จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 471 เสียงกรีดร้อง
พอพูดจบ อู๋หมิงก็ยกปืนยาวในมือขึ้นอีกครั้ง ฟางเหยียนปาดเลือดที่มุมปากออก แค่นเสียงหัวเราะเย็นชา ลุกขึ้นมาจากพื้น พูดต่อด้วยท่าทางราวกับดูแคลนทุกสิ่ง “แกคิดว่าอาศัยแค่แกจะฆ่าฉันได้หรอ? แกดูตัวเองสูงไปหน่อยแล้วมั้ง? รับมือ อู๋หมิง!”
พอพูดจบ เขาประกบมือและกระโดดขึ้นจากที่เดิม ร่างเขาพุ่งขึ้นไปสูงมาก เห็นแค่ร่างเขาหักงอกลางอากาศ และค่อยลอยลงมา ในจังหวะนั้นสองมือเขาปรากฏดาบใหญ่ขึ้นมาเลือนราง ดาบใหญ่นั้นฟาดฟันลงมาด้วยพลังทำลายล้างอย่างแรง
ดาบนี้ฟาดลงไปอย่างแรงจนอู๋หมิงรับไม่ทัน เขาคิดว่าฟางเหยียนไม่ไหวแล้ว ใครจะคิดว่าเขายังใช้พลังออกมาได้ถึงขนาดนี้
กว่าจะรู้ตัวก็ไม่ทันแล้ว ในยามที่อันตรายมาถึงตัว ผู้ฝึกยุทธ์มักจะมีการป้องกันตัวโดยสัญชาตญาณ สมองจะสั่งการให้ร่างกายมีปฏิกิริยาเฉียบพลัน มีภัยมาก็ต้องป้องกันตัวเอง นี่ไง ร่างของอู๋หมิงก็ด้วย
เขารีบยกหอกทองในมือขึ้นมากันรัศมีดาบของฟางเหยียน ได้ยินเสียงแกร๊งเสียงเดียว แต่ทำโต๊ะหลายโต๊ะในห้องโถงล้มพับลงพื้น ศพของหลายคนลอยติ้วไปทับอีกศพหนึ่ง
นี่เป็นพลังที่ปล่อยออกมาจากร่างทั้งคู่ และพลังนี้เองทำให้สิ่งของรอบด้านสั่นไหวไม่หยุดนิ่ง พอหันมาดูกิริยาของทั้งคู่ ต่างชะงักค้างกลางอากาศกันอีกครั้ง ครั้งนี้ตำแหน่งสลับกัน ฟางเหยียนเป็นฝ่ายรุก
ฟางเหยียนอยู่บน อู๋หมิงอยู่ด้านล่าง
อู๋หมิงไม่ได้คุกเข่าลง แต่จุดที่สองขาของเขาเหยียบผ่านกลับปรากฏรูหลุมขนาดใหญ่มาก พื้นดินแตกระแหงไปตามๆกัน
ศึกครั้งนี้ทำให้สภาพพื้นดินที่เคยราบเรียบกลายเป็นแตกกระจายไม่เหลือดี
สีหน้าของอู๋หมิงผุดเม็ดเหงื่อโตเท่าถั่วออกมา สองดวงตาแดงก่ำแล้ว สองมือของเขากำลังสั่น สองขาก็สั่น พลังนี่มันมหาศาลจริงๆ เหมือนมีภูเขาลูกใหญ่ทับถมตนไว้
ฟางเหยียนจ้องตาอู๋หมิงเขม็ง พูดเน้นทีละคำว่า “นับจากนี้ยุทธภพจะไร้ซึ่งสำนักไร้หน้าอีกต่อไป!”
อู๋หมิงอยากพูดอะไร แต่ที่ออกมากลับเป็นเลือดสดคำโตแทน ในที่สุดเขาก็รับรู้ถึงแรงกดดันของฟางเหยียนแล้ว
“อ๊า!” ในตอนที่ฟางเหยียนกำลังจะลงแรงทั้งหมด เสียงกรีดร้องของเด็กสาวคนหนึ่งดังออกมาจากในหุบเหวนี้
พวกฉินเข่อเดินตามแนวบันไดยาวเหยียดมาจนถึงตึกใหญ่ที่สูงชันแห่งนี้ ตึกนี้สร้างได้ประณีตตามแบบฉบับสิ่งประดิษฐ์จากมนุษย์จริงๆ ตอนยืนมองจากตีนเขา รู้สึกว่าตึกนี้เป็นอารามธรรมดา แต่พอเข้าใกล้ถึงพบว่าอารามกลับสูงกว่าที่พวกเธอคาดคิดไว้หลายเท่านัก หน้าประตูไม่ได้เป็นเสาไม้อย่างที่พวกเธอคิดไว้ แต่กลับเป็นเสาหลักที่สูงตระหง่านคอยค้ำจุนไว้
บนเสาหลักแกะสลักมังกรหินไว้หนึ่งตัว มังกรหินนี่แกะสลักได้ดีราวมีชีวิต ประหนึ่งว่าจะตื่นออกมาบินขึ้นฟ้าได้ทุกเมื่อ
เสาต้นนี้ดึงดูดความสนใจจากคนมากมาย พวกเธอเลยหยิบกล้องออกมาถ่ายรูปเก็บไว้
ในตอนที่พวกเขากำลังซาบซึ้งกับประติมากรรมดุจดังนรกสวรรค์สร้างพร้อมธรรมชาติอันงดงาม จู่ๆท้องฟ้าก็เปลี่ยนสี เกิดเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเสียงหนึ่งขึ้น
เสียงฟ้าร้องที่มาจากทางไหนไม่รู้นี้ทำเอาทุกคนตกใจกันยกใหญ่ ผู้หญิงที่ถ่ายรูปรีบเก็บกล้องกลับและพูดขึ้น “หรือเพราะพวกเราไม่ได้ทำการสักการะเคารพในอาราม เลยทำให้คนในอารามไม่พอใจหรือเปล่า? ฉันเคยอ่านนิยายมาเล่มหนึ่ง ในนั้นบอกไว้ สถานที่แบบนี้จะถ่ายรูปซี้ซั้วไม่ได้ ต้องทำความเคารพคนด้านในก่อน”
พอพูดคำนี้ออกมา หญิงสาวหลายคนที่ถือกล้องพากันวางกล้องลงตามๆกัน แต่ละคนถามด้วยสีหน้าตกใจว่า “จริงหรอ?”
“เปรี๊ยง!” มีเสียงฟ้าผ่าดังจากท้องฟ้าอีกครั้ง ฉินเข่อเงยหน้ามองท้องฟ้าหนึ่งทีพลางว่า “น่าจะจริงนะ ตามหลักแล้วอากาศดีๆไม่น่าจะมีปรากฏการณ์อะไรแบบนี้ ไม่ใช่เดือนหกด้วย จะมาผ่าก็ผ่าเอาดื้อๆ พวกเราน่าจะไปลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรสักอย่างแล้วล่ะ ทำให้ท่านไม่พอใจ ดังนั้นถึงได้เป็นแบบนี้”
“ไม่จริงน่า!” หนึ่งในหญิงสาวเหล่านั้นขยับแว่นตัวเองพลางว่า “นี่คงไม่ใช่การบรรลุที่เจียเจียพูดถึงหรอกนะ? พวกเธอลองดูสิ ฟ้าร้อง ยังมีฟ้าแลบอีก นอกจากนี้แล้ว แสงสีทองเมื่อกี้ พวกเธอไม่คิดบ้างหรือไง? นี่มันไม่ใช่มีเทพเซียนจะผ่านเคราะห์แล้วจะเป็นอะไรล่ะ!”
ใช่ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ตรงกับภาพการบรรลุตามคำบอกของหลิวเจียเจียทั้งหมดเลย หลิวเจียเจียเงยหน้ามองไปรอบด้านพลางว่า “ใช่ น่าจะเป็นเพราะเทพเซียนกำลังผ่านเคราะห์! แต่ตอนเทพเซียนกำลังผ่านเคราะห์ มักมีความเคยชินอยู่อย่างคือ จะให้คนทั่วไปเห็นไม่ได้ ตอนนี้พวกเราดันมาเจอเข้า ต้องรีบเข้าไปขออภัยในอาราม แบบนี้เทพเซียนจะได้ไม่โทษพวกเรา หาว่าพวกเราบุกรุก”
“แบบนี้เองหรอ! งั้นเธอทำไมไม่รีบบอกล่ะ ฉันนึกว่าพวกเราจะได้เจอเทพเซียนซะอีก” หลายคนพูดคุยกันไปพลางเดินไปทางอารามอย่างตื่นเต้น เดินหมุนรอบหน้าประตูหลายรอบ ถึงเจอประตูทางเข้าอาราม เดิมคิดว่าในนี้จะมีนักพรตน้อยกับนักพรตอาวุโสที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร แต่ตอนเดินถึงข้างประตูหน้า ก็ได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปหมด หลายคนเริ่มเดินช้าลงอย่างไม่รู้ตัว
“ฉินเข่อ เธอรู้สึกว่าที่นี่แปลกๆไหม?” หนึ่งในหญิงสาวเหล่านั้นถามระหว่างที่กอดแขนฉินเข่อ
ฉินเข่อรับคำพลางว่า “แปลกจริงๆ สถานที่ใหญ่ขนาดนั้น ตามหลักแล้ว พวกเราเดินมาถึงหน้าประตูน่าจะเจอคนไม่น้อยเลย ไม่พูดถึงด้านนอก อย่างน้อยต้องเห็นนักพรตน้อยบ้างสิ! แต่นี่กลับไม่เจอใครสักคนเลย”
“ไม่ใช่ ในนี้มันกลิ่นอะไรเนี่ย? เหมือนกลิ่นเลือดเลย ฆ่าหมูตอนปีใหม่ เลือดนองเต็มพื้น พอแข็งตัวแล้วกลิ่นคาวมาก นี่เป็นกลิ่นคาวเลือดนี่ ไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องอะไรในนี้หรอกนะ!”
“ไอ้หยา! เธออย่าพูดซี้ซั้วสิ ที่ที่มีแสงสีทองสว่างวาบนั่น บวกกับลมปราณเทพจะเกิดเรื่องอะไรได้ยังไง?”
ฉินเข่อตบบ่าหญิงสาวขี้กลัวคนนั้นปลอบโยนว่า “ไม่เป็นไรน่า พวกเราเข้าไปดูก็รู้แล้ว”
ระหว่างพูด หลายคนค่อยๆเดินถึงหน้าประตู ประตูใหญ่เปิดออกอยู่ สายตาพวกเธอมองเห็นภาพด้านในพอดี
ภาพที่มองเห็นนั้นทำให้ทุกคนงงเป็นไก่ตาแตกเลย!
ภาพเบื้องหน้าในสายตาพวกเธอคือซากศพกองกันระเกะระกะ บนพื้นถูกย้อมไปด้วยสีแดง มันเป็นเลือดสดทั้งนั้น เลือดพวกนั้นยังไหลริน เหมือนกับแม่น้ำไหลก็ไม่ปาน ซากศพนอนเกลื่อนกลาด เลือดไหลนองเป็นแม่น้ำก็คงเหมือนภาพนี้แหละมั้ง!
นี่จะมีเทพเซียนที่ไหนกัน มีแต่คนตาย มีแต่กลิ่นคาวเลือด
นี่ไม่ใช่ที่ฝึกฝนเซียน แต่เป็นนรกบนดินต่างหาก!
พวกเธอหลายคนเป็นแค่นักศึกษาธรรมดา มีหรือจะเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ในโลกทัศน์ของพวกเธอ โลกสวยงามมาก ไม่มีทางมีภาพแบบนี้
หลังจากตะลึงอ้าปากค้างสักพัก ในที่สุดฉินเข่อทนไม่ไหวร้องกรี๊ดออกมาเสียงดัง