จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 456 ฉันมาเพื่อปิดประตู
ฟางเหยียนชะงักไปเล็กน้อย จ้องมองไปที่แววตาของเห้ออีกางโดยไม่แม้แต่จะหายใจแล้วถาม “นี่แกกำลังทำอะไร?”
เห้ออีกางส่งเสียงเหอะออกมา ยืนขึ้นจากเก้าอี้หนังเสือ กลับมามีท่าทีผยองอย่างที่ผ่านมา แล้วกล่าว “แกคิดว่าตัวเองเจ๋งไม่ใช่เหรอ? ฉันล่ะอยากจะรู้ว่าแกเจ๋ง หรือกระสุนของฉันเจ๋งกว่า!”
เมื่อปืนอยู่ในมือ ฉันเป็นคนกำหนดชะตา เห้ออีกางมีโลกทัศน์แบบนี้ เขามองว่า มีปืนอยู่ในมือ ไม่ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าจะเก่งกาจขนาดไหน ก็เป็นแค่เก่งภายนอกเท่านั้น แตะไกปืนไว้ เขาเรียกคืนความกล้าเมื่อกี๊กลับมา แล้วกล่าวอย่างโอหังว่า “นี่เป็นยุคของอาวุธยุทโธปกรณ์แล้ว ยุคของศิลปะการต่อสู้กำจัดไปนานแล้ว ต่อให้แกจะแข็งแกร่ง จะแข็งแกร่งกว่าปืนที่อยู่ในมือของฉันได้มั้ย? เพียงแค่ฉันเหนี่ยวไกเบาๆ ก็สามารถเอาชีวิตแกได้อย่างง่ายดายแล้ว เข้าใจ?”
ฟางเหยียนยังคงมีท่าทีไม่ร้อนรนเช่นเคย เขาดูแคลนเหอะๆออกมา แล้วกล่าวอย่างสบายๆว่า “แกรู้มั้ยคนที่ใช้ปืนจ่อฉันครั้งที่แล้วมีจุดจบยังไง? ตอนที่กระสุนของคนนั้นออกจากปากปืนร่วงลงที่มือของฉันพอดี จากนั้นฉันก็ถือโอกาสใช้กระสุนที่มันยิงฉันยิงทะลุหัวของมันไป ต่อมามันก็ตาย จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายมันยังไม่อยากเชื่อกับเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าแกอยากเป็นแบบนี้เหมือนกัน ก็ลองยิงมาดู! ถึงตอนนั้นไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะอ้อนวอน” ฟางเหยียนพูดถึงคุณชายใหญ่ของตระกูลเซียว คนที่คิดจะใช้ปืนยิงทะลุหัวของเขา แล้วยังมีนักฆ่าที่เตรียมจะฆ่าตนครั้งที่แล้วที่บนภูเขาด้านนอกตึกว่านฉง ทั้งสองคนนี้ ใครบ้างที่ไม่ตายเพราะกระสุนที่ตัวเองยิงออกมา
ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเห้ออีกางมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แต่ไม่นาน เขาก็ส่งเสียงเหอะออกมาแล้วกล่าว “แกคิดว่าฉันจะเชื่อ?”
ในความคิดของเขา ไม่มีทางมีคนใช้มือรับกระสุนได้ แม้แต่ในทีวียังไม่มีใครกล้าแสดงแบบนั้นเลย คนที่อยู่ตรงหน้าค่อนข้างมีฝีมือจริง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอาวุธมีคมก็เท่านั้น ต้องกำลังขู่ขวัญให้กลัว อยู่แน่ๆ เขาต้องใช้วิธีนี้เพื่อทำให้ตัวเองกลัวแน่นอน ไม่มีทางมีใครรับกระสุนได้
เมื่อนึกถึงจุดนี้ เขาลั่นไกปืน แต่ตอนที่กำลังลั่นไกอยู่นั้นเขาลังเลอีกครั้ง คนนี้สามารถฆ่าฟันสามพันคนได้ตามลำพัง แล้วยังไม่ได้รับบาดเจ็บอีกด้วย ถึงขั้นไม่เห็นหยาดเหงื่อแม้แต่เม็ดเดียวบนใบหน้าของเขา แล้วก็กู่เฟิงก็ถูกเขาฆ่าอย่างนั้น บางทีเขาอาจจะรับกระสุนได้จริงๆก็เป็นได้ ถ้าเขารับกระสุนของตนได้จริงๆ งั้นตนก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลยไม่ใช่เหรอ?
ไม่ๆๆ ตนกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย จะมีคนรับกระสุนได้อย่างไรกัน! เขาเพียงแต่กำลังทำให้ตนกลัวก็เท่านั้น ไม่มีใครสามารถรับกระสุนได้ ถ้าสามารถรับกระสุนได้ งั้นเขาก็เป็นเทพเจ้าไปนานแล้ว!
เมื่อนึกถึงจุดนี้ เห้ออีกางกัดฟันตะคอกออกไปว่า “ฉันจะฆ่าแก!”
“ได้!” หลังจากที่ได้ยินคำพูดนี้ ฟางเหยียนใช้หยิบหินที่เล็กมากก้อนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าอย่างรวดเร็วออกมา จากนั้นเห็นหินก้อนนั้นลอยขึ้นมาจากในมือของฟางเหยียน จากนั้นเสียงเรียกที่ดังกึกก้องดังไปทั่วทั้งสวน
เสียงดัง“ปัง”ดังขึ้นมาเสียงปืนก็ดังขึ้นตามเช่นกัน ดังพร้อมกันกับเสียงร้องของคน แต่กระสุนยิงไปอีกทาง ยิงไปที่เสาหินต้นหนึ่ง ปืนหล่นลงบนพื้น หันไปทางเห้ออีกาง ที่กำลังร้องตะโกนอย่างเจ็บปวดอย่างบ้าคลั่ง เดินโซซัดโซเซ ดูท่าแล้วเกือบจะล้มลงกับพื้น
หัวเข่าของเห้ออีกางถูกโจมตีเข้าให้แล้ว เป็นก้อนหินก้อนนั้นที่ฟางเหยียนปล่อยโจมตีออกไป นั่นเป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่ง แต่เมื่อตอนที่โจมตีโดนเข้ากับหัวเข่าของเห้ออีกาง เขากลับรู้สึกขาถูกยิง ความเจ็บปวดที่ต้านทานไม่ไหวได้ทะลวงเข้าไปในจิตใจ ราวกับเมื่อใจเต้น ความเจ็บปวดนั้นก็จะประดังขึ้นมา
“ฉันบอกแล้ว ว่าแกจะต้องเสียใจ!” ฟางเหยียนกล่าวอย่างเย็นชา ตั้งแต่เห้ออีกางลั่นไกออกมาเขาก็ยังไม่ขยับเลยแม้แต่ก้าวเดียว
จากนั้นเขาได้ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ในขณะที่เห้ออีกางกำลังเจ็บปวดอยู่นั้นก็รับรู้ได้ถึงการคุกคามของการตายอย่างหนึ่ง เขาเริ่มผวาแล้ว ใครก็ตามที่กำลังเผชิญหน้ากับการคุกคามของการตาย ล้วนขี้ขลาดด้วยกันทั้งนั้น แรงอาฆาตของคนที่อยู่ตรงหน้านี้เยอะมาก ถ้าเขาคิดจะฆ่าตนจริงๆ มันช่างง่ายดายมากเสียเหลือเกิน เขาไม่กล้าสงสัยเลยว่าวินาทีถัดไปคนนี้จะลงมือฆ่าเขา เขาไม่กล้าสงสัยเลยแม้แต่น้อย
“อย่าฆ่าฉันนะ อย่าฆ่าฉัน!” และแล้ว เห้ออีกางเหงื่อไหลเต็มหัวไปหมด ขี้ขลาดอย่างเห็นได้ชัด เขารีบกล่าวว่า “ที่ว่าจะให้จัดการเมียของแกไม่ใช่ความคิดของฉันนะ เป็นความคิดของเบื้องบน ถ้าไม่ใช่เพราะเบื้องบนให้ฉันทำ ฉันก็ไม่มีทางทำเรื่องทรยศแบบนี้ได้! ขอร้องล่ะ ขอร้องปล่อยฉันไปเถอะนะ แล้วไปหาคนที่อยู่เบื้องบนของฉันดีมั้ย? ฉันๆๆๆเป็นแค่เครื่องมือของพวกเขาก็เท่านั้น”
เห้ออีกางไม่ใช่คนที่ทระนงอย่างยอมตายแต่ไม่ยอมจำนนแบบนั้น เขาไม่เหมือนอ๋าวไท่ และไม่เหมือนปรมาจารย์ เขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง สำหรับเขาแล้วความตายเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด ตอนนี้ที่เขาอ้อนวอน เพียงแค่ต้องการให้ผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ ก็ถือว่ากำไรแล้ว ต่อให้แก๊งซินหงจะไล่ฆ่าเขา อย่างน้อยเขาก็ยังมีโอกาสให้หลบบ้าง แต่ตอนนี้ถ้าไม่พอใจก็ต้องตาย ถ้าตายแม่แต่โอกาสถูกไล่ฆ่าก็ไม่มีแล้ว เมื่อเทียบกับการตาย เขายอมที่จะเลือกถูกคนของแก๊งซินหงไล่ฆ่ามากกว่า
ฟางเหยียนไม่ได้ตอบเห้ออีกาง เพียงแต่เหลือบตามองแล้วกล่าวออกมาว่า “แกจะไปไหน?”
เสียงตะโกนนี้ทำให้หยิวอู่ที่เดินไปถึงประตูแล้วตัวสั่นขึ้นมา เขาเหมือนกับถูกฟ้าผ่าอย่างไรอย่างนั้น อดไม่ได้ที่จะสั่นทั้งตัว เขาหันหน้าใหญ่อันอ้วนท้วมมา แล้วหัวเราะอิๆๆ ใบหน้านั้นบีบอัดเข้าด้วยกัน แล้วกล่าวอย่างสับปลับอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ว่า “ฉัน ฉัน ฉันมาปิดประตู”
“ปิดประตู? ประตูนั้นจะปิดยังไง?” ฟางเหยียนอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย
หยิวอู่เพิ่งจะรู้ว่าคำพูดของตัวเองมันเท็จมากขนาดไหน ประตูถูกชนจนพังแล้ว ประตูนั้นมันปิดไม่ได้แม้แต่น้อย แล้วก็ปิดไม่ได้อีกแล้ว เขาปาดเหงื่อบนหน้าผาก คุกเข่าปักลงกับพื้น แล้วกล่าวอย่างอ้ำๆอึ้งๆว่า “ทุก ทุก ทุกอย่างเขาเป็นคนสั่งให้ฉันทำ ไม่เกี่ยวกับฉันนะ ฉันก็แค่อยากไป ฉันพาแกมาที่นี่แล้ว ฉันไปได้แล้วไม่ใช่เหรอ? ฉัน…”
เห้ออีกางอดทนกับความเจ็บปวดที่จี๊ดมาที่ขา เขากล่าวอย่างหายใจหอบว่า “หยิวอู่ แก…”
เขายังไม่ทันพูดจบ ก็หุบปากไปอย่างสงบ! เพราะเขามองเห็นสายตาของฟางเหยียนโดยไม่ตั้งใจ
หยิวอู่กลัวเห้ออีกาง เพราะเขาคือคนของแก๊งซินหง พูดง่ายๆ เขาหวาดกลัวอำนาจที่อยู่เบื้องหลังของเห้ออีกางมากกว่า ขณะเดียวกัน หยิวอู่ก็กลัวฟางเหยียน เพราะฟางเหยียนฆ่าคนได้โดยไม่ต้องกะพริบตา ในมือของเขาชีวิตคนมันไม่ใช่ชีวิตคนเลย
ใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอ แว็บเดียวก็ดูออก เขารีบกล่าวอย่างติดๆขัดๆว่า “ผมๆๆ ผมพาคุณมาแล้ว ลูกพี่ คุณท่าน คุณท่าน กรุณาให้ผมกลับไปเถอะนะ! หลังจากที่ผมกลับไปแล้วจะคืนกิจการที่ผมได้ซื้อไว้ทั้งหมดไป และผมจะยื่นมือเข้าไปชดเชยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับพวกเขา ได้โปรดให้โอกาสให้ผมได้กลับตัวกลับใจใหม่อีกครั้งจะได้มั้ยครับ?