จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 462 ผู้เข้มแข็งเท่านั้นที่จะอยู่รอด
เห้ออีกางจ้องฟางเหยียนอย่างโกรธแค้น แววตาคู่นั้นดูๆแล้วได้กลับไปเป็นแววตาเย่อหยิ่งเมื่อกี๊อีกครั้ง เพื่อความอยู่รอดเขายอมกล้ำกลืนอดทนต่อการด่าทอได้ เขาสามารถก้มหัวเป็นลูกน้อยของคนอื่นได้
แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนกันแล้ว เขาไม่ก้มหัวเป็นลูกน้องให้คนอื่นอีกแล้ว กลับกัน เขารู้สึกว่าตัวเองอยู่ในจุดได้เปรียบแล้ว เมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้ เจอคนของ“ทีม”ตัวเอง เขาก็ต้องมีความกล้ากลับมาอยู่แล้ว
“อ๋อ?” อู๋หมิงมองไปยังคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง กู่เฟิงเป็นนินจาระดับสูง ไม่อยู่ในสายตาของเขาอยู่แล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา กู่เฟิงไม่มีโอกาสที่จะได้ต่อกรใดๆ คนที่อยู่ด้านหน้าตรงนี้จะต้องฆ่ากู่เฟิงแล้ว จึงได้มีความกล้าขึ้นมาที่นี่ได้
หรือเขาคิดว่าการที่ฆ่ากู่เฟิงได้ แล้วจะทำอะไรที่สำนักไร้หน้าก็ได้งั้นเหรอ? เขาเป็นใคร ช่างยโสโอหังจริงๆ
“ภารกิจล้มเหลวแล้วเหรอ?” อู๋หมิงถามอย่างเลือดเย็น ค่อยๆขยับตัวช้าๆ พิงไปที่เก้าอี้
เห้ออีกางก้มหน้า หลังจากที่เงียบไปสักพักจึงได้กล่าวว่า “เดิมที เดิมทีผมจะทำสำเร็จแล้ว อีกนิดก็จะซื้อตงข่ายกรุ๊ปได้แล้ว แต่จู่ๆก็เกิดเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้น หลังจากที่มันมาแล้ว แผนการของเราก็ล่ม”
อู๋หมิงพยักหน้าเบาๆแล้วกล่าว “โอเค ฉันรู้แล้ว”
เสียงของเขาต่ำมาก เหมือนกับจงใจกดมันไว้
ฟางเหยียนมองผู้ชายที่ผมยาว ใส่รองเท้าบู๊ทผ้า สวมชุดฮั่นฝูที่อยู่ตรงหน้า เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ ข้างๆยังมีสาวสวยที่งามร่ำลือไปทั้งเมืองสี่คนยืนอยู่ ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าเขาต้องเป็นราชาของที่นี่แน่นอน และก็คืออู๋หมิงที่เห้ออีกางกล่าวถึง
สมแล้วที่เป็นหมารับใช้ผู้รับผิดชอบเขตซีหนาน ดูท่าทางของเขา เขายกตัวเองเป็นราขาแล้วจริงๆ! แต่แบบนี้ก็ดีนะ ให้แกได้โอหังต่ออีกสักพัก นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่แกจะได้โอหังแล้วล่ะ ผ่านจากวันนี้ไป แกก็จะไม่มีโอกาสได้โอหังแล้ว
เมื่อนึกถึงจุดนี้ เขาเก็บแรงอาฆาตของในร่างกายไป แล้วถาม “แกคืออู๋หมิง?”
อู๋หมิงขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ร่างกายยืดตรงขึ้นมา มือทั้งสองข้างวางไว้บนหน้าขา มองขายที่อายุเพียงยี่สิบกว่าปีจากหัวจรดเท้าอีกครั้ง ในสายตาของอู๋หมิงนี่เป็นเพียงแค่เด็กน้อยเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าเด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมจะถามชื่อต่อหน้าตน
“ฮ่าๆๆ!” อู๋หมิงหัวเราะขึ้นมาด้วยเสียงทุ้ม จากนั้นก็หน้าบึ้งตึง แล้วกล่าว “ใช่ ฉันก็คืออู๋หมิง!”
“แกส่งมันไปซื้อกิจการตงข่ายกรุ๊ปบริษัทเมียของฉันใช่มั้ย?” ฟางเหยียนเดินมาเข้าใน ก้าวย่างอย่างมีพลัง และทุกๆย่างก้าวล้วนมีกลิ่นอายแรงอาฆาตที่รุนแรง
อู๋หมิงยังคงไม่กระปรี้กระเปร่าอยู่เช่นเคย แล้วนั่งพิงเก้าอี้อีกครั้ง แล้วกล่าวอย่างไม่หวาดหวั่นว่า “ฉันส่งมันไปซื้อกิจการเองแหละ ทำไมเหรอ? มีปัญหาอะไรมั้ย?”
ฟางเหยียนพยักหน้าเบาๆ แล้วกล่าว “ได้! งั้น แกตายได้แล้วล่ะ สำนักไร้หน้าของแกก็ถูกทำลายได้แล้ว”
เมื่อฟางเหยียนพูดจบ รอบๆมีเสียงฝีเท้าที่ดังวุ่นวาย
แว็บเดียวก็มีคนปกปิดใบหน้าจำนวนไม่น้อยเข้าล้อมไว้ คนปกปิดใบหน้าพวกนี้ไม่ให้ใครเห็นหน้า เหมือนทำสิ่งไม่ดีไว้ เพียงแค่ในระยะไม่กี่นาที ทางเดินของชั้นสอง ห้องโถงของชั้นหนึ่งล้วนเต็มไปด้วยผู้คน
คนที่อยู่ในห้องโถงขั้นสองล้วนถือปืนทั้งหมด แต่ล่ะคนพร้อมจะจู่โจม และคนที่อยู่ชั้นหนึ่งล้วนถืออาวุธแหลมคม จำนวนผู้คน น้อยหน่อยก็หลายพันคน ชั้นบนชั้นล่างรวมกัน ประมาณเป็นหมื่นได้! ฟางเหยียนไม่ได้เห็นฉากแบบนี้เป็นครั้งแรก ตอนอยู่ในสนามรบฆ่าศัตรู ฉากแบบนี้แทบจะเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ครั้งที่แล้วตอนอยู่เมืองจินโจวเจอกับสามคุณชายจินโจว พวกเขาก็จัดฉากแบบนี้เช่นกัน เหมือนกับครั้งที่แล้วมาก
แต่คนที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้เมื่อเทียบกับคนพวกนั้นเมื่อครั้งที่แล้ว ฉลาดหลักแหลมและมีความสามารถมากกว่าสิบเท่า พวกคนที่สามคุณชายจินโจวพามานั้นอยู่ในระดับทั่วไปสุดๆ แต่พวกคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นคนที่เคยบำเพ็ญตนมาก่อน ดูออกว่าคนของสำนักไร้หน้าก็ไม่ธรรมดา
แต่ แล้วยังไง? ในสายตาของฟางเหยียนก็ไม่ใช่ว่าเป็นสวะทั้งหมดเหรอ!
สวะยังไงก็คือสวะอยู่วันยังค่ำ พวกเขาไม่มีทางกลายเป็นคนที่มีประโยชน์ขึ้นมาได้ตลอดไป ในสายตาของฟางเหยียน คนพวกนี้กับพวกที่เจอที่เมืองจินโจวครั้งที่แล้วก็โง่เหมือนกัน ก็แค่เป็นพวกที่รอความตายด้วยกันทั้งนั้น
คนต่ำๆไม่คู่ควรที่จะได้รับการจัดชนขั้น เพราะต่ำด้วยกันทั้งหมด ไม่มีระดับชั้นต่างๆอะไรให้มากมาย
เมื่อเห็นมีคนมามากขนาดนั้น อู๋หมิงเยาะเย้ยเหอะๆออกมา เขาไม่กังวลใจคนนี้ใดๆ เพราะเขามาแค่คนเดียว ถ้าสำนักไร้หน้าเอาคนเดียวยังไม่อยู่ งั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่แล้ว
คนที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นแค่วัยรุ่นที่โอหังคนหนึ่ง บางทีเขามีฝีมืออยู่บ้าง แต่ไม่เพียงพอที่จะทำลายสำนักไร้หน้าได้
อู๋หมิงไม่เคยเจอคนที่เป็นระดับปรมาจารย์ แม้ระดับปรมาจารย์มีความสามารถในการทำลายล้างฟ้าดินได้ แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่ตำนาน ตนมีชีวิตมาหกสิบกว่าปี ถึงตอนนี้ก็เป็นได้แค่ระดับต้าชี่ขั้นสูง ท่านปรมาจารย์มีชีวิตร้อยหกสิบกว่าปี กำลังเลื่อนขั้นเป็นระดับปรมาจารย์ เห็นได้ชัดถึงความยากของระดับปรมาจารย์ ดังนั้นคนที่อยู่ตรงหน้า มากสุดก็คือระดับต้าชี่
ต่อให้เขาเป็นอัจฉริยะระดับต้าชี่ แล้วไง?จะสามารถล้างบางสำนักไร้หน้าได้อย่างงั้นหรือ?
อู๋หมิงไม่เชื่ออยู่แล้วว่าคนนี้สามารถล้างบางสำนักไร้หน้าได้ ความคิดของเขาเหมือนของอ๋าวไท่
เขามองฟางเหยียน แล้วถามอย่างเยือกเย็นว่า “แกคือวัยรุ่นอัจฉริยะระดับต้าชี่?”
“ระดับต้าชี่!” ฟางเหยียนดูแคลนออกมา พยักหน้าแล้วกล่าว “แกว่าไงก็ว่างั้น ยังไงสำนักไร้หน้าก็จะต้องพังพินาศแล้ว”
อู๋หมิงหัวเราะฮ่าๆออกมา แล้วกล่าว “อายุน้อย นึกไม่ถึงว่าจะพูดจาสามหาวขนาดนี้ สำนักไร้หน้าของฉันมีมาพันกว่าปี องค์กรเหล่านั้นที่เคยพูดว่าจะล้างบางสำนักไร้หน้าของฉันล้วนหายไปหมดแล้ว พวกชั้นต่ำอย่างพวกแก พูดว่าพังก็ต้องพังงั้น?แกคิดว่าแกมีความสามารถที่จะล้างบางสำนักไร้หน้าแล้ว ใช่มั้ย?”
ฟางเหยียนไม่พูดไม่จา เพียงแต่ยิ้มอย่างชิลล์ๆออกมา
อู๋หมิงก็ไม่โกรธอะไร เพียงแต่ส่งเสียงเหอะออกมา แล้วกล่าว “สวะอย่างแก ไม่คู่ควรที่จะต่อสู้กับฉัน”
พูดจบ เขาหรี่ตาลง แสดงท่าทางเนือยๆออกมา
เขาไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็คือฟางเหยียน คนนั้นที่ฆ่าอู๋เมี่ยน เพราะเขาไม่เคยสืบเกี่ยวกับฟางเหยียน ไม่เคยสืบคนที่ถูกขนานนามว่าเทพเจ้ามาก่อน ในสายตาของเขา มนุษย์คือมดเท่านั้น
ฟางเหยียนสวมชุดงั้นๆ แบบนี้ แต่ไม่ว่ายังดูยังไงก็ไม่เหมือนคนที่จะมาล้างบางสำนักไร้หน้าได้
ถ้าเขารู้ว่าฟางเหยียนคือคนที่ฆ่าอู๋เมี่ยน บางทีเขาอาจจะไม่คิดแบบนั้นก็ได้
ความภาคภูมิใจเป็นความสามารถที่เจ้าสำนักของสำนักไร้หน้าต้องมี ถ้าองค์กรที่มีมากว่าพันปีไม่โอหังอวดดี แล้วจะอยู่มาเป็นพันปีได้อย่างไรกัน?
ฟางเหยียนมองคนปกปิดหน้าที่ถมึงทึงรอบๆเหล่านี้ แล้วถาม “แกคิดจะให้สวะพวกนี้ต่อสู้กับฉัน?”
ถามจบ ไม่รู้ว่าตอนไหนกันที่ในมือของฟางเหยียนมีหินก้อนหนึ่งโผล่ขึ้นมา เลือกอาวุธมากมาย แต่ฟางเหยียนพบว่าใช้หินนั่นแหละค่อนข้างเหมาะสม เพราะหินไม่ต้องทำอะไรมาก หาตามพื้นก็หาได้แล้ว!
ใช้หินฆ่าคน ก็เพียงพอแล้ว!