จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 543 แพทย์แผนจีน ประเทศหวา
หยางจิ่งเซียนส่งเสียงอ้อคำหนึ่ง แล้วถามว่า “เสนออะไรล่ะ?”
เจ้าใหญ่หยางกล่าวว่า “วันนี้น้องฟางช่วยเหลือตระกูลเรามาสองครั้งแล้ว ทำให้พวกเราตระกูลหยางรอดพ้นปากเสือมาได้ นี่นับเป็นวันที่พวกเราตระกูลหยางอกสั่นขวัญหายที่สุด เขากับเข่อเข่อของเรามีอิสระในการเลือกคู่ครอง ชายเก่งหญิงสวย ผมคิดว่าพวกเราสามารถเลือกฤกษ์งามยามดี ให้คนทั้งสองหมั้นหมายกัน ตอนนี้เข่อเข่อยังอยู่ในวัยเรียน ย่อมไม่อาจแต่งงานกันได้ แต่ผมไม่ถือหากทั้งสองจะหมั้นหมายกัน มีสถานะนี้ น้องฟางก็สามารถเป็นลูกเขยของตระกูลเราอย่างถูกหลักทำนองคลองธรรม ถึงเวลาพวกเราตระกูลหยางก็นับว่าเป็นดั่งพยัคฆ์ติดปีก นี่สำหรับพวกเราตระกูลหยางแล้ว ช่างเป็นเรื่องใหญ่ที่น่ายินดีและน่าฉลองโดยแท้”
“ใช่แล้ว ผมเห็นด้วยกับวิธีนี้ของพี่ใหญ่ ผมรู้สึกว่าด้วยความสามารถของน้องฟาง คู่ควรกับเข่อเข่อของพวกเราอย่างแน่นอน แถมทั้งคู่ยังมีอิสระในการเลือกคู่ครอง ผมรู้สึกว่าพ่อลองพิจารณาดูได้”
หยางซงชะงักเล็กน้อย เขามองฟางเหยียนแวบหนึ่งอย่างมีความหมาย หมอนั่นเป็นคนมีแฟนสินะ เขาเห็นกับตาว่าเขาล่วงเกินคุณชายตระกูลโจวเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่ตนเห็นกับตาตัวเอง
ทว่า หากเขาดีต่อเข่อเข่อจริง ด้วยฝีมือของเขา ย่อมมีประโยชน์ต่อตระกูลหยางอย่างแน่นอน
พอคิดมาถึงตรงนี้ หยางซงก็ยืนขึ้นมา พลางกล่าวว่า “นั่นสิ พ่อ เข่อเข่อของเรานับว่าหาได้ถูกคนแล้ว ผมกับเข่อเข่อโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก อันที่จริงก็หวังให้เธอเจอคนรักดีๆ สักคน เมื่อก่อนเธอเองก็เคยคบหาแฟนมาคนสองคน แต่คนเหล่านั้นไม่มีใครเข้าตาพวกเราสักคน ถูกผมไล่ตะเพิดไปแล้ว ยังมีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดว่าผมชอบเข่อเข่อ อันที่จริงเธอเป็นลูกพี่ลูกน้องของผม ในสายตาผมเธอก็คือน้องสาวแท้ๆ เมื่อเช้าตอนที่ผมเห็นน้องฟาง ก็ขู่ขวัญเขาไปทีหนึ่ง แต่น้องฟางก็ไม่ได้กลัวเลยสักนิด มีคนที่กล้าหาญเช่นนั้น จึงจะมีสิทธิ์เป็นเขยของตระกูลหยางเรา แม้เขาจะมีบางเรื่องที่ยังจัดการไม่เสร็จ แต่ขอเพียงเขาดีต่อเข่อเข่อ พวกเราก็วางใจ และคิดว่าน้องฟางคงไม่ทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อเข่อเข่อ”
สุดท้ายประโยคนี้เขาพยายามพูดให้เหยียนฟางอย่างสุดความสามารถแล้ว เพราะเขารู้ว่า ฟางเหยียนรู้ความหมายในคำพูดของเขา
ทุกคนแกพูดฉันพูด ล้วนไม่มีใครคัดค้านฟางเหยียนกับฉินเข่อ สีหน้าของฉินเข่อเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เจ้าตัวดูท่าทางเคร่งเครียด สายตาของเธอแอบมองฟางเหยียน แต่ฟางเหยียนก็ทำสีหน้านิ่งเฉย
ฟางเหยียนนั่งใกล้หยางจิ่งเซียนที่สุด เขาจึงมองหยางจิ่งเซียน หยางจิ่งเซียนย่อมรู้ว่าหมายความว่าอะไร เขารีบพูดว่า “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยคุยกัน พวกเรามาดื่มกันก่อน”
กลุ่มพี่น้องตระกูลหยางต่างมองกันและกันอย่างงงงวย หากเป็นเมื่อก่อน หยางจิ่งเซียนคงจะเคาะไม้ตัดสินใจไปแล้ว วันนี้ทำไมเขาถึงดูแปลกจัง ถึงกับใช้วิธีดื่มเหล้าอย่างนี้มาบอกปัดเรื่องนี้อย่างลวกๆ หรือหยางจิ่งเซียนจะไม่ค่อยพอใจฟางเหยียนใช่ไหม? ไม่ถูกสิ หากไม่พอใจ เขาจะเรียกฟางเหยียนไปนั่งตรงนั้นได้อย่างไร!
จะต้องมีปัญหาอะไรอยู่ภายในนี้เป็นแน่ นี่ไม่ต้องพูด เหล่าพี่น้องตระกูลหยางก็คิดออก
หลังมื้อเย็นผ่านไป หมอหลินกับหลานสามของเขาก็คิดจะกลับไป แน่นอนว่าหยางจิ่งเซียนย่อมไม่ให้พวกเขาไปทั้งอย่างนี้ สั่งให้คนขับรถพาไปส่ง ตอนที่พวกเขากำลังเดินไปถึงหน้าประตูนั้น หมอหลินก็มองฟางเหยียนอย่างเก้อกระดากเล็กน้อย นี่คือครั้งแรกที่เขามองฟางเหยียนตรงๆ หลังจากแก้พิษให้เจ้าสามหยาง หลังใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ เขาก็กล่าวกับฟางเหยียนว่า “คุณฟาง สะดวกจะสนทนากันไหม?”
“เชิญ!” ฟางเหยียนชี้ไปที่มุมหนึ่งตรงลานจอดรถ หมอหลินกับหลานสาวเดินไปที่นั่นพร้อมกัน
หลังเดินมาหยุดข้างๆ หมอหลินก็กล่าวขึ้นใบหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจ “ขอบคุณคุณฟางที่ไว้หน้าผม ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้าครอบครัวของหยางกง!”
ฟางเหยียนย่อมรู้ว่าที่เขาพูดคือเรื่องไหน ที่เขาหมายถึงก็คือเรื่องที่ทั้งสองพนันกัน เขาหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะส่ายหน้าพูดว่า “คุณไม่พูด ผมคงลืมไปแล้ว”
พอฟางเหยียนพูดเช่นนี้ ใบหน้าเหี่ยวๆ ของหมอหลินก็อึดอัดอยู่พักหนึ่ง เขาก้มศีรษะลง พูดอย่างกระอักกระอ่วนยิ่ง “วิธีของคุณช่างทำให้คนแก่อย่างผมอับอายเหลือเกิน! ผมมีชีวิตอยู่มาจนอายุปูนนี้แล้ว ก็ยังอยู่อย่างไม่เข้าใจแบบนั้น”
อันที่จริงบางครั้งเขาทำอะไรเด็ดขาดเกินไป คิดว่าตนทำไม่ได้ผู้อื่นก็ทำไม่ได้ นี่คืออุทาหรณ์ของคนคร่ำครึ และเป็นความมั่นใจต่อวิชาแพทย์ของตัวเองอย่างหนึ่ง แต่ทุกคนที่มีความสามารถนิดหน่อย ล้วนเป็นแบบนี้ เทียบกับเหมิงซาน บุคคลยิ่งใหญ่ที่สามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับจู่เห้อผู้นั้นได้ แม้หมอหลินจะเทียบอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ก็เป็นสิงห์ร้ายแห่งยุค เขาคำนึงถึงหน้าตามาก
ฟางเหยียนสูดหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไร คุณคิดมากไปแล้ว! จุดหมายของทุกคนต่างก็เพื่อช่วยคน”
ยิ่งฟางเหยียนพูดเช่นนี้ หมอหลินก็ยิ่งรู้สึกอับอาย เขาถอนหายใจออกมา พลางกล่าวว่า “จริงสิ ผมถามคุณฟางหน่อยได้ไหมว่าคุณได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากที่ไหน? แม้วิธีของคุณจะป่าเถื่อน แต่ผมที่เป็นหมอมาสี่สิบปีกลับไม่เคยเห็น”
“แพทย์แผนจีน ประเทศหวา!” ฟางเหยียนพ่นสี่คำนั้นออกมาเสียงเรียบ แค่สี่คำนี้ก็ครอบคลุมได้มากมาย เป็นน้ำเสียงของคนที่ยึดมั่นในชนชาติ อนุรักษ์ในชนชาติ และเชื่อมั่นในชนชาติมากที่สุดคนหนึ่ง แพทย์แผนจีนของประเทศหวาตกทอดมาห้าพันปีแล้ว ในยุคโบราณก็มีเสินหนงชิมพืชพันธุ์ร้อยชนิดแล้ว ดังนั้นตอนที่ฟางเหยียนพูดสี่คำนี้ออกมา เจ้าตัวจึงมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีที่ไม่เหมือนใคร!
สี่คำนี้ทำให้หมอหลินตกใจอย่างเห็นได้ชัด
เวลานี้เอง จู่ๆ หลินอีอีก็เดินขึ้นหน้ามา จากนั้นก็คุกเข่าลงตรงหน้าฟางเหยียน
“อีอี!” พอเห็นฉากนี้ หมอหลินก็ทนไม่ไหวร้องเรียกหลินอีอีออกมา เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าหลินอีอีทำแบบนี้เพราะเหตุใด
หลินอีอีกล่าวกับฟางเหยียนด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง “ฉันรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าคิดเดิมพันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ คำพูดที่ฉันเคยพูดเมื่อกี้ฉันย่อมจะรักษาคำพูด เพียงแต่เมื่อกี้มีคนอยู่มาก ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ ปู่ฉันอายุมากแล้ว ฉันขอทำความเคารพคุณแทนปู่เอง”
กล่าวจบ หลินอีอีก็โขกศีรษะตรงหน้าฟางเหยียนสามครั้ง พร้อมกับเงยหน้ามามองฟางเหยียนแล้วกล่าวว่า “อาจารย์!”
“นี่คือพิธีที่ฉันทำแทนปู่ ต่อไปก็คือพิธีของฉัน” พูดจบ เธอก็โขกศีรษะให้ฟางเหยียนอีกสามครั้ง หลังโขกเสร็จเธอก็เรียกฟางเหยียนว่า “อาจารย์ปู่!”
วิธีที่หลินอีอีทำ ทำให้ใบหน้าเหี่ยวๆ ของหมอหลินแบกไว้ไม่ไหวอยู่บ้าง ตนอย่างไรก็เป็นบุคคลมีหน้ามีตา ตอนนี้ให้หลานของตัวเองมาทำแทน นี่จึงถือเป็นการตบหน้าอย่างแรง
หลังเสร็จพิธีกราบอาจารย์ หลินอีอีก็ลุกขึ้นจากพื้น ถามว่า “ฉันเรียกคุณว่าอาจารย์ปู่ อย่างนั้นต่อไปคุณก็สามารถสอนวิชาแพทย์แผนจีนให้ฉันได้แล้วใช่ไหม?”
พอเอ่ยคำนี้ขึ้นมา สีหน้าหมอหลินก็เปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งสลับกับดำมืดอยู่สักพัก หลินอีอีหลานสาวของตนชอบแพทย์แผนจีน สิ่งนี้ฝังอยู่ในกระดูกมาตั้งแต่เด็ก ถ้าไม่ใช่เพราะตนไม่ยอมรับ เธออาจจะเลือกอาชีพที่ไม่ได้รับความนิยมอย่างแพทย์แผนจีนไปแล้ว เพื่ออนาคตของหลินอีอี เขาจึงเปลี่ยนความปรารถนาให้หลินอีอีใหม่ ไม่ให้เธอเรียนแพทย์แผนจีน