จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 550 กฏของตระกูลโจว
หวังชิงชิงในใจเต้นตึกตัก เธอส่ายหน้าแรงๆ พลางกล่าวว่า “โจวเจิ้ง หรือพวกนายตระกูลโจวดีแต่ใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้? หรือว่านายกับคนตระกูลของพวกนายเป็นคนต่ำช้าไร้ยางอายมาตลอดชีวิต?”
“ต่ำช้า? ไร้ยางอาย? เหอะ!” โจวเจิ้งพูดโดยไม่คิดเช่นนั้น “คนที่ต่ำช้าไร้ยางอายมันคือเธอ!”
“พอฉันจัดการเขาแล้ว ฉันค่อยมาลงดาบจัดการเธอ!” พูดจบ โจวเจิ้งก็ยกมือขึ้นมาชี้หวังชิงชิงอย่างดุดัน
จากนั้นสีหน้าเขาก็มืดครึ้มอยู่พักหนึ่ง แล้วหมุนกายเดินออกไปจากห้องด้วยท่าทางสบายๆ
เห็นโจวเจิ้งเดินออกมาจากห้อง หัวใจของหวังชิงชิงนอกจากสิ้นหวังแล้ว ยังมีความคิดอย่างหนึ่ง ฆ่าตัวตาย!
แต่โจวเจิ้งที่เพิ่งเดินถึงหน้าประตูก็วกกลับมาอีก ไม่เพียงแค่นี้ ในมือเขายังถือเชือกเส้นใหญ่มาด้วยเส้นหนึ่ง เขาเดินมายังข้างกายหวังชิงชิง เข้ามามัดตัวหวังชิงชิงไว้โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
แต่หลังจากมัดเสร็จแล้ว เขาก็หัวเราะฮึๆ “ตอนนี้ เธออยากฆ่าตัวตายก็ทำไม่ได้แล้ว!”
วันต่อมา ณ โรงแรมหัวหลง
แต่เช้าตรู่ที่โรงแรมก็มีแขกมากันไม่น้อยแล้ว เมื่อเช้าตรู่สามวันก่อน โรงแรมแห่งนี้ได้ถูกตระกูลโจวจองไว้หมดแล้ว แม้แต่ภัตตาคารโรงแรมรวมถึงถนนทั้งหมดบริเวณใกล้ๆ ก็ถูกตระกูลโจวจองไว้หมดแล้วเช่นกัน จุดประสงค์ก็เพื่อความสงบเรียบร้อย ไม่อยากเห็นคนพลุกพล่าน
ที่ตระกูลโจวผูกมิตรล้วนเป็นตระกูลมีชื่อรวมถึงบุคคลสำคัญในวงราชการบางส่วน หากมีนักธุรกิจก็จะรวมเข้าไปในนั้นด้วย นั่นก็ต้องคิดจะประจบสายสัมพันธ์ของตระกูลโจว ดังนั้นสามารถมาร่วมงานแต่งลูกชายตระกูลโจวได้ นั่นจะต้องเป็นคนที่มีฐานะไม่ธรรมดา
หากฟางเหยียนไม่ได้มายังดินแดนตะวันตก เขาไม่มีทางมาร่วมงานแต่งของลูกชายตระกูลโจวอะไรนี่แน่ ตอนนี้มาถึงแล้ว เขาย่อมต้องไปสักหน เจ้าสาวที่จะเข้าพิธีแต่งงานคือหวังชิงชิง อยู่ที่ฟางซื่อกรุ๊ป เธอคือลูกน้องที่เขาเคยไว้ใจได้ที่สุด คนอย่างฟางเหยียนก็เป็นเช่นนี้ ขอเพียงรู้สึกว่าคุณน่าไว้ใจ ไม่ว่าไปอยู่ไหน คุณก็คือคนของตนตลอดไป
เขารู้ว่าหวังชิงชิงไม่อยากแต่งงาน หากมีแววว่าถูกบีบบังคับ อย่างนั้นตนก็จะพาหวังชิงชิงจากไปทันที เขาไม่ถือสาที่จะมีเรื่องกับตระกูลโจว ไม่ว่านี่เป็นถิ่นของตระกูลโจวหรือไม่ ไม่ว่าตระกูลโจวจะล่วงเกินได้หรือไม่
หากทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ งั้นก็ชนมันเสียเลย เขาไม่สนหรอกว่านี่จะเป็นถิ่นใคร
แต่วันนี้เขาถูกหยางจิ่งเซียนพามา หยางจิ่งเซียนเป็นคนที่ตระกูลโจวตั้งใจเชิญมา สามารถพาคนในครอบครัวติดตามมาได้สองคน เดิมเขาคิดจะพาเจ้าสามกับเจ้าเจ็ดมา แต่เจ้าสามยังไม่หายดี ประกอบกับฟางเหยียนก็อยู่ที่นั่น เขาจึงจำเป็นต้องพาฟางเหยียนมา
เขามีชื่อเสียงสูงส่งในดินแดนตะวันตก ได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชนไม่น้อย ดังนั้นการจะเชิญหยางจิ่งเซียนมาจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
ก่อนที่จะเข้าโรงแรมหัวหลง หยางซงลังเลอยู่นานมาก ยังคงดึงแขนของฟางเหยียนไว้ พูดกับเขาว่า “น้องฟางเหยียน ยังคงมีบางอย่างที่ฉันอยากจะพูดกับนาย พวกเรามาตกลงกันก่อนแล้วค่อยเข้าไปเถอะ!”
ฟางเหยียนนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าให้หยางซง
หลังทั้งสองเดินมาหยุดยังฟากหนึ่ง หยางซงก็กล่าวอย่างขึงขังว่า “น้องฟาง ฉันรู้เรื่องของนายกับเมียคุณชายตระกูลโจว! วันนี้เรามาที่นี่ ไม่อาจก่อเรื่องได้ ที่นี่อย่างไรก็เป็นตระกูลโจว นายเองก็เห็นแล้ว ตระกูลโจวมีการคุ้มกันเข้มงวด มีบอดี้การ์ดเต็มไปหมดทั้งด้านนอกด้านใน แถมผู้อื่นยังเป็นตระกูลนินจา ไม่ใช่ใครจะแหย่เล่นได้”
อันที่จริงฟางเหยียนไม่ได้มีอะไรกับหวังชิงชิง แต่เขาไม่คิดจะอธิบายอะไรให้หยางซงฟัง เพราะไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องอธิบาย เขามองสำรวจหยางซงขึ้นลง แล้วถามว่า “คุณกลัวว่าผมจะทำพวกคุณเดือดร้อนสินะ?”
หยางซงรีบโบกมือพูดว่า “เปล่าๆๆ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น! น้องฟาง อันที่จริงฉันแค่รู้สึกว่านายไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย ล่วงเกินตระกูลโจวเพื่อผู้หญิงคนเดียว ไม่คุ้มเลยจริงๆ! อีกอย่าง นายใช่ว่าจะหาผู้หญิงไม่ได้สักหน่อย ญาติผู้น้องของฉันชอบนายขนาดนั้น หากนายเอ่ยสักคำ ฉันคิดว่าตระกูลหยางของเรายังคงสามารถ…”
ฟางเหยียนยกมือขึ้นมาตัดบทหยางซง จากนั้นก็ยกมือมาพาดไหล่หยางซง แล้วกล่าวว่า “คุณวางใจเถอะ! ผมรู้ว่าควรทำยังไง ผมไม่ทำให้ตระกูลหยางเดือดร้อนหรอก”
“น้องฟาง!” หยางซงคว้าแขนฟางเหยียนไว้ แล้วพูดว่า “นายยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันจะสื่อ! ที่ฉันจะสื่อคือไม่ได้กลัวว่าเรื่องจะเดือดร้อนหรือไม่ เพียงแต่ให้นายรอก่ออย่าเพิ่งบุ่มบ่ามเช่นนี้”
“งั้นก็ต้องดูว่าตระกูลโจวมีท่าทีเช่นไร หากพวกเขาทำเรื่องที่ผมไม่พอใจออกมา ผมย่อมไม่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่แน่นอน คุณชายเจ็ดหยาง ผมทำเรื่องใด ไม่มีทางคุกคามไปถึงความปลอดภัยของผู้อื่นแน่นอน” ฟางเหยียนพูดกับหยางซงอย่างให้คำสัตย์สาบาน
หยางซงยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่ฟางเหยียนไม่สนใจเขาแล้ว เดินไปยังโรงแรมโดยไม่หันหลังกลับมามอง
พอเดินเข้ามาในโรงแรมหัวหลง ก็ทำให้คนรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของตระกูลใหญ่อย่างหนึ่ง! นี่ไม่ใช่ระดับที่คนธรรมดาสามารถเข้าถึงได้อย่างแน่นอน
ว่ากันถึงคนที่อยู่หน้าประตูโรงแรมก่อนแล้วกัน หน้าประตูเต็มไปด้วยบอดี้การ์ดใส่ชุดสูท สวมแว่นตาดำ อย่างน้อยๆ ก็หลายพันคน รอบๆ โรงแรมหัวหลงถูกล้อมจนน้ำยังผ่านเข้ามาไม่ได้ นอกจากนี้ ลานจอดรถก็ไม่มีรถที่ต่ำกว่าล้านสักคัน ล้วนเป็นระดับล้านทั้งนั้น ถึงขั้นที่ว่ายังได้เห็นรถหรูที่ผลิตมาจำกัดระดับสิบล้านหลายคัน
เพิ่งจะเดินเข้าไปในโรงแรม ด้านในก็มีบริกรยืนเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยหลายแถว บริกรพวกนั้นตรงตามมาตรฐาน รูปร่างดีมาก หน้าตาสะสวย นอกจากนี้ ภายนอกโรงแรม แม้จะเป็นต้นไม้ต้นเดียวก็ยังแขวนโคมสีแดงไว้ บนนั้นยังเขียนว่าครองคู่ร้อยปี
สรุปว่าพิธีแต่งงานของตระกูลโจวนี้เป็นระดับที่คนทั่วไปเอื้อมไม่ถึง นอกจากคราวก่อนที่ตระกูลฟางสามารถต่อกับพวกเขาติดแล้ว ตระกูลอื่นๆ ก็ยังเอื้อมไม่ถึงระดับนี้จริงๆ
หลังจากหยางจิ่งเซียนมาถึงหน้างาน ก็ได้รับคำเรียกอย่างยกย่องจากคนนับไม่ถ้วน ทุกคนเคารพต่อชื่อหยางกงนี้มาก หยางจิ่งเซียนเองก็ทักทายทุกคนอย่างเกรงอกเกรงใจเช่นกัน จากนั้นก็แนะนำฟางเหยียนให้รู้จักคนเหล่านั้น
อันที่จริงฟางเหยียนไม่ได้รู้สึกสนใจคนเหล่านั้น เขามาที่นี่สิ่งสำคัญก็คือมาเป็นประจักษ์พยานในพิธีแต่งงานของหวังชิงชิง เขาอยากรู้ว่าหวังชิงชิงสมัครใจจริงอย่างที่ตัวเธอพูดหรือไม่ หากเธอสมัครใจ ฟางเหยียนก็จะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้หวังชิงชิง นับเป็นรางวัลที่เธอรับใช้ตน หากเธอไม่สมัครใจ ฟางเหยียนย่อมจะพาหวังชิงชิงไปจากที่นี่
หลังพบหน้าคนมากมายแล้ว ทุกคนล้วนวางสายตาแปลกๆ ไปที่ฟางเหยียน เพราะชุดที่เขาใส่ไม่เข้าพวกกับทุกคน ในงานพิธีการแบบนี้ เขากลับสวมเสื้อคลุมตัวหนึ่ง ที่เท้ายังสวมรองเท้าคอมแบตอีกด้วย
การแต่งกายแบบนี้ไม่ได้ดึงช่องว่างของตนให้แคบลง แต่เป็นการแสดงความไม่เหมาะสมต่อสถานที่เช่นนี้ ชุดที่เขาสวมใส่มอบความรู้สึกของการพร้อมมีเรื่องให้กับผู้คน แถมยังใส่มาเพื่อเตรียมจะมาหาเรื่องอย่างไรอย่างนั้น
แต่เนื่องจากฐานะของหยางจิ่งเซียน ทุกคนจึงไม่กล้าพูด และไม่มีใครกล้าถาม!
หลังทักทายกับคนเหล่านั้นแล้ว หยางจิ่งเซียนก็พาฟางเหยียนกับหยางซงเดินตรงเข้าไปในโรงแรมหัวหลง หยางจิ่งเซียนพูดว่า “อีกเดี๋ยวจะเห็นผู้อาวุโสค่อนข้างมีอายุคนหนึ่ง นั่นก็คือเจ้าบ้านคนปัจจุบันของตระกูลโจว โจวปินคาง บิดาของเขาเป็นคนที่พาตระกูลโจวมายังดินแดนตะวันตก และเขานับเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าบ้านคนต่อไปลำดับที่หนึ่งของบิดาเขา เขาอยู่ดินแดนตะวันตกออกงานสังคมน้อยมาก ปกติหากไม่ใช่งานสำคัญอะไร ก็จะพบเขาได้ยากมาก งานที่เขาจะเข้าร่วมล้วนเป็นการเคลื่อนไหวในวงราชการ นอกจากนี้ การเข้าร่วมงานมงคลใหญ่เช่นนี้ ทุกคนต้องเข้ามาเคารพเขา นี่คือกฎของตระกูลโจว และเป็นกฎของดินแดนตะวันตก”