จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 532 เกลี้ยกล่อมให้แยกทาง ไม่คบต่อ
นี่เป็นปัญหาที่หยางจิ่งเซียนกังวลที่สุด เขากังวลอย่างมากว่าเทียนขุยจะย้อนกลับมาอีก ตอนนี้ฟางเหยียนได้รับบาดเจ็บแล้ว ถ้าพวกเขาย้อนกลับมาอีก ตระกูลหยางต้องรับมือไม่ไหวแน่
ฟางเหยียนส่ายหัวบอก “ไม่! คุณวางใจเถอะ หยางกง”
“เฮ้อ!” หยางจิ่งเซียนมือพาดหลังถอนหายใจยาว พลางพูดอย่างเหนื่อยใจว่า “ตระกูลหยางผมทำกรรมอะไรไว้เนี่ย ถึงต้องมาเจอคนพวกนี้? นั่นน่ะเป็นทหารกล้าจากกองทัพเลยนะ ถ้าจะมาทำลายตระกูลหยางจริงๆ พวกผมจะมีทางรอดได้ยังไงกัน!”
ฟางเหยียนถอนหายใจเบาๆ พูดอย่างมั่นใจว่า “วางใจเถอะ ตระกูลหยางของพวกคุณเป็นตระกูลดีที่มีการอบรมที่สืบทอดกันมา ประเทศหวาเราไม่มีทางไม่สนใจ แผนการชั่วร้ายของพวกเขาไม่มีทางสำเร็จแน่!”
“แผนการชั่วร้าย?” หยางจิ่งเซียนถามอย่างสงสัย “พ่อหนุ่มฟาง พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?” พอพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็นึกขึ้นมาได้ถึงคำถามนั้นที่ฟางเหยียนถามเขา พอเข้ามาที่นี่ ฟางเหยียนก็ถามเขาก่อนเลยว่ารู้จักเสี่ยวหงกับเทียนขุยไหม เหมือนฟางเหยียนจะรู้ว่าพวกเขาต้องมาตระกูลหยางตั้งแต่แรก!
พอคิดถึงตรงนี้ หยางจิ่งเซียนมองฟางเหยียนพลางถามอย่างระมัดระวังว่า “พ่อหนุ่มฟาง คุณรู้มาตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมว่าเสี่ยวหงกับเทียนขุยจะมาบ้านผม?”
พอคำนี้ออกมา บรรดาลูกชายของหยางจิ่งเซียนพร้อมใจกันลุกขึ้น แต่ละคนมองมายังฟางเหยียนด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ออก สักพัก จากสายตาที่ฉาบด้วยความซาบซึ้งใจตอนแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นมองพิจารณาตาลุกวาวโรจน์
พี่ใหญ่ตระกูลหยางถามขึ้น “พ่อครับ พ่อพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? พ่อหมายความว่า พ่อหนุ่มฟางถามพ่อเรื่องเกี่ยวกับเสี่ยวหงและคนที่ชื่อเทียนขุยตั้งแต่ตอนเข้ามาแรกๆหรอ?”
พี่ใหญ่ตระกูลหยางเป็นนักธุรกิจที่ฉลาด เรียนรู้การทำธุรกิจมาตั้งแต่เล็ก มองเรื่องต่างๆทะลุปรุโปร่ง นี่ไง แค่คำพูดประโยคเดียวของหยางจิ่งเซียน ก็สามารถฟังความหมายในประโยคออก เปิดปากถามทีเดียว แทงใจดำเป็นร้อย
หยางจิ่งเซียนไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองไปที่ฟางเหยียน ฉินเข่อกลับทนดูไม่ได้ที่พวกเขาทำให้ฟางเหยียนลำบากใจ เลยพูดขึ้นว่า “พวกพี่ทำอะไรกันน่ะ? เมื่อกี้ถ้าไม่ใช่ฟางเหยียน บ้านเราคงเกิดเรื่องแล้ว ตอนนี้เขายังบาดเจ็บอยู่เลยนะ พวกพี่ไม่ขอบคุณเขาก็พอว่า ทำไมยังจะคาดคั้นเขาอีกล่ะ ต่อให้มีปัญหาจริง รอให้เขาหายดีก่อนค่อยถามสิ!”
“เข่อเข่อเงียบก่อน เรื่องนี้ต้องสืบให้รู้ชัด! ไม่งั้นพวกเราไม่สามารถแน่ใจได้ว่าพ่อหนุ่มฟางเป็นพวกเดียวกันกับเรา หรือมีเป้าหมายเหมือนคนอื่น” พี่ใหญ่ตระกูลหยางพูดระหว่างจับจ้องมองเขม็งไปที่ฟางเหยียน
ที่จริงฟางเหยียนเข้าใจความหมายของพี่ใหญ่ตระกูลหยางดี เขาก็แค่คิดว่าทั้งหมดนี่เป็นแผนการของฟางเหยียน เพราะตั้งแต่เรื่องยังไม่เกิด ฟางเหยีนนก็ถามท่านหยางแล้วว่ารู้จักสองคนนั่นไหม
ฟางเหยียนยิ้มเศร้าบอกว่า “ถ้าผมบอกว่าผมมาเพื่อตามหาเทียนขุย พวกคุณจะเชื่อไหม?”
เขาพูดจบปุ๊บ เจ้าสามหยางที่ได้รับบาดเจ็บก็โพล่งขึ้นมาทันทีว่า “จะเป็นไปได้ยังไง! เทียนขุยคนนั้นเป็นรองผู้นำของสำนักเจ็ดพิฆาต คุณเป็นใครล่ะ? ทำไมต้องมาตามหาเขาด้วย? สามารถมาตามหาเขาได้ น่าจะมีแต่หัวหน้าเบื้องบนของเขาเท่านั้นล่ะ”
พอเขาพูดถึงตรงนี้ ฟางเหยียนก็ไอออกมาสองครั้ง พลางว่า “ในเมื่อคุณไม่เชื่อ งั้นก็ช่างเถอะ!”
“ฉินเข่อ ขอบคุณมาก!” พูดจบ ฟางเหยียนก็ยืนขึ้นมา
เขาไม่ชอบอธิบายอะไรมากความ โดยเฉพาะกับคนที่สงสัยในตัวเขา เขายิ่งไม่อยากอธิบาย
ระหว่างพูด ฟางเหยียนเดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ของตระกูลหยางแล้ว หยางจิ่งเซียนรีบเรียกเขาไว้ “พ่อหนุ่มฟาง เดี๋ยวก่อน!”
ฟางเหยียนหยุดยืนนิ่ง ถามทั้งๆที่ไม่ได้หันกลับมาว่า “มีอะไรอีก?”
หยางจิ่งเซียนพูด “ขอโทษครับ พ่อหนุ่มฟาง ตระกูลหยางพึ่งผ่านวิกฤตมา ทุกคนยังคงใจสั่นไม่หาย กลัวว่าคุณจะรวมหัวกับพวกเขามาทำร้ายเรา พวกเราแค่อยากระมัดระวัง แต่ว่าตอนนี้ผมแทบจะตัดสินได้เลยว่าคุณไม่ใช่พวกเดียวกับพวกเขาแน่ สำหรับเรื่องเมื่อกี้หากทำอะไรให้คุณไม่พอใจไป ขอได้โปรดอย่าถือสาเลยนะ”
ฟางเหยียนหมุนตัวกลับมาช้าๆ หัวเราะหึๆพลางถามว่า “คุณตัดสินว่ายังไงล่ะ?”
หยางจิ่งเซียนอึ้งไป จากนั้นโบกมือไล่บรรดาลูกชายของเขาพลางว่า “พวกแก ออกไปกันให้หมด! ฉันมีธุระจะพูดกับพ่อหนุ่มฟาง”
“พ่อ แต่ว่า…” พี่ใหญ่ตระกูลหยางพูดกับหยางจิ่งเซียนอย่างอึกอัก แต่ยังพูดไม่ทันจบ ก็โดนหยางจิ่งเซียนตัดบท “ฉันรู้ดีว่าฉันทำอะไร ไปกันเถอะ! ปิดประตูให้ด้วย”
หลายคนมองสบตากันไปมา สุดท้ายพากันออกจากห้องโถงอย่างจำยอม
บรรดาลูกชายตระกูลหยางพร้อมใจกันทำหน้าไม่รู้จะทำยังไง หยางซงถามขึ้น “พี่ใหญ่ พี่ว่าหมอนั่นเป็นพวกเดียวกับเสี่ยวหงหรือเปล่า?”
พี่ใหญ่ตระกูลหยางพยักหน้าด้วยสีหน้าครุ่นคิดก่อนพูดว่า “เป็นไปได้ เพราะตอนที่คนพวกนั้นยังไม่มา เขาก็ถามก่อนแล้ว นี่คือรู้ก่อนล่วงหน้า แสดงว่าอะไร? แสดงว่าเขารู้อยู่แล้วว่าพวกนั้นต้องมา”
เจ้าสามหยางส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ ผมไม่คิดแบบนั้น ถ้าเป็นพวกเดียวกันจริง เขาไม่จำเป็นต้องแหวกหญ้าให้งูตื่นโดยการถามพ่อ และไม่จำเป็นต้องเปิดโปงเรื่องที่เสี่ยวหงเคยทำต่อหน้าคนมากมายขนาดนั้น หรือพี่ไม่เห็นรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาหรือไง? เขาคิดจะฆ่าผู้หญิงคนนั้นจริงๆ”
พี่ใหญ่ตระกูลหยางหรี่ตาครุ่นคิดก่อนบอก “ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาไม่ใช่พวกเดียวกัน แต่อาจจะแข่งขันกันในองค์กรหนึ่งก็ได้ เป้าหมายของพวกเขาต่างมาเข้าใกล้ตระกูลหยางเราเพื่อแทนที่พวกเรา ตระกูลหยางเราธุรกิจมากมาย หลายปีมานี้ไม่เคยมีศัตรูที่ไหน อยู่ดีๆก็มีคนแบบนี้มา มันเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลยสำหรับตระกูลเรา คนนี้ต้องไล่ไป อย่าให้อยู่ในตระกูลเรา ไม่งั้นจะกลายเป็นภัยในที่สุดได้”
หยางซงยืนขึ้นคนแรกพูดว่า “ผมเห็นด้วยกับความคิดของพี่ใหญ่!”
“ผมก็เห็นด้วยกับความคิดของพี่ใหญ่!” คนไม่น้อยแสดงความเห็น รู้สึกว่าพี่ใหญ่วิเคราะห์อย่างมีหลักการ
ฉินเข่อกลับพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “ฉันไม่เห็นด้วยกับความคิดพี่ใหญ่ เขาไม่ได้คิดร้ายกับบ้านเรา ถ้าคิดร้ายจริงไม่มีทางใช้วิธีแบบนี้แน่ ถ้าเขาอยากแทนที่ตระกูลหยางเรา ยิ่งไม่มีทางใช้วิธีการชั่วร้ายแบบที่พี่ใหญ่พูดแน่ พวกพี่ไม่รู้จักเขาสักนิด สิ่งที่เขาอยากได้ไม่ได้ซับซ้อนแบบที่พวกพี่คิด”
พี่ใหญ่ตระกูลหยางแค่นเสียงหึ บอกกับฉินเข่อว่า “เธอจะรู้อะไรล่ะ? เรื่องในสังคมน่ะเธอยังไม่เคยเจอเลย ตอนนี้พูดอะไรไปเธอก็ไม่เข้าใจอยู่ดี! จิตใจมนุษย์น่ะชั่วร้ายทำอะไรได้ไม่เลือกวิธีการ เธอน่ะจิตใจใสซื่อ ไม่มีทางคิดถึงเรื่องพวกนี้ออกอยู่แล้ว เข่อเข่อ ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือตั้งใจเรียน หลังจากได้ใบปริญญาแล้ว กลับบ้านมาดูแลธุรกิจในเครือของลุงใหญ่เธอ”
พูดถึงตรงนี้ พี่ใหญ่ตระกูลหยางเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบเตือนว่า “อีกอย่างนะ หมอนั่นไม่ใช่คนดีอะไรนัก ทางที่ดีเธอเลิกกับเขาซะ คนแบบนั้นเธอคบเขาต่อไม่ได้หรอก”