จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 461 เขา มาแล้ว
เสียงตะโกนนี้ดังสนั่นไปทั้งหุบเขา จากนั้นเห็นปากของฮองซูน้อยมีเลือดไหลออกมา แววตาทั้งสองเต็มไปด้วยเลือด ฮองซูน้อยตายแล้ว ตายด้วยน้ำมือของอู๋หมิง อู๋หมิงฆ่าฮองซูน้อย เหมือนกับบี้มดตัวหนึ่งตาย
อู๋หมิงโยนศพของฮองซูน้อยลงไป ส่งเสียงเหอะแล้วกล่าว “เก็บศพไว้ทั้งตัว!”
“เข้ามา! เอาศพของมัน ไปฝัง” อู๋หมิงตะโกนออกไปด้านนอก ไม่นาน มีคนสองคนเดินเข้ามา ยกศพของฮองซูน้อยไป เดินออกจากห้องโถงอย่างสงบ
ความจริงแล้วฮองซูน้อยคำนวณการตายของตัวเองไว้ตั้งนานแล้ว เขาก็รู้ว่าช่วงนี้ตัวเองต้องตาย ดังนั้นจึงได้มาที่สำนักไร้หน้า การที่มาสำนักไร้หน้า เป็นเพราะเขาชอบสำนักไร้หน้าที่ที่ฮวงจุ้ยดีแห่งนี้
ป่าลึกแบบนี้ ตอนมีชีวิตจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ ถ้าตายไปแล้วได้อยู่ที่นี่ ก็เป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง ดังนั้นการที่ได้ตายที่นี่ สำหรับฮองซูน้อยแล้วถือว่าเป็นสิ่งสุดท้ายของชีวิตแล้วอย่างหนึ่ง
หลังจากที่ศพของฮองซูน้อยถูกลากออกไปแล้ว อู๋หมิงเอามือไขว้หลัง เริ่มเดินวนไปมาในห้องโถง ตอนแรกเขาไม่พูดไม่จา จากนั้นสายตาของเขาค่อยๆหรี่ลง ดูท่าทางเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ
ในหัวของเขาคิดถึงคำพูดของทั้งสองอย่างวกไปวนมา ทำไมทั้งสองคนต้องพูดว่าสำนักไร้หน้าจะพังพินาศกันนะ? ตัวตนและตำแหน่งของพวกเขาที่ประเทศหวาล้วนโดดเด่น จะเรียกว่าเป็นเทพแห่งการทำนายก็ไม่เกินไป
แต่ทำไมพวกเขาดันต้องทำผิดในเรื่องที่ว่าสำนักไร้หน้าจะถูกล้างบางกันนะ นี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำมากที่สุด
ผ่านไปสักพัก เขาหลับตาลง แล้วกล่าวอย่างพึมพำกับตัวเองว่า “ทำไม? ทำไมพวกแกต้องพูดว่าวันสุดท้ายของสำนักไร้หน้ามาถึงแล้ว? ในเมื่อพวกแกชอบพูดแบบนั้น ฉันก็จะให้พวกแกให้เห็น ว่าใครมันกล้ายั่วโมโหสำนักไร้หน้าของฉัน สำนักไร้หน้ามีมานานกว่าพันปี แล้วจะพังพินาศลงในวันเดียวได้อย่างไรกัน ปรมาจารย์กุ่ยซือ ฮองซูน้อย พวกแกดูให้ดี สำนักไร้หน้าของฉันจะมีแต่ยิ่งอยู่ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น ไม่มีทางเป็นอย่างที่พวกแกพูด พังพินาศ! อย่างน้อยสำนักไร้หน้าต้องดำรงอยู่เป็นพันปีถึงขั้นหมื่นปี”
ในขณะที่เขาพูดเองเออเองด้วยความมั่นใจขนาดนั้น ชายที่สวมชุดดำคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างโซซัดโซเซ
“รายงาน! พระราชา ไม่ได้การแล้วครับ มีคนบุกฆ่าเข้ามา”
อู๋หมิงค่อยๆลืมตาขึ้น เขามองชายชุดดำ แล้วถาม “ใครกัน?”
ผู้ชายรีบกล่าว “เป็น เป็นคนของแก๊งซินหง เห้ออีกาง แล้วก็คนที่ไม่รู้จักหนึ่งคน คนนั้นเหมือนกำลังบีบบังคับเห้ออีกางอยู่ ดูท่าทางแล้วมาด้วยเจตนาไม่ดี! ตอนนี้ กำลังขึ้นบันไดฟ้ามาอยู่”
สีหน้าของอู๋หมิงดูไม่ดียิ่งขึ้น เขาเริ่มนิ่งเงียบ เขานึกถึงคำพูดของกุ่ยซือและฮองซูน้อยเมื่อกี๊ หรือคนนั้นมาแล้ว? หรือคนที่อยากจะล้างบางสำนักไร้หน้ามาแล้วงั้นเหรอ? แน่นอน เขาไม่คิดว่าจะมีคนที่มีฝีมือที่จะทำลายสำนักไร้หน้าได้ เพียงแต่มีคนอยากจะต่อกรกับสำนักไร้หน้า ถ้าแบบนี้จริงแท้แน่นอน
“มัน พาคนมากี่คน?” อู๋หมิงถามอย่างอกผายไหล่ผึ่ง คำพูดค่อยๆมั่นใจขึ้นมา
คนนั้นเงียบไปสักพัก แล้วกล่าว “เหมือนจะมีแค่มันคนเดียว ไม่เห็นคนอื่นนะครับ”
“คนเดียว!” อู๋หมิงหัวเราะเหอะๆออกมา แล้วถาม “มาแค่คนเดียว แล้วแกจะผวาอะไร?”
“พระราชา! ผมไม่ได้ผวานะครับ เพียงแต่รู้สึกแปลกๆ วันนี้ในหุบเขานึกไม่ถึงว่าจะไม่มีแม้กระทั่งเสียงนกร้อง”
“เหอะ!” อู๋หมิงยกมือขึ้นคว้าชุดเกราะทอง แล้วกล่าว “เกี่ยวอะไรกับเสียงนกร้อง!”
เขาหวังว่าคนนั้นจะเป็นคนที่พวกเขากล่าวถึง แบบนี้เขาก็จะมีโอกาสได้สวมชุดเกราะของตัวเองทำสงครามแล้ว หวังว่าคนนั้นจะไม่ผิดต่อการเฝ้ารอคอยของเขา ที่จะต่อสู้กับตนอย่างสบายๆ
เมื่อนึกถึงจุดนี้ เขาพูดกับคนนั้นอย่างเยือกเย็นว่า “เตรียมรบ!”
เมื่อพูดจบ เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ที่เหมือนเก้าอี้จักรพรรดิ เก้าอี้ตัวนั้นอยู่ข้างๆชุดเกราะทอง ตรงกลางระหว่างเสามังกรสองเสา ดูแล้วเหมือนตำแหน่งจักรพรรดิของจักรพรรดิในสมัยโบราณ เพิ่งจะนั่งลงไป ผู้หญิงสี่คนล้วนมาอยู่ข้างๆเขาทุกคน ท่าทางของเขา ท่วงท่าของเขา ดูแล้วก็คือท่วงท่าของจักรพรรดิองค์หนึ่ง
ในตอนที่เขาเพิ่งจะนั่งลงไป ก้นยังไม่ทันร้อน เสียงของผู้ชายดังสะเทือนมาจากด้านนอกของตำหนัก “ไม่ต้องเตรียมรบแล้ว ฉันมาถึงแล้ว!”
คำพูดนี้ทำให้อู๋หมิงและผู้คนที่อยู่ในห้องทั้งหมดพากันทองไปที่ประตูใหญ่อย่างระแวดระวัง เห็นเพียงชายที่สวมชุดกันลมสีดำคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตู ผู้ชายผิวขาว รูปร่างผอม ดูแล้วเหมือนเป็นโรคอย่างไรอย่างนั้น
แต่จุดนี้ก็ไม่ได้กระทบต่อการปล่อยของแรงอาฆาตของเขา ร่างกายของเขาห้อมล้อมไว้ด้วยพลังอันแรงกล้า นั่นคือแรง แรงอาฆาต! คนอื่นไม่เข้าใจ แต่อู๋หมิงมองเห็นได้อย่างชัดเจน จริงแท้ แรงอาฆาตแบบนี้ จะมีสัตว์ปีกอยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้อย่างไรกัน ขอให้เป็นแรงอาฆาตแบบนี้มาใกล้ๆ สัตว์ปีกล้วนตกใจหนี
ไม่ต้องสงสัยสักนิดเลย ว่าคนนั้นที่สองคนกล่าวถึง ก็คือเขา!
ที่มือของเขาลากคนๆหนึ่งไว้ คนนั้นตัวสั่นอยู่ในมือของเขา ดูแล้วเหมือนลูกไก่ที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงใดๆตัวหนึ่ง ขณะนี้ มีลมเย็นพัดเอื่อยๆมา พัดไปที่ชุดกันลมของชายที่ประตู ชุดกันลมถูกพัดพลิ้วไสว ทำให้แรงอาฆาตของเขากระจายวงกว้างยิ่งขึ้น รุนแรงขึ้น
ผู้ชายโยน“สวะ”ที่อยู่ในมือเข้าไป เหมือนกับโยนขยะ ทำให้ร่างกายของสวะนั่นกระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรง หลังจากที่ตกถึงพื้นแล้ว ร่างกายของเห้ออีกางกลิ้งไปมาหลายตลบ หลังจากที่ร่างกายของเขาหยุดกลิ้งแล้ว เขากอดขาที่เลือดของตัวเองได้แข็งตัวแล้วพูดกับอู๋หมิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ว่า “เจ้าสำนัก ขอโทษนะ ผมไม่ได้ตั้งใจพามันมา ไอ้นี่ ไอ้นี่มันฆ่าพรรคพวกของแก๊งซินหงของเราทั้งหมด แล้วยังให้ผมพามาล้างบางพวกคุณอย่างหน้าไม่อาย ความโอหังของมันน่าชังอย่างที่สุด ผมพามันมา ก็เพื่อให้พวกคุณ ให้พวกคุณฆ่ามัน!”
ระหว่างทางมา เห้ออีกางคิดไว้แล้ว ว่าแม้คนนี้จะแข็งแกร่งมาก แต่เมื่อเทียบกับเจ้าสำนักคนนั้น เกรงว่าจะไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่เข้าขั้น แม้เขาจะไม่เคยเห็นความเก่งกาจของเจ้าสำนักคนนั้นกับตาตัวเอง แต่ถูกขนานนามว่าพระราชาในแดนเซียนบนโลกมนุษย์ ใช้ตูดก็สามารถคิดได้ว่านี่น่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งเพียงหนึ่งเดียวในโลก ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้รับเกียรติจากเบื้องบนของแก๊งซินหงอีกด้วย ถ้าไม่มีฝีมืออะไรเลย คนอื่นก็ไม่มีทางให้ตำแหน่งสำคัญกับเขาได้
ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่คือถิ่นของเขา ต่อให้ฟางเหยียนจะแข็งแกร่ง ก็ไม่มีทางแข็งแกร่งกว่าการจับเต่าในไหของคนอื่น
เขามาเพียงนักบินคนหนึ่งตามมา และนักบินคนนั้นก็ไม่ได้มา เพียงแต่รออยู่ที่เดิม คนนี้มันยโสโอหัง เขาคิดว่าแค่ตัวคนเดียวจะสามารถต่อกรองค์กรหนึ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ได้เหรอ?
“กู่เฟิงล่ะ?” อู๋หมิงถามอย่างเยือกเย็น
เห้ออีกางก้มหน้า แล้วกล่าวด้วยท่าทางเสียใจว่า “เขา เขาถูกฆ่าแล้ว! ถูกไอ้นี่ฆ่า”