่ขับรถคือเฉิงฉู่ เขาไม่สามารถให้เย่ชิงหยู่มาที่สถานีตำรวจคนเดียว เขาโดนความงดงามของเย่ชิงหยู่ดึงดูดตั้งแต่ตอนมหาวิทยาลัย ต่อมาเขาเคยคิดจะสารภาพรักกับเย่ชิงหยู่ แต่ทว่าเขายังไม่ทันได้สารภาพรักก็โดนเพื่อนอีกคนแย่งไป สุดท้ายเพื่อนคนนั้นโดนปฏิเสธ แต่สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ เหตุผลที่เย่ชิงหยู่ปฏิเสธก็คือเธอแต่งงานแล้ว
เขารู้สึกสิ้นหวังกับเรื่องที่เย่ชิงหยู่แต่งงานอยู่ช่วงหนึ่ง
แต่ทว่าต่อมาเขาตรวจสอบได้ว่าเย่ชิงหยู่มีสามีจริงๆ แต่สามีของเธอไปที่กองทหาร
เดิมทีเขาสามารถเลือกไปที่อื่น แต่เขากลับเลือกที่จะมาเมืองจินโจว
เย่ชิงหยู่เป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่เขาเลือกมาที่นี่
ตอนแรกเขาคิดว่าจะสามารถพัฒนาความสัมพันธ์กับเย่ชิงหยู่ได้ ใครจะไปรู้ว่าสามีของเธอจะกลับไป
เขารู้สึกเกลียดสามีของเย่ชิงหยู่อยู่ในใจ แต่เขาไม่สามารถแสดงความรู้สึกโง่ๆ แบบนี้ออกมาทางสีหน้าได้
เย่ชิงหยู่วิ่งไปตรงหน้าฟางเหยียน เธอมองดูตรงแก้มและตัวของฟางเหยียน
จู่ๆ เธอก็ไม่สนว่าที่นี่คือสถานีตำรวจ เธอยกมือไปแตะที่หน้าและตัวของฟางเหยียน จากนั้นจึงถามว่า “นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
ฟางเหยียนมองใบหน้าที่เป็นกังวลของเย่ชิงหยู่ เขายิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ผมไม่เป็นอะไร!”
เย่ชิงหยู่อึ้งไปเล็กน้อย และถามขึ้นว่า “นายถูกปล่อยตัวแล้วเหรอ ทำไมถึงไม่มีใครสนใจนายเลย”
ฟางเหยียนยักไหล่และพูดอย่างเหนื่อยใจ “ใช่ พวกเขาปล่อยผมแล้ว คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
เย่ชิงหยู่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ฉันไม่เป็นอะไร ขอบคุณนะฟางเหยียน!”
จากนั้นเธอก็รีบโผเข้าไปในอ้อมอกของฟางเหยียนและกอดเขาเอาไว้แน่น
“ครั้งหน้านายอย่าทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้อีก ใครใช้ให้นายฆ่าคนเพื่อฉันกัน” เย่ชิงหยู่พูดพลางร้องไห้ออกมา