จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 62
บทที่ 62 เป็นขุนพลจริงเหรอ
หลังจากที่เดินออกมาจากโรงแรม ฟางเหยียนไม่เห็นรถแล้ว ดูเหมือนว่าเย่ชิงหยู่จะเป็นคนขับออกไป
เขาไม่สนว่าเย่ชิงหยู่จะขับรถออกไปด้วยเหตุผลใด และหาทางกลับบ้านด้วยตัวเอง เขาเหลือบมองชายชราตาบอดที่ดูดวง แต่ทว่าชายชราไม่อยู่แล้ว
เหตุที่เขามองชายชราคนนั้นก็เพราะว่าชายชราไม่เหมือนกับคนอื่น!
ไม่รู้ว่าเดินมาไกลแค่ไหน เมื่อเขาเดินมายังซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง จู่ๆ ก็มีเสียงชราดังขึ้นมา “ช้าก่อนคุณผู้ชาย”
ฟางเหยียนหันไปหาเสียงตามสัญชาตญาณ เป็นชายชราตาบอดกำลังนั่งยองอยู่บนถนน
เขาเปลี่ยนที่ดูดวง แต่ที่นี่เงียบจนไม่มีใครสักคน
“คุณมีธุระอะไร” ฟางเหยียนถามอย่างเย็นชา
ชายชราเอ่ยขึ้นว่า “ฉันเห็นว่าการเดินของคุณไม่ค่อยมั่นคง เหมือนมีโรคภายใน”
ฟางเหยียนมีสีหน้าเคร่งขรึม เขายื่นมือไปจับแขนของชายชราเอาไว้แน่น จากนั้นจึงถามอย่างน่ากลัวว่า “คุณเป็นใคร”
ชายชราตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ “ทำไมคุณต้องบุ่มบ่ามด้วย ผมก็แค่คนแก่ตาบอด จะทำร้ายอะไรคุณได้ล่ะครับ ผมแค่อยากบอกว่า ทำไมคุณไม่ดูของที่ผมขายล่ะ อาจจะเป็นของล้ำค่าที่คุณต้องการก็ได้!”
ฟางเหยียนกวาดตามองหินที่ชายชราขาย เขานั่งยองลงแล้วถามว่า “ไม่มีของที่ฉันต้องการ! นายเป็นใครกันแน่!”
“คนคุ้นเคย!” ชายชราพูดออกมา จากนั้นจึงพูดต่อ “โรคภายในตัวของคุณ ต้องรักษาด้วยของดี การที่คุณรักษาอย่างหนัก มันไม่มีประโยชน์อะไร”
พูดจบ ชายชราจึงหยิบหินขึ้นมาสองก้อน ก้อนหนึ่งเป็นสีเขียว ส่วนอีกก้อนเป็นสีแดง จากนั้นเขาจึงเก็บของอย่างไม่รีบร้อน เมื่อเก็บของเสร็จ เขาค้ำไม้เท้าเดินเข้าไปในซอยลึก
ราวกับว่าเขากำลังรอฟางเหยียนอยู่ เหมือนรู้ว่าฟางเหยียนจะเดินผ่านมาทางนี้
“นายเป็นใครกันแน่” น้ำเสียงของฟางเหยียนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก และแฝงไปด้วยความขุ่นมัว
ชายชราตาบอดยืนค้ำไม้เท้า เขาพูดกลอนออกมาโดยไม่หันกลับมา “ไม่มีต้นโพธิ์ ทั้งไม่มีกระจกเงาอันใสสะอาด เมื่อทุกสิ่งว่างเปล่า แล้วฝุ่นจะลงจับอะไร”
ฟางเหยียนหยิบหินสองก้อนนั้นขึ้นมา เขาพินิจมันอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้น แต่ไม่เห็นชายชราแล้ว
เป็นเขาได้ยังไง
ฟางเหยียนพึมพำในใจ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ามันคือเรื่องจริง เป็นเขาจริงๆ!
เมื่อสี่ปีก่อน ตอนที่ฟางเหยียนเพิ่งถึงชายแดนภาคเหนือ ตอนนั้นเขาเป็นเพิ่งแค่ทหารที่เพิ่งเข้าร่วมกองทัพ และถูกเลือกให้เข้าร่วมรบ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี
สรุปแล้ว ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นหรือตาย สิ่งที่เขาคิดถึงที่สุดก็คือช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้อยู่กับครอบครัวเย่เทียน
ต่อมาเขาได้รู้จักกับชายแก่ที่ชอบดื่มเหล้า เริ่มแรกชายชราแค่ยิ้มให้เขา ต่อมาก็เริ่มคุยเริ่มดื่มกับเขา ฟางเหยียนใจดีจึงซื้อเหล้าให้ชายชรา อีกทั้งยังได้ฟังเรื่องชายแดนภาคเหนือจากชายชราอีกด้วย
ไปๆ มาๆ ทั้งสองจึงสนิทกัน ต่อมาชายชรามอบยาลูกกลอนให้ฟางเหยียนหนึ่งเม็ด และบอกให้เขากิน
หลังจากที่ได้กินยาลูกกลอน ฟางเหยียนเจ็บปวดเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่ผ่านความเจ็บปวดไป ฟางเหยียนรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมาก ยานั่นคือยาวิเศษ
ต่อมาชายชราได้สอนสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ให้ฟางเหยียน หลังจากนั้นฟางเหยียนมักจะเผยพลังแปลกประหลาดออกมายามสู้รบ เขาเริ่มโดดเด่นและเป็นที่สนใจ ภายในพริบตาเขาก็ได้เป็นเทพสงครามในสนามรบ
หลังจากที่สงครามสิ้นสุดลง ตอนที่เขาจะไปเจอชายชราอีกครั้ง แต่ชายชราไม่อยู่แล้ว ทิ้งเพียงจดหมายไว้ให้เขา
เนื้อหาบนจดหมายมีอยู่ว่า ถ้าวันหนึ่งมีคนให้หินสีแดงและสีเขียวกับเขา นั่นแสดงว่าชีวิตของเขาจะพบกับจุดเปลี่ยนใหม่ในชีวิต
เขาไม่รู้ว่าหินสีแดงและสีเขียวที่อยู่ในมือแสดงถึงอะไร แต่ไม่ว่ายังไงคำพูดในจดหมายของชายชรายังคงอยู่ในใจของเขา เขารออยู่ที่ชายแดนภาคเหนือตั้งสี่ปีกลับไม่เห็นสีเขียวสีแดงที่ว่า คิดไม่ถึงว่าจะกลับมาเจอที่บ้าน
ถึงแม้จะไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของชายชรา แต่เขาเชื่อว่าชายชราคนนั้นคือท่านอาจารย์ของเขา ท่านอาจารย์จะไม่หลอกเขาแน่นอน งั้นการเปลี่ยนแปลงที่ว่าคืออะไรกันล่ะ
ฟางเหยียนเดาไม่ออกและเดาไม่ถูกด้วย ในช่วงเวลาที่คาดเดาอะไรไม่ได้ เขามักจะพบกันเรื่องที่ยากจะเข้าใจ!
เมื่อเย่ชิงหยู่กลับมาถึงบ้าน ในใจของเธอไม่ได้มีความสุขเหมือนที่จินตนาการเอาไว้
ในหัวของเธอมีแต่เรื่องของผู้หญิงข้างกายฟางเหยียน เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนซื่อๆ อย่างฟางเหยียนจะมีผู้หญิงมาเกาะแกะเยอะขนาดนี้
อย่าบอกนะว่าคนที่ดูซื่อๆ อย่างฟางเหยียนจะกำลังทำเรื่องที่ไม่ซื่อสัตย์อยู่
เขากลับบ้านมาช่วงหนึ่งแล้ว ช่วงนี้เขากลับบ้านดึกมาก ตอนแรกเย่ชิงหยู่คิดว่าเขาทำงานข้างนอก แต่ใครจะไปรู้ว่าเขาบอกว่าไม่ได้ทำงาน
ในเมื่อไม่ได้ทำงาน แต่กลับบ้านดึก จะต้องทำเรื่องที่ไม่ดีแน่ๆ หรือว่าฟางเหยียนแอบเลี้ยงสาวอยู่ข้างนอก
เมื่อคิดเชื่อมโยงกัน เธออดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องที่ฟางเหยียนปลดประจำการ
ไม่ว่ายังไงเขาไปเป็นทหารถึงห้าปี เขาต้องโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นอย่างแน่นอน บวกกับการใช้ชีวิตที่น่าเบื่อในกองทัพ เขาต้องมีความคิดที่ควรจะมีต่อผู้หญิงอยู่แล้ว
ในระยะนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะนอนห้องเดียวกับฟางเหยียน แต่กลับไม่ได้ทำเรื่องอะไรเลย
สำหรับวัยรุ่นแล้วมันเป็นเรื่องที่ทรมาน ฟางเหยียนไม่อยากทำร้ายเธอ จึงออกไปหาสาวๆ พวกนั้นข้างนอก
เมื่อได้ข้อสรุปเช่นนี้ เย่ชิงหยู่จึงพยักหน้าเหมือนคิดอะไรได้
พระเจ้าช่วย ทำไมสมองของเย่ชิงหยู่คิดไปถึงเรื่องที่น่าอายกันนะ
อีกอย่าง การที่ฟางเหยียนทำเรื่องแบบนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอมาก หรือว่าเธอกำลังแคร์ฟางเหยียนอย่างนั้นเหรอ
ไม่ว่ายังไงเขาก็แต่งงานกับเธอแล้ว ถึงจะไม่ได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แต่ถือว่าเป็นสามีภรรยากันในนาม การที่เธอแคร์เรื่องนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความรู้สึก
แต่ยังมีอีกเรื่องที่ทำให้เธอคาดไม่ถึง เรื่องชายชราคนนั้น ทำไมเขาถึงดูดวงให้คนอื่นแม่น แต่กลับดูดวงให้เธอไม่แม่นซะงั้น
ขุนพลผู้มีความสามารถอย่างนั้นเหรอ คนอายุน้อยที่มีชื่อเสียง แถมยังบอกว่าเป็นราชาผู้โอหังอะไรนั่นอีก นี่มันเกี่ยวกับฟางเหยียนเหรอ
เดี๋ยวนะ จู่ๆ เย่ชิงหยู่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้
ถ้าฟางเหยียนไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร จะมีสาวงามมาแย่งชิงเขาเยอะขนาดนี้เหรอ
ถ้าไม่มีเงิน ไม่มีฐานะ ไม่มีอะไรพิเศษ ยังไงก็ไม่มีใครสนใจ
การแต่งกายของเขาดูจนๆ แต่กลับดึงดูดความสนใจของสาวงามพวกนั้น
ไม่แน่ เขาอาจจะมีอะไรพิเศษก็ได้
หรือว่าเขาจะเป็นขุนพลจริงๆ
เย่ชิงหยู่กลอกตาไปมา เมื่อเธอได้ข้อสรุป เธอถึงกับสั่นไปทั้งตัว
ตั้งแต่ฟางเหยียนกลับมาเจอเธอ เขาบอกให้เธอตกลงเซ็นสัญญากับหวงหยวนฉาว ต่อมาก็ทำสัญญาสำเร็จ เขาเชิญคนมีชื่อเสียงมาในวันเกิดของเธอ ถึงจะบอกว่าต้องการจับเซียวเหวินห่าว แต่คนพวกนั้นจำเป็นต้องตอบตกลงคนไม่มีอะไรอย่างฟางเหยียนเหรอ ฟางเหยียนมีอะไรถึงไปคุยกับคนพวกนั้นได้
ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือฟางเหยียนมีฐานะสูง ถึงทำให้คนพวกนั้นมาพร้อมกับอำนาจอันยิ่งใหญ่