จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 565 บางที อาจจะไม่เจอกันแล้ว
เดิมทีประโยคหน้าถือว่าเป็นผลดีกับตระกูลโจว แต่เมื่อประโยคสุดท้ายดังขึ้น ใบหน้าอันเหี่ยวย่นของโจวปินคางจู่ๆก็ดูไม่ดีอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เขาตาลุกโตมองฟางเหยียน ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม ฟางเหยียนได้ตบไปที่หน้าของโจวเจิ้ง ได้ยินเสียงฟับ วินาทีถัดมา ฝ่ามือของโจวเจิ้งร่วงลงมาจากข้อมือ เลือดในเส้นเลือดก็กระฉูดตามออกมา
“อ้า!” เสียงคร่ำครวญดังสนั่นทั้งตระกูลโจว หลังจากเสียงร้องที่โหดร้ายมากจนนึกว่าไม่มีในโลกดังขึ้น ประสาทสัมผัสทั้งห้าของโจวเจิ้งบิดรวมเข้าด้วยกัน
“มือของผม!” โจวเจิ้งชี้ไปมือของตัวเองร้องอย่างทรมานออกมา จากนั้นก็เห็นเขากัดฟันแน่น
ทุกๆคนต่างเหงื่อตก มองไปยังเทพที่เหมือนกับปีศาจคนนี้ ตัวสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ แม้แต่ตระกูลโจวยังไม่กล้าแตะต้อง ถ้าพวกเขาเข้าไปยุ่ง ก็ไม่ใช่ว่าจะถูกล้างบางทั้งหมดเหรอ!
ยิ่งตลกกว่านั้นคือ จู่ๆโจวปินคางโค้งคำนับเก้าสิบองศาต่อหน้าของฟางเหยียน แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “ขอบคุณครับจอมพล!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาระแวดระวังกับคนแบบนี้
ทุกคนเห็นท่านโจวเข้าไปโค้งคำนับแล้ว แต่ครั้งนี้ เขากลับโค้งคำนับให้คนอื่นอย่างระวังเอามากๆ
“ไอ้เนรคุณ ยังไม่รีบเข้าไปขอโทษอีก!” โจวปินคางชักตาใส่โจวเจิ้งอย่างดุดัน
โจวเจิ้งอดกลั้นกับความเจ็บปวดแล้วกล่าว “ขอโทษครับ จอมพล!”
ฟางเหยียนไม่ได้ตอบเขา เพียงแต่มองหยางจิ่งเซียนที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วกล่าว “ท่านหยางครับ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือมีเรื่องด่วน! ผมต้องไปที่กองทัพภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ช่วงหลายวันมานี้ รบกวนท่านแล้วครับ”
“พูดอะไรกัน เป็นเกียรติของผมครับ” หยางจิ่งเซียนยืนขึ้น ยกมือทำแสดงความเคารพอย่างไม่คัดค้านใดๆ
ทุกคนเห็นการณ์นี้ด้วยกันทั้งนั้น ในใจของผู้คนเกิดการคาดเดาขึ้นว่า ต่อไปตระกูลหยางจะผงาดขึ้นมาแล้วใช่มั้ย จอมพลโผ้จวินเผด็จการขนาดนี้ แม้แต่ตระกูลโจวยังไม่ให้ความสำคัญ แต่กลับให้ความเคารพกับหยางกงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ นี่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่าตำแหน่งของตระกูลหยางในอนาคตจะค่อยๆเลื่อนขึ้นไปอีกขั้นอย่างช้าๆ ไม่นาน พวกเขาก็สามารถที่จะเทียบกับตระกูลโจวได้แล้ว
“ผมยังมีเรื่องที่อยากจะขอ!” ฟางเหยียนจับแขนของหวังชิงชิงแล้วกล่าว “ขอหยางกงได้โปรดช่วยผมพาคุณหวังส่งฟางซื่อกรุ๊ปที่เมืองจินโจวโดยปลอดภัยด้วยครับ ที่นี่ ผมเชื่อคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น”
คำพูดนี้ทำให้ผู้เฒ่าหลายคนของตระกูลโจวอับอาย โดยเฉพาะสีหน้าของโจวปินคาง กลายเป็นดูไม่ดีขึ้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
คำพูดนี้ ยิ่งทำให้ทุกคนมั่นใจว่าฟางเหยียนจะเป็นเบื้องหลังของกับตระกูลหยาง มีเบื้องหลังอย่างจอมพลโผ้จวินแบบนี้ ต่อไปตระกูลหยางต้องเรืองรอง ทะยานขึ้นสูงแน่ๆ
ทุกคนล้วนใช้สายตามองหยางจิ่งเซียนอย่างอิจฉา รวมทั้งโจวปินคางด้วย!
ฟางเหยียนมองเทียนหลัง แล้วกล่าว “ไปกันเถอะ เทียนหลัง!”
เพิ่งจะก้าวเดิน หวังชิงชิงรีบกล่าวว่า “คุณชายคะ!”
ฟางเหยียนหยุดเดิน แล้วถาม “ทำไม? มีธุระมั้ย? ถ้าคุณมีอะไร ก็พูดกับท่านหยางละกัน! ผมเชื่อว่าท่านหยางจะพยายามสนองความต้องการของคุณ”
“ฉัน!” หวังชิงชิงสะอึกไป เพียงแต่พูดออกมาว่า “ระวังตัวด้วยนะคะ!”
ต่อให้หวังชิงชิงไม่รู้ว่าสนามรบเป็นอย่างไร แต่นั่นจะต้องไปใช่สถานที่ที่ดีแน่นอน ในทีวีและในนิยายเธอรู้ว่า สนามรบเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อยากเข้าไปแตะต้อง และเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
ฟางเหยียนอืมออกมา แล้วเดินออกจากประตูไปพร้อมกับเทียนหลัง
หลังจากที่ฟางเหยียนจากไปแล้ว บรรยากาศในห้องโถงเริ่มผ่อนคลายลง อากาศเหมือนจะสดชื่นขึ้นมาไม่น้อย
ขณะนี้ มีเสียงพูดคุยกันดังขึ้นมาไม่น้อย ต่อให้ยังมีศพนอนกองอยู่สามศพ แต่บรรยากาศในห้องโถงได้กลับมาแล้ว
หยางจิ่งเซียนมองท่านโจวแล้วมองอีก ยังคงกล่าวด้วยท่าทีที่เคารพว่า “ท่านโจว งั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ!”
“เดินทางโดยสวัสดิภาพครับหยางกง!” โจวปินคางกล่าวด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ยืนขึ้นมา ต่างพากันพูดว่า “เดินทางโดยสวัสดิภาพครับหยางกง!”
หยางจิ่งเซียนพาลูกสะใภ้ของตระกูลโจวไปจากตระกูลโจวแบบนี้ งานแต่งที่เดิมที่ดีๆอยู่ก็จบไปเสียอย่างนั้น ทุกคนก็ไม่กล้าพูดอะไร ทำได้เพียงต่างพากันบอกลากับโจวปินคาง
หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว โจวปินคางชักตาใส่โจวเจิ้งและโจวชื่อเจี๋ยอย่างเข้มงวด เขาตบโต๊ะที่อยู่ข้างๆอย่างรุนแรง ตะคอกเสียงดังว่า “พวกแกไอ้หลานลูกเนรคุณ คุกเข่าเดี๋ยวนี้!”
เมื่อสองคำเปล่งออกมา โจวชื่อเจี๋ยและโจวเจิ้งไม่กล้าพูดอะไรมาก คุกเข่าลงกับพื้นอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเห็นทั้งสองที่คุกเข่าลงกับพื้น โจวปินคางกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ต่อไปถ้าไม่มีคำสั่งจากฉัน ลูกหลานเนรคุณทั้งสองนี้ห้ามออกจากบ้านแม้แต่ก้าวเดียว! ถ้ากล้าออกจากตระกูลโจวแม้แต่ก้าวเดียว เนรเทศออกจากตระกูลโจว โดยไม่ไยดี”
หยางจิ่งเซียนซื้อตั๋วเครื่องบินหนึ่งใบให้กับหวังชิงชิง ส่งเธอขึ้นเครื่องที่สนามบินแล้วจึงจะกลับบ้าน
ระหว่างทางกลับ และแล้วหยางซงก็อดกลั้นความสงสัยที่มีในใจไว้ไม่ไหวจึงถามหยางจิ่งเซียนออกมาว่า “พ่อ พ่อรู้ว่าน้องฟางเป็นจอมพลอะไรนั่นตั้งนานแล้วใช่มั้ย?”
หยางจิ่งเซียนพยักหน้าอย่างไม่ครุ่นคิดแล้วกล่าว “ใช่! รู้เมื่อวาน”
หยางซงตาลุกโตแล้วกล่าว “งั้นทำไมพ่อไม่บอกผมล่ะ?!”
หยางจิ่งเซียนหัวเราะเหอะๆออกมา แล้วกล่าว “บอกแกแล้วยังไงต่อ!”
หยางซงกล่าว “ถ้าพ่อบอกผม ผมก็ไม่มีทางทำเรื่องที่น่าอายอย่างนั้นออกไปไง เมื่อกี๊ตอนที่เพิ่งถึงที่ตระกูลโจว ผมยังเตือนเขาอย่างจงใจอีกด้วย ว่าให้เขาอย่าก่อเรื่องที่ตระกูลโจว เพราะตระกูลโจวไม่ได้จัดการง่ายๆ
หยางจิ่งเซียนถอนหายใจแล้วกล่าว “ไม่มีอะไรหรอก แกคิดว่าจอมพลเป็นคนที่จิตใจคับแคบเหรอ? ความจริงแกก็แค่เตือนด้วยความหวังดีเท่านั้น ที่จอมพลเป็นจอมพลได้ เขาไม่เพียงแค่กล้าหาญเท่านั้น ยังฉลาดอีกด้วย ร้ายดีเขาแยกออก ถ้าเขาไม่แยกร้ายดี ฆ่าคนบริสุทธิ์ งั้นวันนี้พ่อลูกของตระกูลโจวต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแล้วล่ะ”
หยางจิ่งเซียนพูดถูก จอมพลฆ่าคน แต่เขาฆ่าคนที่ปลอมตัวเป็นเขา คนนั้นใช้ชื่อของเขาไปทำเรื่องไม่ดี สมควรตายอยู่แล้ว! แต่พ่อลูกตระกูลโจวทำเรื่องเกินไปสุดขีด บีบคนไปทั่ว ฟางเหยียนก็มีเหตุผลฆ่าพวกเขา แต่เขาไม่ได้ฆ่า แต่ปล่อยพวกเขาไป นี่ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่ใช่คนที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์แบบนั้น
“งั้น พวกเรากลับบ้านไปแล้วจะพูดกับเข่อเข่อยังไงดี?” จู่ๆหยางซงตั้งคำถามมา
หยางจิ่งเซียนหัวเราะเหอะๆๆ “แกคิดว่าเข่อเข่อไม่รู้อะไรจริงๆอย่างนั้นเหรอ? แกรู้นิสัยของเข่อเข่อดีที่สุด ถ้าเธอไม่รู้ตัวตนของฟางเหยียน เธอจะพาเขามาที่บ้านมั้ย? แล้วยังใช้สถานะแฟนตัวเองด้วย”
“พูดแบบนั้น! เข่อเข่อรู้ตัวตนของฟางเหยียนตั้งนานแล้ว?” หยางซงถามอย่างประหลาดใจ
หยางจิ่งเซียนพยักหน้าเบาๆ แล้วกล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “ฉันไม่รู้ว่าจะรู้ตัวตนของเขาหรือไม่ แตาฟางเหยียนไม่ใช่อาจารย์ของเธอแน่นอน ส่วนเคยเกิดอะไรขึ้นบ้างกับทั้งสอง ฉันยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ ฉันว่าเข่อเข่อก็ไม่มีทางพูด”
ไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงประตูบ้าน ฉินเข่อได้ยืนรอที่ลานจอดรถที่ประตูบ้านนานแล้ว
หลังจากที่เห็นทั้งสองลงจากรถแล้ว ฉินเข่อก็เดินมาที่สองคนอย่างเร็ว แล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่เซอร์ไพรส์ว่า “พวกคุณกลับมาแล้วเหรอ!”
แต่ตอนที่ไม่เห็นคนที่สามลงจากรถ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลังจากที่เธอลังเลไปสักพัก ได้เปิดประตูเบาะหลัง พบว่าไม่มีฟางเหยียน เธอจึงได้ถามว่า “ฟางเหยียนล่ะ?”
หยางซงถอนหายใจ แล้วกล่าว “เขาไปแล้ว! มีบางเรื่องที่เขาต้องไปจัดการ ดังนั้นจึงกลับไปแล้ว”
“อะไรนะ?” จู่ๆฉินเข่อรู้สึกในใจถูกอุดไว้อย่างไรอย่างนั้น ไปแล้ว!
ฟางเหยียนไปแล้ว ทำไมไม่ร่ำลาตนเลย!
จิตใจของเธอดาวน์ลงอย่างรวดเร็ว มีความผิดหวังหวังอย่างวิตกกังวล เหมือนกับสิ่งของที่สำคัญชิ้นหนึ่งหายไป
“พี่ชาย!” ฉินเข่อลังเลไปสักพัก แล้วถาม “เขาไม่ได้ฝากคำถามอะไรมากับพี่เลยงั้นเหรอ?”
หยางซงมองหยางจิ่งเซียน หยางจิ่งเซียนเดินเข้าบ้านไปอย่างไม่พูดไม่จา หยางซงสะอึกไป แล้วกล่าว “เขามีเรื่องเร่งด่วนต้องไปจัดการ ต้องไปให้ได้!ไปอย่างเร่งด่วน ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไร!แต่พี่ว่าเขาต้องกลับมา”
ต่อให้หยางซงจะพูดแบบนั้น แต่ฉินเข่อกลับผิดหวังอย่างที่สุด
เพราะเมื่อฟางเหยียนจากไป ไม่รู้ว่าทั้งสองจะได้พบกันอีกมั้ย
บางที ชาตินี้พวกเขาจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วก็เป็นได้!