จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 61
บทที่ 61 คำเชิญของหลินถง
ฝังเข็มประตูผีสิบสามท่า!
สิ่งนี้เป็นหนึ่งในการฝังเข็มของแพทย์แผนจีน แต่การฝังเข็มเช่นนี้แตกต่างจากการฝังเข็มที่เห็นทั่วไปโดยสิ้นเชิง
ฝังเข็มประตูผีสิบสามท่า! เป็นการรักษาโรคหยินโดยเฉพาะ โรคหยินคือโรคที่โรงพยาบาลไม่สามารถรักษาได้ อาการเหมือนถูกผีครอบงำร่างกาย นี่คือสิ่งที่เรียกว่าโรคหยิน
โรคนี้ไม่ได้เกิดจากร่างกาย แต่มันเกิดจากการครอบงำของวิญญาณอันชั่วร้าย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องหาผู้อาวุโสมาดูอาการ เมื่อก่อนการฝังเข็มวิธีนี้ปรากฏอยู่ในเขตชนกลุ่มน้อยที่ตั้งอยู่ภาคซีหนาน
อีกทั้งยังนับว่าเป็นการวิธีฝังเข็มที่มีชื่อเสียงในหมู่ประชาชน แต่เมื่อเวลาผ่านไป การฝังเข็มวิธีนี้มันก็แปลกประหลาดขึ้น จนทำให้แพทย์แผนจีนจำนวนมากไม่สามารถเรียนรู้และไม่อยากเรียนรู้อีก เมื่อเป็นเช่นนี้การฝังเข็มวิธีนี้จึงค่อยๆ หายไป
เพราะฉะนั้นเมื่อสังคมพูดถึงการฝังเข็มประตูผีสิบสามท่า คนส่วนใหญ่จึงดูเหมือนจะไม่เคยได้ยิน
ฟางเหยียนอึ้งเล็กน้อย เขามองหลินถงด้วยสายตาประเมิน จากนั้นจึงเอ่ยถามว่า “ทำไมเธอถึงรู้จักการฝังเข็มประตูผีสิบสามท่า”
สีหน้าของหลินถงเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ฉันเป็นโรคนี้มาหลายปีแล้ว เมื่อมันกำเริบขึ้นมาก็จะสั่นไปทั้งตัว ความรู้สึกเหมือนตอนใกล้จะตาย เมื่อก่อนครอบครัวของฉันพาไปพบแพทย์ที่มีชื่อเสียง แต่พวกเขาไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ เครื่องมือทางการแพทย์ขั้นสูงก็ตรวจหาโรคของฉันไม่เจอ ต่อมาก็มีผู้อาวุโสที่ดูดวงบอกฉันว่าโรคที่ฉันเป็นคือวิญญาณ มันอยู่ในร่างกายของฉัน ในโลกใบนี้มีเพียงมีเพียงการฝังเข็มประตูผีสิบสามท่าเท่านั้นที่จะเอาชนะวิญญาณในตัวของฉันได้ แต่ว่าการฝังเข็มประตูผีสิบสามท่าได้สูญหายไปนานแล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปหาที่ไหน”
“คิดไม่ถึงว่าวันนี้ฉันจะมาเจอนาย”
ตอนที่พูด ใบหน้าของหลินถงฉายแววความซาบซึ้งและดีใจ
คนในงานที่มามุงดู เมื่อได้ยินคำพูดของหลินถงถึงกับอ้าปากค้าง จากที่พวกเขารับรู้มา นี่เป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์ในระบบศักดินา เป็นวิธีของคนรุ่นเก่า
ถึงกับพูดเรื่องวิญญาณออกมา ดูแล้วเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก
อาจจะมีคนไม่เชื่อ แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้าจะไม่เชื่อก็ไม่ได้แล้ว
นี่เป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของคนที่ประสบด้วยตัวเอง แถมยังเป็นสาวงาม ชายใดก็จำต้องฟังคำพูดของสาวงามอยู่แล้ว ถึงจะสงสัยแต่ตอนนี้พวกเขาก็เชื่อ
“ขอบคุณนะคุณฟางเหยียน นี่ถือเป็นบุญคุณที่คุณช่วยชีวิตฉันเอาไว้!” หลินถงโค้งเก้าสิบองศาให้ฟางเหยียนด้วยความซาบซึ้ง
ฟางเหยียนยังคงใช้ท่าทีโอหังมองหลินถง จากนั้นจึงพูดว่า “ไม่เป็นไร ไม่ได้ลำบากอะไรเลย”
เมื่อหลินถงได้ยินก็ยิ้มออกมา “สำหรับคุณฟางเหยียนมันเป็นเรื่องที่ไม่ลำบากอะไร แต่สำหรับฉันมันคือบุญคุณที่คุณช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ถ้าไม่เจอคุณ ฉันก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะมีชีวิตถึงตอนไหน”
ฟางเหยียนไม่พูดอะไรอีก
“นี่ เมื่อกี้มีคนบอกว่าจะไปทำนานิ ตอนนี้ว่าไงล่ะ” เวินหลานมองไปที่หมอเจียง ตอนนี้หมอเจียงอึ้งกับภาพที่เห็นตรงหน้าจนพูดอะไรไม่ออก
แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเวินหลาน เขาจึงหลุดออกจากภวังค์
“เอ่อ… ฉันแค่…” หมอเจียงพูดติดๆ ขัดๆ หน้าแดงไปถึงหู
เวินหลานแสยะยิ้ม แล้วพูดว่า “ทำไม อย่าบอกนะว่าจะไม่ทำตามที่พูด คุณเป็นแพทย์อันดับหนึ่งของประเทศหวาเชียวนะ แถมยังเป็นศาสตราจารย์ที่จบจากต่างประเทศอีกด้วย จะทำตัวเป็นคนพูดเชื่อถือไม่ได้อย่างนั้นเหรอ ที่นี่ไม่ใช่แค่พวกเรานะที่ได้ยินคำพูดของคุณ”
“ไหนทุกคนบอกหน่อยสิ ว่าได้ยินสิ่งที่คุณหมอเจียงเหวินหลี่พูดหรือเปล่า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างพากันชี้ไปที่หมอเจียงแล้วพูดเยาะเย้ยออกมา เขาหน้าแดงไปหมด แต่ยังไม่ยอม เขาชี้ไปที่ฟางเหยียนด้วยความเคียดแค้น “อย่าคิดว่าวิธีการของนายจะสู้ฉันได้ นายมันก็แค่พวกบ้านนอกเท่านั้น!”
พูดจบ เขาจึงเดินฟึดฟัดออกจากโรงแรมนานาชาติฟู่คาง
ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นศาสตราจารย์ที่จบจากต่างประเทศ วันนี้ต้องมาเสียหน้าให้กับคนแบบนั้น เขาจึงโกรธเป็นอย่างมาก
ฟางเหยียนยิ้มอย่างเหนื่อยใจ และไม่ได้พูดอะไรออกมา
กลับกันในหัวของเสิ่นจื่อเจี๋ยกับตู้หมิงล่างเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าฟางเหยียนจะรู้วิธีพวกนี้ด้วย
แต่ทว่าตู้หมิงล่างก็ยังสบถออกมาอย่างไร้เหตุผล “เล่นสกปรก!”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น อีกทั้งมันยังเกิดขึ้นที่มุมหนึ่งในห้องประชุม จึงไม่ใช่ทุกคนที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
งานเต้นรำยังคงดำเนินต่อไป จู่ๆ คนที่อยู่บนเวทีอย่างเย่ชิงหยู่สังเกตฟางเหยียน เธอไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น แต่เธอเห็นอย่างชัดเจนว่ามีสองสาวงามยืนอยู่ข้างเขา ดูเหมือนว่าสองสาวจะสวยกว่าเธอด้วย เมื่อคิดได้เช่นนั้นความหึงหวงก็เกิดขึ้นในใจของเธอ
ไม่ว่าตอนไหนฟางเหยียนก็มีโชคชะตากับหญิงสาวเสมอ
ตอนแรกก็เป็นสาวอกโตมาหาถึงบ้าน ตอนนี้เป็นสาวงามสองคน สิ่งนี้ทำให้เธอรับไม่ได้
ไม่ว่าฟางเหยียนจะดึงดูดสาวๆ มากแค่ไหน แต่เขาก็เป็นสามีของเธอ ทำไมสามีของเธอต้องไปพัวพันกับสาวอื่นด้วย
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เย่ชิงหยู่ก็กระทืบเท้าอย่างอดไม่ได้
“เป็นอะไรชิงหยู่” เฉิงฉู่ถามอย่างมึนงง
จู่ๆ เย่ชิงหยู่ก็เอามือออกจากเฉิงฉู่ จากนั้นจึงพูดว่า “ขอโทษนะเฉิงฉู่ วันนี้ฉันสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”
พูดจบเธอก็ปล่อยมือของเฉิงฉู่และเดินไปหาฟางเหยียน
แต่เมื่อเดินเข้าไปหาฟางเหยียนได้ไม่นาน เธอก็กัดฟันเดินออกจากโรงแรมนานาชาติฟู่คาง
เธอคิดไม่ออกจริงๆ ว่าฟางเหยียนมีเสน่ห์ตรงไหน ถึงได้รู้จักสาวสวยเยอะขนาดนั้น
ไม่ว่าจะคิดยังไง เธอก็เป็นภรรยาของเขา เขาทำแบบนี้ต่อหน้าภรรยาตัวเอง มันดีแล้วอย่างนั้นหรือ
แต่พอคิดกลับกัน ตัวเธอเองก็เต้นรำกับผู้ชายคนอื่นต่อหน้าเขา นี่มันก็ดูไม่ดีเหมือนกัน
สรุปแล้วเย่ชิงหยู่ก็รู้สึกขัดแย้งในตัวเอง เธอขับรถตรงกลับบ้านทันที
“คุณฟางเหยียน ฉันขอเชิญคุณไปทานข้าวสองต่อสองได้ไหม” หลินถงถามอย่างมีมารยาท
จากนั้นเธอจึงพูดต่อ “ฉันจะได้ตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ด้วย และถือโอกาสขอคำแนะนำจากคุณฟางเหยียนด้วย”
ฟางเหยียนไม่ทันได้พูดอะไร เวินหลานก็พุ่งเข้ามาพูดกับหลินถง “เธอเป็นผู้หญิงที่เคยแต่งงานแล้ว อย่าไปทานข้าวกันสองต่อสองเลย ไม่เห็นเหรอว่าเขาอยู่กับฉันมันดีแค่ไหน ที่ช่วยเธอเพราะมันเป็นเรื่องไม่ได้ลำบากอะไร เธอกลับไปเถอะ ที่นี่ไม่ต้องการเธอ”
ฟางเหยียนมองเวินหลาน ผู้หญิงคนนี้น่ารำคาญจริงๆ
เขาสะบัดมือของเวินหลานออก จากนั้นจึงพูดว่า “อย่าตามฉันอีก”
ประโยคนี้ไม่เหมือนการพูดล้อเล่น สีหน้าของเขาจริงจังเป็นอย่างมาก
พูดจบ ฟางเหยียนจึงเดินออกจากโรงแรม
เหมือนเวินหลานกำลังจะพูดอะไร สุดท้ายเธอทำได้เพียงยักไหล่อย่างกระอักกระอ่วน
“คุณเวินหลาน ถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมขอเชิญคุณมาเป็นคู่เต้นรำของผม ผมคือคุณชายรองแห่งตระกูลตู้ เป็นพลโทของเขตเมืองจินโจว” ตู้หมิงล่างเดินเข้ามาอย่างมีเลศนัย
“ไสหัวไป!” เธอสบถใส่ จากนั้นจึงเดินฟึดฟัดออกไป
จู่ๆ ตู้หมิงล่างก็รู้สึกอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นพลโทของเขตเมืองจินโจว นี่เขาแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ
หลินถงปรายตามองแผ่นหลังของฟางเหยียน จากนั้นเธอก็เผยยิ้มที่เต็ทไปด้วยความรู้สึก เธอพูดเสียงดังว่า “คุณฟางเหยียนถ้ามาหนานหลิง อย่าลืมมาหาฉันด้วยนะ! ฉันจะขอบคุณคุณอย่างดีเลย