จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 551 พลังภายในแข็งแกร่ง
คารวะ! สิ่งนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะประจักษ์เห็นถึงตำแหน่งของตระกูลโจวในดินแดนตะวันตก พวกเขาน่าจะเป็นเทพพระเจ้าในความคิดของคนดินแดนตะวันตกสินะ! ซึ่งมีตัวตนราวกับเป็นราชา จึงได้มีการคารวะเช่นนี้ด้วย
“เขามีคุณธรรมบารมีสูงส่งมากนักหรือ?” ฟางเหยียนถามด้วยความสงบนิ่ง
หยางจิ่งเซียนชะงักไปชั่วครู่ เอ่ยขึ้นว่า “ไม่ถือว่ามีคุณธรรมบารมีสูงส่งหรอก แต่คนส่วนมากเป็นเพราะเกรงกลัวถึงได้เคารพเขา”
“อ้อ!” ฟางเหยียนเอ่ยตอบกลับ ดูท่าทางแล้วตำแหน่งของตระกูลโจวจะสูงมากจริงๆ ฟางเหยียนเองจึงได้เกิดความสนใจในตัวผู้นำตระกูลแห่งตระกูลโจวขึ้นมาเช่นเดียวกัน เขาอยากจะเห็นเสียเหลือเกินว่าเขาเป็นคนอย่างไร คิดไม่ถึงว่าจะกล้าทำเช่นนี้ได้
ผ่านไปไม่นาน พวกเขาได้เดินเข้าไปยังข้างในโรงแรมหัวหลง และบนเก้าอี้ไม้สลักที่อยู่ด้านในโรงแรมนั้น มีชายชราผู้หนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยนั่งอยู่ ชายชราผู้นั้นแก่แล้วจริงๆ ดวงตาของเขาหรี่ลงเนื่องจากริ้วรอย เมื่อชายชราเห็นหยางจิ่งเซียนเดินเข้ามา ก็รีบลุกขึ้นทันที พร้อมหยิบไม้เท้ามาหนึ่งด้าม นั่นเป็นไม้เท้าหัวมังกรสีดำ ซึ่งบริเวณที่เขาจับอยู่นั้นก็คือหัวมังกรที่ราวกับของจริงสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างไรอย่างนั้น และแน่นอนว่านั่นไม่ใช่การใช้ทองสร้างขึ้นมาแล้วเชื่อมประกอบเข้าแต่อย่างใด ทว่าเป็นการแกะสลักบนตัวไม้เท้าโดยตรง เพียงแค่ไม้เท้าด้ามนั้น ก็มีมูลค่าสูงส่ง ต้องมีมูลค่าสูงถึงหลักล้านเป็นแน่
เขาสวมเสื้อชุดแดงลายมังกร มองดูแล้วเป็นชายชราวัยแปดสิบเก้าสิบปี ทว่าเมื่อเขาเดินกลับมีความน่าเกรงขาม เขาเดินเข้ามาหาหยางจิ่งเซียน และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยพลัง “น้องหยาง มาแล้วเหรอ!”
น้ำเสียงนี้ไม่ง่ายเลย แค่ได้ยินก็ทำให้คนทราบทันทีว่าเขาเคยฝึกลมปราณมาก่อน อีกทั้งยังฝึกมาแล้วเป็นเวลาหลายปีด้วย
หยางจิ่งเซียนกำกำปั้นขึ้นมาอยู่หน้าอกและเอ่ยกับชายชราว่า “ศิษย์น้อง หยางจิ่งเซียน ขอคารวะเจ้าตระกูลโจว”
ชายชราหัวเราะหึหึ จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาจับมือของหยางจิ่งเซียนเอาไว้พร้อมเอ่ยว่า “เกรงใจไปแล้ว!”
“จริงสิ ท่านนี้คือ?” แววตาของเจ้าตระกูลโจวตกลงมาอยู่บนร่างของฟางเหยียนในทันที จึงได้เอ่ยถามด้วยความฉงนใจ
แม้ว่าเจ้าตระกูลโจวจะมีอายุแปดสิบเก้าสิบปีแล้ว ทว่าความจำนั้นกลับดีเยี่ยม ดวงตาคู่นั้นแลดูหรี่ลง ทว่ากลับสามารถมองเห็นความแหลมคมและความสามารถจากในตาของเขาได้
หยางจิ่งเซียนจึงรีบกล่าวแนะนำทันที “คนนี้คือเพื่อนสนิทของผม ถือว่าเป็นเพื่อนต่างวัย ได้ยินมาว่าตระกูลโจวจัดงานมงคล เลยตั้งใจพาเขามาดูสักหน่อยน่ะ”
หยางซงไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุใดหยางจิ่งเซียนจึงบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทของเขา แต่ไม่ใช่หลานเขย พูดกันตามหลักเหตุผลแล้ว หากฟางเหยียนเป็นดองกับฉินเข่อแล้ว ก็ถือเป็นหลานเขย ทว่าตอนนี้หยางซงไม่มีสิทธิ์ที่จะกล่าว หยางจิ่งเซียนพูดอันใดก็คือเช่นนั้น
“อ๋อ! ที่สามารถกลายมาเป็นเพื่อนต่างวัยของท่านหยางได้ เช่นนั้นก็แสดงว่าน้องชายผู้นี้จะต้องมีอะไรที่โดดเด่นกว่าผู้อื่นแน่นอน” เจ้าตระกูลโจวพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ยกมือขึ้นแสดงความจำนงว่าจะจับมือกับฟางเหยียน ฟางเหยียนเองก็ยกมือขึ้นมาจับมือของเจ้าตระกูลโจวเช่นเดียวกัน ที่ฟางเหยียนจับนั้นก็คือสองมือที่แห้งกร้าน ทว่าระหว่างกระดูกที่แห้งกร้านนั้นกลับเก็บซ่อนพลังงานอันมหาศาลเอาไว้
ขณะที่จับมือของเจ้าตระกูลโจว อยู่ๆ ก็มีลมกระจายออกมาจากฝ่ามือของเจ้าตระกูลโจว ฟางเหยียนมองหน้าเจ้าตระกูลโจวด้วยสายตาสงบนิ่ง นี่กำลังยั่วยุตนอยู่หรือ? หรือกำลังลองเชิงว่าตนนั้นมีความสามารถมากน้อยเพียงใด?
ไม่ว่าเขาจะกำลังยั่วยุตนอยู่ หรือลองเชิงความสามารถของตนอยู่ ฟางเหยียนล้วนแต่จะไม่ยอมถอยเด็ดขาด ในฐานะจอมพลอีกฝั่ง จะก้มหัวให้กับประชาชนที่ตนเองปกป้องอยู่ได้อย่างไร หากก้มหัวให้ เขาจะเป็นราชาที่ว่าได้อย่างไร และจะทำให้ประชาชนของเขาเคารพนับถือได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะที่ตระกูลโจวเป็นครอบครัวนินจา เขาไม่มีทางก้มหัวให้กับตระกูลเช่นนี้เป็นแน่! การทำให้พวกเขาทราบความแกร่งของตนนั้น เป็นเรื่องที่ดีที่สุด! เขาได้รับการยั่วยุจากเจ้าตระกูลโจวจึงเริ่มมีการแผ่กระจายของลมปราณจากร่างกายเข้าสู่ฝ่ามือเล็กน้อยเช่นกัน เมื่อพลังของลมปราณทั้งสองแรงกระทบกัน ทำให้เจ้าตระกูลโจวได้รับรู้ถึงลมปราณที่ฟางเหยียนแผ่กระจายออกมาอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นลมปราณของเขาจึงเริ่มแข็งแกร่งขึ้น แน่นอนว่าฟางเหยียนเองก็ปล่อยลมปราณออกมาจากร่างกายตนเองในการจับมือกับเจ้าตระกูลโจวโดยไม่ยอมแสดงให้เห็นว่าด้อยกว่าแต่อย่างใด พลังของลมปราณสองแรงเริ่มกระทบกันจากฝ่ามือของทั้งสองคน
นี่ก็น่าจะถือเป็นการประลองพลังชนิดหนึ่ง เจ้าตระกูลโจวต้องการที่จะทราบพละกำลังของฟางเหยียนให้แน่ชัด ฟางเหยียนเองก็ไม่คัดค้านที่จะให้เขาสัมผัสเช่นกัน!
วิธีที่ดีที่สุดในการสัมผัสพละกำลังของนินจาให้ชัดเจนนั้นก็คือใช้พลังภายในของตัวเองไปบีบเคล้นฝ่ายตรงข้าม เอาชนะฝ่ายตรงข้าม ส่งผลให้พลังภายในของฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถที่จะต่อกรกับตนเองได้ ตราบใดที่ผู้นั้นสามารถต่อกรกับตนเองได้อยู่ เช่นนั้นก็จะไม่ถือว่าเอาชนะได้
นินจา ที่สำคัญคือการฝึกลมปราณ ลมปราณที่ว่านั้นเป็นสิ่งที่ไร้ซึ่งรูปร่างชนิดหนึ่ง ทว่าสามารถทำให้การควบคุมตนเองแข็งแกร่งขึ้นมาได้ ทำให้พละกำลังร่างกายของคนเราดียิ่งขึ้น
ทั้งสองคนต่างก็เป็นนินจา ทั้งยังเป็นนินจาที่มีความสามารถไม่ธรรมดาอีกด้วย ขณะที่ลมปราณไหลกระทบกันอยู่ภายในร่างกาย แน่นอนว่าจะทำให้ผู้นั้นรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัด ราวกับว่ากระดูกทั้งร่างกายล้วนได้รับการยกระดับพลังขึ้น
ทั้งสองคนจับมือกันอยู่อย่างนั้น พร้อมจ้องตาเขม็งมองฝ่ายตรงข้ามอย่างแคลงใจ ครั้นไม่ได้เอ่ยอันใดขึ้นมา ถึงกระทั่งว่าไม่มีท่าทีอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมา
หยางจิ่งเซียนมองดูสีหน้าของทั้งสองคน ภายในแววตาของพวกเขาตอนนี้นั้นมีเพียงฝ่ายตรงข้าม หยางซงอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นมาเสียงเบาอย่างรู้ลึกอยู่ในใจ “พ่อ พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่? ทำไมถึง…”
หยางซงยังไม่ทันได้ถามจบ หยางจิ่งเซียนก็ยกมือขึ้นมาแทรกคำพูดของเขา เอ่ยว่า “อย่าพูด!”
และในขณะนี้เองพลังภายในของทั้งสองคนก็มาถึงระดับหนึ่งแล้ว ฝ่ามือควบคุมไม่อยู่แล้ว เริ่มที่จะกระจายออกไปนอกห้อง
ภายในห้องก็เริ่มเกิดเป็นความรู้สึกสั่นสะเทือนอันน่าแปลกประหลาดขึ้นมา ซึ่งมีความรู้สึกราวกับแผ่นดินไหวหลังเกิดแผ่นดินไหว
คราวนี้ หลายคนที่อยู่ในห้องต่างก็ยื่นหน้ามองดูไปรอบทิศ สงสัยว่าตนรู้สึกตัวผิดไปหรือไม่ จนกระทั่งมีแก้วน้ำใบหนึ่งหล่นลงมาจากบนโต๊ะ ทุกคนจึงมั่นใจแล้วว่าภายในห้องนี้กำลังสั่นสะเทือนอยู่
ถึงขั้นมีคนร้องตะโกนขึ้นมา “แผ่นดินไหวเหรอ? นี่กำลังเกิดแผ่นดินไหวอยู่เหรอ?”
“ไม่จริงมั้ง! เซนเซอร์ตรวจจับผิดหรือเปล่า”
เสียงที่ดังอึกทึกรอบข้างแทบจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อทั้งสองคน พวกเขายังคงจับมือกันอยู่อย่างนั้น
ในที่สุด พลังภายในของเจ้าตระกูลโจวก็ถึงขั้นขีดสุด บนใบหน้าของเขาก็มีเหงื่อไหลออกมา ผิวหนังบนใบหน้าชราก็สั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา ฝั่งของฟางเหยียน ก็ยังคงมีสีหน้าที่นิ่งเรียบสงบสุขเช่นเคย ราวกับว่าพลังภายในขั้นขีดสุดของเจ้าตระกูลโจวก็ไม่สามารถทดสอบความสามารถของเขาได้เช่นกัน
เจ้าตระกูลโจวล้มเลิกความตั้งใจ เขาทราบว่าผู้ที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นเป็นมือฉกาจที่ยากจะคาดเดาได้ผู้หนึ่ง หนุ่มวัยรุ่นอายุยี่สิบกว่าปีผู้นี้ คาดไม่ถึงว่าจะมีพลังภายในที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ จึงทำให้เจ้าตระกูลโจวต้องมองเขาใหม่ไปโดยทันที
เขาเก็บลมปราณที่อยู่ภายในร่างกายของเขากลับ จากนั้นก็หันหน้าไปหัวเราะหึหึ เอ่ยว่า “สวัสดี พ่อหนุ่มน้อย!”
หลังจากที่เขาเอ่ยคำนี้ออกมา แรงสั่นสะเทือนเมื่อสักครู่นี้ก็หายไปทันที ทั้งหมดจึงกลับสู่ความสงบนิ่ง ฟางเหยียนมองสำรวจเจ้าตระกูลโจวอย่างละเอียด เอ่ยว่า “สวัสดีเจ้าตระกูลโจว คิดไม่ถึงว่าท่านอายุปูนนี้แล้ว แต่กระดูกในร่างกายกลับแข็งแรงดีอย่างนี้ ช่างน่าอิจฉาเสียจริงเลย”
เจ้าตระกูลโจวหัวเราะหึหึขึ้นมา จากนั้นก็โบกไม้โบกมือ เอ่ยว่า “ฉันแก่แล้ว ตอนนี้เป็นโลกของวัยรุ่น หยางกง เพื่อนหนุ่มน้อยของนายเป็นอัจฉริยะที่เก่งใช่ย่อยเลยนะเนี่ย ถ้าสามารถเข้าร่วมตระกูลหยางของนายได้ อย่างนั้นจะต้องเป็นผลดีต่อตระกูลหยางอย่างใหญ่หลวงเป็นแน่”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” หยางจิ่งเซียนหัวเราะขึ้นเสียงดังอย่างอดไม่ได้ เหตุใดเขาจึงจะไม่คิดเช่นนี้เล่า ทว่าเขาบังคับฟางเหยียนไม่ได้!
“จริงสิ ฉันรู้จักวิชาจับชีพจรอยู่ เมื่อครู่ตอนที่จับมือกับพ่อหนุ่มน้อย รับรู้ได้ว่าในร่างกายของพ่อหนุ่มน้อยมีเส้นเลือดหลายเส้นที่ผิดแปลกไป ไม่ทราบว่าพ่อหนุ่มน้อยเคยได้รับบาดเจ็บหนักมาใช่หรือไม่?” เจ้าตระกูลโจวเอ่ยถาม
ฟางเหยียนพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยตอบกลับไปเพียงหนึ่งคำ “ใช่!”
เมื่อฟังจากน้ำเสียงของเขา เขาไม่ไว้หน้าเจ้าตระกูลโจวเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ยังมีความไม่ชอบใจผู้อาวุโสแห่งตระกูลโจวผู้นี้ด้วย เหตุการณ์นี้ทั้งหยางซงและหยางจิ่งเซียนต่างก็เห็นกันถ้วนหน้า หากเป็นผู้อื่น เจ้าตระกูลโจวอาจระเบิดอารมณ์แล้ว ทว่าการจับมือเมื่อครู่นี้ ราวกับได้กำราบผู้อาวุโสแห่งตระกูลโจวผู้นี้แล้ว เขากลับหัวเราหึหึ พร้อมเอ่ยขึ้นมาว่า “แผลนี้ได้มาอย่างไร?”
เขายากที่จะจินตนาการว่าผู้ใดที่จะสามารถทำร้ายฟางเหยียนได้ พลังภายในของเขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ สามารถกล่าวได้ว่าอยู่ในประเทศหวาเขาถือเป็นผู้ที่มีอำนาจผู้หนึ่ง เมื่อครู่นี้ตนใช้พละกำลังทั้งร่างกาย ครั้นก็ไม่สามารถเอาชนะกำลังของเขาเพื่อเข้าสู่จุดสูงสุดได้ จากเหตุนี้สามารถเห็นได้ว่า คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้ที่จะยั่วโมโหด้วยได้ง่าย
ฟางเหยียนเงียบไปชั่วครู่ เอ่ยว่า “ได้รับบาดเจ็บมาตอนที่สู้กับคนสิบคนน่ะ”