จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 446 ไม่เป็นไรนะ มีผมอยู่
ผีรู้ว่าคำพูดนี้ทำให้เย่ชิงหยู่ต้องรวบรวมความกล้าขนาดไหน เมื่อพูดจบ เธอก็สะอึกไปทั้งตัว เย่ชิงหยู่เป็นผู้หญิง จะคิดอะไรแบบสุดโต่ง เดิมคิดว่าเมื่อเจอฟางเหยียนเธอจะถามฟางเหยียนเรื่องแต่งงานของจริงหรือเท็จ แต่เมื่อเห็นการแต่งกายที่ดูมีระดับ เธอก็มั่นใจว่าพ่อบ้านของตระกูลฟางไม่ได้พูดโกหก ฟางเหยียนจะต้องพบปะกับผู้หญิงอีกคน จึงได้มีรสนิยมใหม่ นี่เป็นรสนิยมที่ไม่มีมาก่อนตอนอยู่กับตัวเอง
การเปลี่ยนแปลงของฟางเหยียนเริ่มจากการแต่งกาย เขาดูไม่ธรรมดาแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่แบบที่เธออยากเห็นอีกต่อไปแล้ว แต่เธอรับรู้ได้ว่าฟางเหยียนไม่ได้เปลี่ยนไป ยังคงมีท่าทีดูแลเอาใจใส่ไม่ห่าง
“ชิงหยู่!” ฟางเหยียนกเาวเข้ามาครึ่งก้าว มาถึงข้างๆเย่ชิงหยู่ สองมือวางไว้บนบ่าของเธอ แล้วกล่าวอย่างจริงจัง “คุณพูดอะไรอยู่? ชิงหยู่ ตระกูลเย่จะเป็นครอบครัวของผมตลอดไป คุณและคุณน้าจางแล้วก็คุณลุงเย่จะเป็นครอบครัวของผมตลอดไป คุณพูดแบบนั้นออกมาได้อย่างไรกัน? หรือผมทำอะไรผิดงั้นเหรอ? ถ้าผมทำอะไรผิด คุณพูดมาได้เลย ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ถ้าผมไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร แล้วคุณจะให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองยังไง?”
ยังไงเขาก็ไม่คาดคิดว่าเย่ชิงหยู่จะพูดกับเขาเด็ดขาดได้ขนาดนี้ นี่ไม่ใช่ว่าจะให้เขาไสหัวออกจากตระกูลเย่หรอกเหรอ? ตั้งแต่วินาทีนั้นที่ฟางเหยียนมาที่ตระกูลเย่ วินาทีที่ ได้รับความรัก เขาก็ไม่คิดที่จะไปจากตระกูลเย่เลย
ตระกูลเย่คือครอบครัวของเขา แล้วเขาจะไปจากตระกูลเย่ได้อย่างไรกัน?
ที่เขาล้างแค้นให้เย่เทียน ก็เพื่อล้างแค้นให้พ่อทั้งนั้น นี่เป็นเรื่องของตน ไม่เคยมองว่าเป็นการทดแทนบุญคุณเลย!
เย่ชิงหยู่สูดหายใจเข้าลึกๆ ยังคงรักษาท่าทีเย็นชาของเมื่อกี๊ไว้ เธอยกมือขึ้นมาผลักฟางเหยียน แล้วกล่าว “ฟางเหยียน คุณทำอะไร ไม่รู้ตัวเลยหรือไง? คุณคิดว่าการที่คุณทำแบบนี้ มันดีต่อฉันแล้วเหรอ? คุณรู้มั้ยว่าช่วงนี้ฉันมีความเป็นอยู่อย่างไร ทำไมคุณ ทำไมคุณต้องทำแบบนั้น? คุณ…”
เธอยังไม่ทันพูดจบ น้ำตาได้ไหลลงมาอย่างอดกลั้นไว้ไม่อยู่ เมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลลงมาเพราะความน้อยใจนั้นของเย่ชิงหยู่ ฟางเหยียนก็อดที่จะดึงเธอเข้ามากอดไว้ไม่ได้ เย่ชิงหยู่ไม่ต่อต้านอีกต่อไป เข้าไปในอ้อมกอดของฟางเหยียนอย่างไร้เรี่ยวแรง ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าจิตใจของเธอได้ถูกหลอมละลายแล้ว อ้อมกอดนี้เธอรอมานานมาก เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของฟางเหยียน เธออดกลั้นที่จะร้องเสียงฮือๆๆออกมาไว้ไม่อยู่ ตอนแรกเพียงแค่ร้องฮือๆๆ จากนั้นเธอได้ค่อยๆร้องอย่างเจ็บปวดอย่างหาที่เปรียบมิได้ออกมา แล้วยังกำหมัดทุบลงไปที่หน้าอกของฟางเหยียนอีกด้วย
ผ่านไปประมาณหนึ่งนาที เธอก็กลับมาเป็นดังเดิม จู่ๆก็นึกถึงเรื่องที่ชายคนนี้ได้ไปแต่งงานกับคนอื่นลับหลังเธอ เมื่อนึกถึงจุดนี้เธอก็น้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมา เธอผลักฟางเหยียนออกไป เช็ดน้ำตา พลางกล่าวว่า “เหอะ! หยุดแสร้งทำเป็นใสซื่อได้ล่ะ ใครไม่รู้บ้างว่าคุณกับ…”
เย่ชิงหยู่ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกขัดจังหวะอีกครั้ง นอกประตูมีเสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้ง เย่ชิงหยู่มองฟางเหยียน จากนั้นก็มองไปที่ด้านนอกประตูแล้วกล่าว “เข้ามา!”
เลขาสาวที่สวมชุดพนักงานออฟฟิศ ใส่รองเท้าส้นสูงคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วพูดด้วยสีหน้าหวาดผวาว่า “ประธานเย่คะ ไม่ได้การแล้วค่ะ ผู้บริหารของบริษัทซินปางมาหาท่านอีกแล้วค่ะ!”
“อะไรนะ?” เย่ชิงหยู่ดึงสติกลับมา ทันใดนั้นก็ตกใจ แล้วกล่าวด้วยความโมโหว่า “ทำไมเขามาอีกแล้วเนี่ย?!”
นี่มันเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ เย่ชิงหยู่ทุกข์ทรมานกับเรื่องนี้มาตลอดในช่วงนี้
บริษัทซินปางเป็นกรุ๊ปที่เก่าแก่ เมื่อก่อนถือว่าเป็นกิจการที่ไม่เป็นจุดสนใจของผู้คน เดินเส้นทางดั้งเดิม ดังนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกว่าธรรมดาทั่วไป แต่ช่วงก่อนหน้านี้ ผู้บริหารของบริษัทซินปางเสียชีวิต ลูกชายของเขารับช่วงต่อ หลังจากที่ลูกชายของเขารับช่วงต่อแล้ว จู่ๆบริษัทซินปางก็เหมือนเทพเซียนจุติมายังโลกมนุษย์ เริ่มใช้วิธีผูกขาดกิจการน้อยใหญ่จำนวนไม่น้อยเข้าด้วยกัน
เดิมทีพวกเขาทำวัตถุดิบยาเท่านั้น แต่ตอนนี้แทบจะพัฒนาทุกๆด้าน ทำอุตสาหกรรมโรงแรม อุตสาหกรรมบันเทิง แล้วยังอยากทำด้านการเงิน อสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมด้านอื่นๆ พฤติการณ์แบบนั้นเหมือนว่าจะผูกขาดทั้งเมืองของเมืองจินโจว เป็นตระกูลเซียวสอง
นี่ พวกเขามาที่บริษัทของเย่ชิงหยู่ ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว พวกเขารู้ทั้งรู้ว่าเย่ชิงหยู่ร่วมมือกับหวงหยวนฉาวเศรษฐีอันดับหนึ่งของซีหนาน แต่ก็ไม่ให้ความสำคัญใดๆต่อซีหนานกรุ๊ปแม้แต่น้อย จะซื้อธุรกิจตงข่ายกรุ๊ปให้ได้ ช่วงนี้เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยากจะซื้อกิจการตงข่ายกรุ๊ป ความจริงแล้วส่งผลกระทบอย่างหนักต่อตงข่ายกรุ๊ปอย่างลับๆ
ตงข่ายกรุ๊ปเป็นกิจการของตระกูลเดียว ตอนนี้พวกเขายังไม่ได้ข่มขู่หุ้นส่วนในบริษัทแต่อย่างใด เพราะไม่มีหุ้นส่วน หุ้นส่วนเพียงคนเดียวก็คือจางฉี่เหา ถึงแม้จะเป็นกิจการที่ตระกูลเย่มอบให้กับตระกูลจาง แต่จางฉี่เหาก็หวงแหนเป็นอย่างมาก ยังไงเขาก็ไม่มีทางขายบริษัท เขาได้พูดกับเย่ชิงหยู่ไว้ ว่าอย่าขายตงข่ายกรุ๊ป
ช่วงนี้ตงข่ายกรุ๊ปยังไม่ถูกบีบแต่อย่างใด เพียงแต่ขาดทุนด้านผลประกอบการบ้างเท่านั้น แต่กิจการอื่นไม่เหมือนกัน ยกตี้หาวเป็นตัวอย่าง นี่เป็นกรุ๊ปของอุตสาหกรรมบันเทิง ระยะเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่วัน หุ้นส่วนของตี้หาวกรุ๊ปก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
บริษัทซินปางข่มขู่พวกเขา ให้พวกเขาขายหุ้น ถ้าไม่ขาย จะไม่ปล่อยพวกเขาไว้ เดิมทีคิดว่าพวกเขาเก่งแค่ภายนอก ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะมีพลังใต้ดินจริงๆ ไม่กี่วันหุ้นส่วนหลายคนก็ตายไปทีละคนทีละคน
คนที่อยู่ข้างหลังไม่กล้าเป็นปฏิปักษ์กับบริษัทซินปางอีกต่อไป กิจการเล็กๆเหล่านั้นต่างพากันโอนหุ้นให้ เพราะการกระทำทุกอย่างของพวกเขาทำให้เกิดการสั่นสะเทือนไปทั้งเมืองจินโจง ส่งผลให้กิจการขนาดเล็กขนาดกลางอันตรายมาก ทุกคนล้วนกลัวว่าสักวันหนึ่งบริษัทซินปางจะมาเอาหุ้นของตนถึงที่ ดังนั้นคนที่ทำการค้าล้วนอกสั่นขวัญหายกันไปหมด
เจ้าของของบริษัทซินปางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเบื้องสูงระบุว่าจะเอาตงข่ายกรุ๊ป นี่เป็นกรุ๊ปที่มีเบื้องหลังใหญ่โต เบื้องหลังเป็นซีหนานกรุ๊ปของหวงหยวนฉาวเศรษฐีอันดับหนึ่งของซีหนาน ดังนั้นไม่ง่ายขนาดนั้นที่จะได้มา
แม้เป็นเจ้าของกิจการ เขาไม่มีอำนาจที่จะรู้ข้อมูลใดๆแม้แต่น้อย เพียงแต่พวกเขาให้ตนทำอะไร ตนก็ต้องทำไปก็เท่านั้น
แต่เขาไม่สงสัยพลังของเบื้องหลังเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาเคยเห็นพลังขององค์กรนี้มาแล้ว
สาวพนักงานออฟฟิศคนนั้นก้มหน้าแล้วกล่าว “ดิฉัน ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ!ประธานเย่ ท่านลงไปดูด้วยตัวเองดีกว่านะคะ!”
เย่ชิงหยู่กระทืบเท้าอย่างโมโห ย่างก้าวเดินออกไปข้างนอก ฟางเหยียนเห็นดังนี้ ก็อยากไปดูว่าบริษัทซินปางอะไรนี่เป็นอะไรยังไงกันแน่ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเพ่งเล็งภรรยาของตนได้
ตอนอยู่ในลิฟต์ เย่ชิงหยู่อยู่ใกล้กับฟางเหยียนมาก ในมือของเธอมีเหงื่อไหลออกมามาก เธอโมโหมาก เธอโมโหประธานของบริษัทซินปางนี่ อย่างหาที่เปรียบมิได้เลย นี่เป็นครั้งที่สามที่พวกเขามา ทุกครั้งมาด้วยความมั่นใจในตัวเองสูง
เมื่อนึกถึงไอ้อ้วนนั้น เธอก็โมโหจนกัดฟันด้วยความแค้น!แต่ตนจะทำอะไรได้ละ?เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตนก็เป็นแค่ผู้หญิงที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเท่านั้น และที่หมดหนทางจริงๆคือตนเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง!
ขณะเดียวกันนี้ จู่ๆก็มีมือที่อบอุ่นจับที่แขนของเธอ เสียงของฟางเหยียนดังเข้าไปในหูของเธออย่างมีพลังและเป็นมิตรว่า “ไม่เป็นไรนะ มีผมอยู่!”