จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 585 ติงห้าวที่โอหัง
ฉู่หยางส่งเสียงเหอะออกมา แล้วกล่าวอย่างกระฉับกระเฉงว่า “ประเทศหวาของเรามีกู่เจิง ขลุ่ย และซูน่าเครื่องดนตรีที่สืบทอดกันมาหลายพันปี อะไรราชาแห่งเครื่องดนตรี ซูน่าจึงจะมีสิทธิ์ที่ถูกเรียกว่าราชาแห่งเครื่องดนตรีมากที่สุด สืบทอดมายาวนาน เมื่อได้ยินเสียงของซูน่าทำให้คนไปอยู่อีกโลก ไม่พูดเรื่องเสียงดนตรีที่สุดซึ้งของซูน่าก่อน ในดินแดนอันกว้างใหญ่ของประเทศหวาแห่งนี้ เสียงดนตรีของเปียโนล้วนไม่งดงามกินใจคนเหมือนขลุ่ย”
ฉู่หยางเป็นคนรักชาติที่แท้จริง ไม่ชอบให้คนอื่นชื่นชมของต่างชาติต่อหน้าของเขา
ติงห้าวไม่พูดไม่จา ขณะนี้มีคนพูดเสียงดังออกมาว่า “ท่านฉู่ คุณกำลังกล่าวเกินจริงเกินไปแล้ว! ซูน่านั่นเป่าให้กับคนตาย เสียงสุดซึ้งไม่ผิด แต่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่คุณพูด! แล้วก็ขลุ่ยที่คุณว่า ขลุ่ยก็ปรากฏอยู่ในเพลงจำนวนไม่น้อย แต่เสียงของขลุ่ยจะงดงามเหมือนเปียโนได้อย่างไรกัน?”
“เด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม อย่าพูดไปเรื่อยเปื่อย แกจะไปเข้าใจอะไร? เสียงซูน่าที่แกได้ยินก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ซูน่าของงานศพนั่นเรียกว่าซูน่าพื้นเมือง เมื่อเสียงซูน่าที่แท้จริงดังขึ้น ทำให้คนตายกลับมาเกิดใหม่ สามารถช่วยปวงชนและวิกฤตได้” ฉู่หยางตะคอกใส่คนที่พูดประโยคนั้น
คนนั้นรู้ว่าเอาจริงแล้ว แต่ตนแค่พูดไปงั้นๆ ช่วยไม่ได้ ใครให้เขาเป็นคนแก่กันเล่า เขาทำได้เพียงหุบปากเงียบๆไปเท่านั้น
“ถ้าท่านอยากจะรักษาเครื่องดนตรีของประเทศหวาจริงๆ ทำไมไม่ขึ้นไปบรรเลงเองเลยล่ะ? ให้พวกเราเปิดโลกทัศน์ด้วยเลย” มีคนกล่าวอย่างไม่พอใจ ความจริงคือกำลังท้าทายฉู่หยางอยู่
ติงห้าวบนเวทีก็ไม่คิดว่านี่เป็นความคิดที่ไม่ดีอะไร ด้วยเหตุนี้เองจึงได้พูดกับฉู่หยางว่า “ใช่ คุณท่านฉู่ เพื่อนคนนี้พูดถูก ในเมื่อคุณพูดว่าซูน่าเจ๋งมาก ทำให้คนที่ตายไปแล้วเกิดใหม่ได้ ทำไมถึงไม่โชว์ให้ทุกคนดูหน่อยล่ะ”
ฉู่หยางส่งเสียงเหอะออกมา แล้วกล่าว “ฉันเล่นซูน่าเครื่องดนตรีเทพแบบนี้ไม่เป็น และไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะฟังได้ แต่ฉันเป่าขลุ่ยเป็น”
“ขลุ่ยก็ได้ เปิดโลกทัศน์ให้พวกเราได้พอดีเลย!” ติงห้าวยิ้มอยู่ตลอดเวลา ดูท่าทางแล้วเขาเข้ากับคนได้ง่ายกว่าฉู่หยางผู้เฒ่าคนนี้มาก
ฉู่หยางถอนหายใจเบาๆ พยักหน้ากล่าว “ได้ งั้นวันนี้ฉันจะให้พวกแกได้รู้ว่าอะไรคือเครื่องดนตรีที่แท้จริงของประเทศหวา!”
พูดจบ เห็นฉู่หยางหยิบขลุ่ยอันหนึ่งออกมาจากกระเป๋าที่อยู่ข้างโต๊ะ นั่นเป็นขลุ่ยที่ธรรมดามากอันหนึ่ง เขากลับใช้ของมากมายห่อไว้ ดูท่าทางแล้วขลุ่ยอันนี้ล้ำค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ต่อฉู่หยาง
หลังจากที่เขาเปิดขลุ่ยนั้นออกทีล่ะชั้นทีล่ะชั้น เขาเดินขึ้นบนเวทีอย่างช้าๆ เขาพลางพูดพลางพูดว่า “บางที พลังของขลุ่ยฉันเทียบไม่ได้กับยอดฝีมือผู้เร้นกายเหล่านั้นของประเทศหวา แต่ตอนนี้ทำได้เพียงต้องโชว์ฝีมือแล้วล่ะ ถ้าที่นี่มียอดฝีมือ อย่าโทษฉัน อย่าโทษฉันที่ทำให้เครื่องดนตรีของประเทศหวาเสียหน้า” ถือว่าเขาพูดเองเออเอง แทบจะไม่มีใครตอบคำพูดของเขา
เขาก็ไม่สนใจสายตาของผู้คนแม้แต่น้อย เพียงแต่ทำเรื่องที่ตัวเองควรทำ เขาหยิบขลุ่ยขึ้นมา ยืนอยู่บนเวทีพูดกับคนที่อยู่ด้านล่างเวทีว่า “เพลงบรรเลงนี้ชื่อ ดึงดูดผีเสื้อ! ยังคงเป็นเพลงที่ยอดฝีมือฉวี่หยางแต่งขึ้น
พูดจบ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เหมือนกับเอาอารมณ์เคร่งเครียดทั้งหมดปล่อยออกมา หลังจากที่ทำกิริยานี้แล้ว เขาจึงเอาขลุ่ยมาไว้ในปากอย่างช้าๆ
ในสายตาของคนอื่น ฉู่หยางเป็นแค่เฒ่าหัวโบราณ ทำอะไรพลการอย่างอาศัยว่าตัวเองอายุมากแล้วดูถูกคนอื่นในงานแต่งของคนอื่น ดื้อดึงคิดว่าขลุ่ยเทียบกับเปียโนได้ แต่ในสายตาของฟางเหยียน เขากลับมองเห็นความดื้อดึงของในเครื่องดนตรีของประเทศหวาของผู้เฒ่า ที่เขาดื้อนั้นไม่ใช่ในตัวเครื่องดนตรี แต่เป็นพื้นฐานของประเทศชาติ! เขาเพียงแค่อยากใช้วิธีการแบบนี้อธิบาย ว่าสิ่งของใดๆของประเทศหวาของเราไม่กลัวของต่างชาติ วัยรุ่นในปัจจุบันก็อย่าคิดแต่ว่ามีเพียงต่างประเทศที่ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า
นี่เป็นความรู้สึกในจิตใจที่มีต่อประเทศหวาอย่างยิ่งยวด และเป็นสิ่งที่ในตัวของวัยรุ่นปัจจุบันไม่มี ในฐานะที่เป็นนักรบกองทัพที่ต่อสู้เพื่อประเทศชาติคนหนึ่ง ฟางเหยียนรู้จิตใจรักชาตินี้ดีมาก
ทันใดนั้น ในใจของตนก็เพิ่มความเคารพผู้เฒ่าคนนี้ขึ้น
ตอนที่เสียงดนตรีของขลุ่ยดังขึ้น ใบหน้าผู้คนจำนวนไม่น้อยเริ่มปรากฏความไม่พอใจขึ้นมา เสียงดนตรีที่เดี่ยวๆแบบนี้ไม่มีทางทำให้คนในยุคปัจจุบันชอบแน่นอน กลับกัน เริ่มมีคนเกลียดเสียงนี้เข้าให้แล้ว
เสียงที่ขลุ่ยเปล่งออกมาต้องใช้ชี่ที่มาก ซูร่าก็เช่นกันต้องใช้ชี่ที่มาก ดังนั้นคนที่ต้องการฝึกฝนสิ่งเหล่านี้ ต้องฝึกฝนชี่ ชี่ของจุดนี้ก็เหมือนกับกำลังภายใน ปล่อยจากในและนอก
นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเครื่องดนตรีของประเทศหวาไม่ได้รับการสืบสานที่ดี แค่ขยับๆก็เล่นดนตรีเป็นแล้วกับต้องสะสมชี่เป็นนิจ เป็นใครก็ต้องเลือกอันแรก มีวิธีที่สบาย ใครอยากจะไปเรียนรู้ระบบที่มันยุ่งยากขนาดนั้น
เสียงดนตรีเริ่มกระจายไปทั่วทั้งห้องโถง ไม้ไผ่กระบอกเล็กๆบวกกับการเติมเต็มของนิ้วและชี่ก็สามารถดังกังวานไปทั่วห้องโถงได้แล้ว เสียงดนตรีที่ขลุ่ยปล่อยออกมาเป็นเสียงที่งดงามที่สุดและกินใจคนที่สุดบนโลกใบนี้ ใจจอมยุทธอะไร วีรชนผู้กล้าหาญอะไร ล้วนสามารถใช้เพลงขลุ่ยเพลงหนึ่งพรรณนาออกมาได้
สิ่งที่ขลุ่ยแสดงออกมาไม่เพียงแค่เสียงดนตรี ยังมีความรู้สึกที่ไม่สิ้นสุดอย่างหนึ่งอยู่ด้วย ในเสียงดนตรีของขลุ่ยไม่ได้มีแค่เสียงดนตรีที่ออกมาเท่านั้น มากไปกว่านั้นยังดึงช่วงที่สวยงามที่สุดในจิตใจของคนจำนวนมากออกมาอีกด้วย
คนที่อยู่ในงานล้วนผ่านร้อนผ่านหนาวมา ใครจะไม่มีเรื่องที่อยู่ในก้นลึกในใจที่เก็บเอาไว้กันล่ะ
ที่ฉู่หยางเป่าดึงดูดผีเสื้อเพลงนี้สามารถดึงให้คนหวนกลับไปถึงความทรงจำที่สวยงาม ในตอนที่ดนตรีกำลังเข้าได้เข้าเข็มช้าๆ คนจำนวนไม่น้อยกำลังตกอยู่ในภวังค์ของเสียงดนตรีนั้น จู่ๆ เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น!
“แคกๆๆ!” เสียงไอเป็นพักๆดังขี้น เสียงของขลุ่ยก็ได้หยุดลง! ฉู่หยางที่อยู่บนเวทีชี่ไม่เพียงพอแล้ว เพลงนี้ต้องใช้ชี่ ใช่ชี่นำพาเสียงดนตรี
ชี่ไม่พอ จะลองง่ายๆไม่ได้แน่นอน!
จากหารไอของฉู่หยาง เพลงได้หยุดลง ทันใดนั้นในห้องโถงก็เป็นเสียงประชดประชันดังขึ้นมา “นี่คือเสียงดนตรีขลุ่ยอะไรนั่นเหรอ? เมื่อกี๊ฉันฟังไปได้ประมาณหนึ่งนาทีได้มั้ง? ฉันว่าก็งั้นๆอะ!”
“ใช่ สิ่งสำคัญที่สุดคือสุดท้ายยังเกิดสภาพแบบนี้อีก แล้วจะเทียบกับเปียโนได้อย่างไรกัน? เล่นเปียโนเป็นจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ผู้เฒ่าคนนี้ไม่ค่อยประมาณตัวเองเลยนะ”
“ใช่ ผมว่าเขากำลังทำลายขลุ่ยของประเทศของเรานะ!”
“ก็บอกตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ ขลุ่ยนี่ก็เป็นแค่ความดื้อดึงของคนหัวโบราณก็เท่านั้น! เพลงดึงดูดผีเสื้ออะไร มันไร้สาระทั้งนั้น พวกคุณคงไม่เชื่อว่าของสิ่งนี้เจ๋งกว่าเปียโนจริงๆหรอกนะ?”
เมื่อได้ยินเสียงประชดประชันในห้องโถง ติงห้าวหัวเราะ พูดกับฉู่หยางที่ค่อนข้างคับขันว่า “ท่านฉู่ ผมไม่ได้ไม่เคารพเครื่องดนตรีของประเทศหวา เพียงแต่พวกเราต้องมองการณ์ไกล ตอนนี้ประเทศส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมนานาชาติ บางอย่างเทียบไม่ได้ก็คือเทียบไม่ได้ ผมเรียนเปียโนมานานหลายปี ทำความเข้าใจเครื่องดนตรีมานานขนาดนั้น ไม่มีเครื่องดนตรีไหนสู้เปียโนได้เลย ดังนั้นผมว่าคุณอย่าดื้อดึงอีกเลยนะ”