จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 478 เรื่องราวของนักฆ่าสัตว์
หลังจากผู้ชายคนนั้นก้าวเท้าเข้าไป ก็เดินต่ออีกสามก้าว เปิดเผยร่างเขาให้ประจักษ์ต่อสายตาทุกคน แสงไฟสาดส่องกระทบเข้าที่เขาพอดี ทำใบหน้าเขาสว่างขึ้น นี่เป็นผู้ชายร่างกำยำสูงใหญ่ รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงคนหนึ่ง ใบหน้าเขาไม่ชวนให้คนสบตาเขาตรงๆ และไม่รู้ทำไม พอมองหน้าเขาแล้วจะรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่
บางทีอาจเพราะเขาไว้เคราก็ได้ นั่นเป็นใบหน้าแบบมีหนวดเครา ไม่ไม่ไม่ ก็ดูไม่ใช่หนวดเครา เหมือนจะงอกอยู่บนหน้าเขาน่ะแหละ หน้าตาเขา เวลาคนมองดูแล้วรู้สึกว่าเขาเหมือนหมาป่ามากกว่า!
ที่จริงไม่เกี่ยวกับหน้าเขาหรอก เป็นเพราะรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขามากกว่า มันเป็นรังสีอำมหิตตามแบบทหารกล้าที่ตรากตรำกรำศึกมายาวนาน
กรำศึกมานานปี บนตัวจะเต็มไปด้วยวิญญาณมากมาย แล้วจะไม่ให้มีรังสีอำมหิตได้ยังไงกันล่ะ
เขาใส่ชุดทหารสีกากี รองเท้าคอมแบตสีดำ ดูแล้วเป็นนายทหารมาดร้ายดุดันตามต้นฉบับเอามากๆ
เย่ชิงหยู่เหมือนเคยเห็นคนตรงหน้านี้ที่ไหนมาก่อน แต่ให้คิดตอนนี้ก็คิดไม่ออก เฉินหย่าคว้าแขนเธอไว้แน่น กระซิบถามอย่างระมัดระวังว่า “ชิงหยู่ เธอรู้จักเขาหรอ?”
เย่ชิงหยู่ส่ายหัวบอก “ไม่รู้จัก ฉันไม่รู้…”
เธอยังพูดไม่ทันจบ ผู้ชายคนนั้นก็ยืนตัวตรง สองตาจับจ้องมาที่เย่ชิงหยู่เขม็ง จากนั้นเขายกมือทำความเคารพแบบทหาร พูดอย่างนอบน้อมว่า “คุณนาย กระผมมาช่วยช้าไป ขอคุณนายโปรดอภัยด้วยครับ!”
เจอคุณนายประหนึ่งเจอโผ้จวิน นี่เป็นระเบียบการของสำนักเจ็ดพิฆาต และเป็นกฎหลักของสำนักเจ็ดพิฆาตด้วย โผ้จวินมีภรรยา จุดนี้นายทหารของสำนักเจ็ดพิฆาตต่างรู้ดี คราวที่แล้วมาอวยพรวันเกิดให้คุณนาย ทุกคนเลยรู้ฐานะของเย่ชิงหยู่กันหมดแล้ว
คุณนาย พอสรรพนามเรียกนี้ออกมา เย่ชิงหยู่คิดออกแล้ว เขานั่นเอง! คนนั้น คนที่ปรากฏตัวในงานวันเกิดของเย่ชิงหยู่ ตอนนั้นเขามามอบของขวัญให้เธอ แถมยังเรียกเธอว่าคุณนาย
ถ้าตนจำไม่ผิด ฐานะและตำแหน่งคนคนนี้สูงมาก เหมือนจะเป็นรองผู้นำอะไรสักอย่าง ตำแหน่งสูงกว่านายพลสามดาวคนนั้นของตระกูลเซียวมากนัก ตอนนั้นมากันหกคน ทั้งหกคนนั้นบอกว่าตัวเองมาจากไหนนะ สำนักเจ็ดพิฆาต
นี่เป็นความทรงจำที่ยังเหลืออยู่ในสมองเย่ชิงหยู่ ถ้าไม่ใช่ว่าได้ยินสรรพนามเรียกว่าคุณนายนี่ เธอก็นึกไม่ออกหรอก แต่ว่างานวันเกิดสุดอลังการนั่นไม่ใช่เป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างฟางเหยียนกับคนอื่นหรอ? ทำไมจนถึงตอนนี้พวกเขายังเรียกตนว่าคุณนายอยู่ล่ะ!
หรือว่ามันไม่ใช่การแลกเปลี่ยน ฐานะจริงๆของฟางเหยียนสูงมาก อยู่เหนือคนพวกนี้?
ในตอนที่เย่ชิงหยู่กำลังงุนงงไม่เข้าใจนั้น ชายตาเดียวเริ่มพูดต่อ “แม่งเอ๊ยอย่ามาซี้ซั้วตีเนียน ไป ฆ่ามันเลย! กล้าหาเรื่องแก๊งซินหงเรา ฉันว่าแกอยากตายแล้วแน่ๆ”
พอเหล่าลูกน้องได้รับคำสั่ง จากเดิมที่หงออยู่ ก็ฮึกเหิมหยิบอาวุธตนออกมา ไม่รอเจ้าพวกนี้ลงมือ นักฆ่าสัตว์ก็ตะโกนตัดบททุกคนก่อนเลยว่า “เดี๋ยวก่อน!”
ชายตาเดียวหันไปถามนักฆ่าสัตว์ “นักฆ่าสัตว์ แกคิดจะทำอะไร?”
นักฆ่าสัตว์ไม่ได้แยแสชายตาเดียว แต่กลับก้าวเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าว สองตาจ้องเขม็งไปที่ชายร่างใหญ่อกสามศอกคนนี้
หลังจากมองสำรวจสักพัก นักฆ่าสัตว์ยกมือกำหมัดขึ้นพลางว่า “พี่ชายคนนี้ รู้สึกว่าบนตัวนายจะมีรังสีอำมหิต แค่ดูก็รู้ว่าเคยฆ่าคนมาก่อน จากท่าทำความเคารพเมื่อกี้ก็ดูออกว่าไม่ใช่คนธรรมดา ดูท่าจะมาจากกองทัพล่ะสิ?”
เทียนหลังไม่ตอบคำ เขาทำแค่มองนักฆ่าสัตว์ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ถึงนักฆ่าสัตว์จะหน้าตากำยำบึกบึน แต่ไม่ได้มีฝีมืออะไรจริงจัง ดังนั้นคนแบบนี้ไม่คู่ควรให้เทียนหลังเสวนาด้วย พูดอีกอย่างคือ เขาไม่คู่ควรให้ตนเอ่ยปากพูดด้วย นักฆ่าสัตว์เห็นเขาไม่ตอบ ก็ได้แต่พูดต่อไปว่า “เจ้าพวกไร้ประโยชน์นี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนายอยู่แล้ว ให้ฉันมาลองฝีมือนายหน่อยละกัน ฉันชื่อนักฆ่าสัตว์ ได้ชื่อนี้มาเพราะฆ่าคน นายเคยได้ยินเรื่องเหตุการณ์126เมืองชิงเฉิงไหม?”
พูดถึงตรงนี้ นักฆ่าสัตว์ยืดเอวตรง เหมือนมันเป็นอดีตที่ภาคภูมิใจของเขา
ใครจะรู้เทียนหลังกลับส่ายหัวบอกว่า “ไม่รู้ และไม่สนใจจะรู้ด้วย ถ้าแกอยากตาย ก็มาเถอะ!”
คำพูดเดียวตัดสินบุญและโทษฉงัดนัก นักฆ่าสัตว์เหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่ รู้สึกเจ็บแสบที่แก้มไปหมด
เขาแค่นเสียงหึ ก่อนเงยหน้าขึ้น พูดด้วยสีหน้าระลึกความหลังว่า “เหตุการณ์126 ก็คือเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในวันที่หกเดือนธันวาคมเมื่อสิบปีก่อน วันนั้นเรียกได้ว่าเป็นวันที่มืดที่สุดของชิงเฉิง และเป็นอดีตที่คนชิงเฉิงมากมายไม่อยากนึกย้อนกลับไป เพราะวันนั้นสำหรับพวกเขาแล้วดำมืดมากเกินไป น่ากลัวมากเกินไป ไม่มีใครกล้าคิดถึงวันอย่างนั้น”
“ตอนนั้นชิงเฉิงมีองค์กรใต้ดินมากมาย แต่ว่าวุ่นวายมั่วซั่วไปหมด คนเดียวครองถนนหลายสาย มีลูกน้องหน่อยก็เรียกตัวเองว่าพี่ใหญ่ ตอนนั้นวุ่นวายแบบไร้ผู้นำ ไม่มีใครนำ ทำให้โลกใต้ดินวุ่นวายมาก ทะเลาะกันแทบทุกวัน ฟันคนไปทั่ว ตอนนั้นมีคนหนึ่งก้าวออกมาจะนำชิงเฉิง ตอนแรกเขาก็ไม่ได้กะจะบังคับ เพียงแต่อยากคุยปรึกษากับคนของชิงเฉิงดีๆ แต่โดนคนมากมายคัดค้าน เจ้าพวกนั้นพากันคัดค้านคนคนนั้นเพื่อปกป้องฐานะและผลประโยชน์ของตัวเอง”
“ตอนแรกก็แค่คัดค้าน แต่ไม่นาน พวกเขาก็เปลี่ยนวิธีคัดค้านเป็นอีกแบบ เริ่มหาคนไปล้อมเจ้าคนที่คิดจะออกมานำชิงเฉิง ตอนนั้นพวกที่ล้อมรุมเขาไม่ใช่แค่องค์กรเดียว แต่เป็นองค์กรทั้งหมดของชิงเฉิง พวกนั้นพาลูกน้องไปเป็นร้อยเป็นพัน ล้อมหมอนั่นในถนนซอยถั่วงอก คนที่ยืนอยู่ในถนนสายนั้น อย่างน้อยก็ฟันคนตายมาหลายชีวิตแล้ว พวกเขาพากันจับจ้องหมอนั่นเขม็ง คิดจะฟันเขาตาย”
“แต่เรื่องที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้นแล้ว เดิมคิดว่าหมอนั่นตายแน่ ใครจะรู้ว่าหมอนั่นกลับหยิบมีดภูเขาออกมา เขาถือดาบมือเดียวเผชิญหน้าคนมากมายนับพันที่ถืออาวุธครบมือ แต่กลับไม่ด้อยกว่าเลย จากนั้นเขาเริ่มฝ่าดงฝูงชน ซอยถั่วงอกวันนั้นเต็มไปด้วยเสียงร้องครวญคราง เสียงร้องไห้ เขาคนเดียวถือมีดภูเขาสู้กับคนนับพันอย่างเร่าร้อน ฟันตั้งแต่หัวถนนยันท้ายถนน ฟันจนคนทั้งหมดนอนครวญครางบนพื้น ตายไปหลายร้อยคน บาดเจ็บอีกหลายร้อย ส่วนหมอนั่นที่โดนล้อมกรอบกลับไร้ซึ่งบาดแผล แถมตอนท้ายเขายังเหลือคำพูดไว้ประโยคหนึ่ง ต่อไปชิงเฉิงนี่เป็นของฉันแล้ว และนับแต่นั้นมาชิงเฉิงก็มีแค่พี่ใหญ่คนเดียวดูแลแล้ว และพี่ใหญ่คนนั้นก็คือผู้ชนะในคืนนั้น”
“ต่อมาคนที่รู้เรื่องนี้มีมากเกินไป ผลกระทบมากเกินไป จะปิดข่าวก็ปิดไม่ทัน ทำให้คนรู้กันหมด ข่าวแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ชื่อหมอนั่นก็กระจายไปทั่วแล้ว มือถือมีดภูเขา เลือดล้างซอยถั่วงอก นี่เป็นตำนานโลกใต้ดินของชิงเฉิงเลยนะ คนท้องถิ่นเลยให้สมญานามหมอนั่นว่า นักฆ่าสัตว์!”
พูดถึงตรงนี้ นักฆ่าสัตว์อดยืดตัวตรงไม่ได้ พูดอย่างภูมิใจว่า “ใช่ คนนั้นคือฉันเอง! ต่อมาเรื่องของฉันไปเข้าหูแก๊งซินหง พวกเขาเลยเรียกฉันเข้าร่วมด้วย”