จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 609 คุณเป็นใครกันแน่
ผู้เฒ่ามองเห็นความระแวงของฟางเหยียน แสยะยิ้มออกมา เดินไปที่ข้างโต๊ะอย่าไม่แคร์ เอาอาหารไปวางไว้บนโต๊ะ
นี่เป็นห้องที่ค่อนข้างโบราณ รถบ้านที่ทำจากไม้ ด้านหน้าของรถบ้านวางโต๊ะสี่เหลี่ยมไว้หนึ่งโต๊ะ และพื้นที่โต๊ะตั้งไว้ไม่ใช่พื้นเซรามิกในปัจจุบัน และไม่ใช่พื้นปูนซีเมนต์ แต่เป็นไม้ พื้นไม้ที่เรียบเงา
ผู้เฒ่านั่งลงอย่างตรงๆ แล้วกล่าว “ไม่เป็นไรทานก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
ต่งยู่ก็รู้สึกว่าผู้เฒ่าคนนี้ประหลาดสุดๆ ไม่พูดสักคำ เพียงแต่ตอนที่เห็นผู้เฒ่าอาหารที่ผู้เฒ่าถือมา ก็อดที่จะกลืนน้ำลายไม่ได้!
ฟางเหยียนไม่ทานข้าวสองสามวันได้ เพราะเขามีกำลังภายในคุ้มกายอยู่ แต่ต่งยู่ไม่ไหว ต่งยู่เป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีกำลังภายในอะไร ประคับประคองไว้ไม่อยู่! ถึงแม้จะหิวมาก แต่เธอก็ยังยืนหยัดไว้ ฟางเหยียนยืนหยัดไม่กินขนาดนั้น ตนจะเสียหน้าไม่ได้
คิดนะคิดแบบนั้นนะใช่ แต่ความเป็นจริงก็คือท้องของเธอร้องออกมาแล้ว
แม้อาการจะเป็นอาหารมังสวิรัติที่ง่ายๆ แต่กลับมีความหอมที่ดึงดูดคนโชยมา
“คุณหิวแล้ว?” ฟางเหยียนเห็นผู้เฒ่าไม่พูดไม่จา จึงได้เคลื่อนแววตาไปหาต่งยู่
ต่งยู่ส่ายหน้าอย่างพยายามเต็มที่แล้วกล่าว “ฉันไม่หิวค่ะ!”
เป็นเสียงคร็อกดังขึ้นอีกครั้งอย่างไม่ขาดสาย เธอหิวแล้วจริงๆ!
“ฮ่าๆๆ!” ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆแล้วกล่าว “ท่านทั้งสองไม่ต้องเป็นห่วง หิวก็ทาน อาหารของฉันไม่มียาพิษ!”
กลับกันความเย็นชาของเมื่อคืน ผู้เฒ่าในตอนนี้ดูๆแล้วเป็นมิตร เหมือนกับเพื่อนศัตรูที่เจอกันหลังไม่ได้เจอกันมานาน
“ฟางเหยียน!” ต่งยู่เงยหน้าทองฟางเหยียน แล้วกล่าว “ไม่งั้นเราทานสักหน่อยมั้ย!”
คิ้วของฟางเหยียนยังคงขมวดหนักอยู่ ยังคงจ้องผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าอย่างระวังมาก
ผู้เฒ่าเห็นฟางเหยียนยังคงอารมณ์แบบนี้ ด้วยเหตุนี้เองจึงได้พูดว่า “สหายตัวน้อยสบายใจได้ ฉันเห็นกำลังภายในสหายตัวน้อยไม่ธรรมดา สันนิษฐานว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดา!อายุขนาดนี้มีกำลังภายในนี้ พูดได้ว่าน่าตกใจมาก“
“แกไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้น วางใจได้ ฉันไม่มีทางให้แกคุกเข่าต่อหน้ารูปปั้นของปรมาจารย์สามบริสุทธิ์แล้ว!แม้เมื่อคืนแกจะไม่ชนะ แต่คุณสมบัติของแกได้เอาชนะปรมาจารย์สามบริสุทธิ์แล้ว!”
ฟางเหยียนมองไปที่ต่งยู่โดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง คิดว่าโอเค!ดวงตาของหญิงสาวคนนี้จ้องมา ตะกละจนทนไม่ไหวตั้งนานแล้ว
ในวงข้าวสองสามคนเงียบกริบต่อไป เพียงแต่นิ่งสงบ
ผู้เฒ่าไม่ทาน เพียงแต่มองสองคนทาน ใบหน้ายังเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่บางๆ
สักพัก จู่ๆผู้เฒ่าก็เอ่ยปาก “สหายตัวน้อย ฟังความหมายของแก แกมาภูเขาทิพย์เพื่อมาหาฉินเสียงหลิน?”
“ใช่!” ฟางเหยียนตอบ น้ำเสียงแข็งกร้าว ถึงขั้นยังมีการป้องกันผู้เฒ่าอยู่บ้าง
ยังไงนี่ก็เป็นคนแรกที่ชนะเขา ถึงแม้จะชนะเขาที่พลังหกสิบเปอร์เซ็นต์ แต่บนโลกก็มีน้อยมาก
ไม่สิ บางทีก่อนหน้านี้ฟางเหยียนยังรู้สึกว่าน้อย แต่ตอนนี้ดูๆแล้ว น่าจะมีไม่น้อยแล้วล่ะ
เพราะประเทศหวาเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาลอุดมไปด้วยทรัพยากร ประวัติศาสตร์เรืองรอง ผ่อนร้อนผ่านหนาวห้าพันปี ใครจะรู้ว่ายังซ่อนยอดฝีมืออย่างไรไว้ ดังนั้นหลังจากที่ผ่านเรื่องของเมื่อคืนมา ฟางเหยียนไม่รู้สึกว่าตัวเองน่ายำเกรงแล้ว
“แกมีธุระอะไรกับฉินเสียงหลิน?”
“ไม่มีอะไร” ฟางเหยียนตอบอย่างสงบ เห็นผู้เฒ่าท่าทางขมวดคิ้ว จึงได้กล่าวต่อว่า “ผมและเพื่อนคนนี้ของผมเป็นคนที่ชอบเรื่องแปลกๆ สนใจในเรื่องลึกลับของสถานที่ต่างๆในประเทศมาก เช่นเรื่องมังกรที่หยิงโข่ว เรื่องมนุษย์ป่าเสินหนงเจี้ย เรื่องคัมภีร์สวรรค์ไร้ตัวอักษรที่หน้าผาแดงเมืองกุ้ยโจว ซอมบี้เมืองเฉิงตูเป็นต้น พวกเราทยอยไปมาหลายที่ ต่อมาได้ยินตำนานเกี่ยวกับหินทิพย์อีก”
คำพูดนี้ของฟางเหยียนพูดได้มีเหตุมีผล ตรรกะชัดเจน!
ใครจะคิดว่าผู้เฒ่าจะหัวเราะเหอะๆ ลูบเคลาหัวเราะออกมา “สหายตัวน้อย คำโกหกของแกไร้สาระเกินไปแล้วเปล่า แกเคยเห็นคนที่ชอบเรื่องแปลกๆมีวิชามั้ย? ถึงแม้จะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่มากสุดก็เป็นแค่แมวสามขา อย่างแกทั้งฝึกร่างกายฝึกชี่ บนโลกมีน้อย! ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นเมืองที่เจริญ ยิ่งน้อยเข้าไปอีก”
“อ๋อ?” ฟางเหยียนพูดออกมาหนึ่งคำ คำโกหกนี้ของตัวเองเว่อร์เกินไปสักนิดจริงๆ
ผู้เฒ่าพูดต่อว่า “สหายตัวน้อยเป็นคนเก่งในหมู่คน บุตรประเสริฐ ที่มาภูเขาทิพย์เกรงว่าจะมาด้วยเป้าหมายอื่นนะ?”
“ให้ฉันเดา เกี่ยวกับบาดแผลที่มีอยู่ในตัวของสหายตัวน้อยใช่มั้ย?”
ถึงแม้ฟางเหยียนจะอายุแค่ยี่สิบกว่าปี แต่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี แต่ประโยคเดียวของผู้เฒ่า ก็ทายถูกทันใด แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ฟางเหยียนคาดการณ์ไว้ เพราะความสามารถของผู้เฒ่าค่อนข้างแข็งแกร่ง!
“คุณดูออกว่าร่างกายผมมีบาดแผล?”
ผู้เฒ่าพยักหน้าเบาๆแล้วกล่าว “ไม่ใช่แค่รู้นะ ยังรู้อีกว่าเป็นแผลเก่า! น่าจะเป็นแผลที่ทิ้งไว้หลังจากที่ต่อสู้กับคนอื่น”
ฟางเหยียนยกมือขึ้นมาลูบหน้าแกของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ผู้เฒ่าคนนี้มีความสามารถจริงๆ! สมแล้วที่เป็นคนที่เอาชนะตนได้ ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงถามว่า “คุณท่านรู้เรื่องการรักษาด้วยหรือ?”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างถ่อมตนมากว่า “ก็พอเข้าใจอยู่บ้าง!”
เดิมทีฟางเหยียนอยากถามผู้เฒ่าว่าสามารถรักษาตนได้มั้ย แต่สุดท้ายก็อดกลั้นไว้ ด้วยเหตุนี้เองจึงได้ถามอย่างนิ่งสงบว่า “คุณเป็นใครกันแน่?” หลังจากใคร่ครวญ ยังคงรู้สึกว่าคำถามนี้ค่อนข้างเชื่อถือได้!
“ฉันเหรอ……” เมื่อพูดถึงตัวเอง ผู้เฒ่าดูเหมือนสับสนขึ้นมา
รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชะงักไปทันใด แววตาทั้งสองอันขุ่นมัวมองไปนอกหน้าต่าง ตกอยู่ในภวังค์
แต่ฟางเหยียนมึนงงกับการกระทำของผู้เฒ่าเข้าให้แล้ว ถามแค่ชื่อยังต้องคิดตั้งนานด้วยเหรอ?
ประมาณหลายวินาทีผ่านไป ผู้เฒ่าเพิ่งจะพูดออกมาสี่คำ “เต๋ายอดเซียน!”
สี่คำนี้ทำให้ฟางเหยียนขมวดคิ้วหนัก!
เต๋ายอดเซียน?
ชื่อนี้มันสมคำเล่าลือจริงๆ!
แต่ไม่นานฟางเหยียนก็ได้สติกลับมา แล้วถาม “แล้ว ฉินเสียงหลินเป็นอะไรกับคุณครับ?”
ภูเขาทิพย์นี้เป็นภูเขาว่างเปล่า แล้วยังซ่อนความลับมานานหลายปี! และผู้เฒ่ายังอาศัยอยู่ในภูเขาทิพย์ แค่มองฟางเหยียนก็รู้แล้วว่าฉินเสียงหลินกับเต๋ายอดเซียนมีการติดต่อกันบ้าง
“เขาเหรอ?” เต๋ายอดเซียนหัวเราะ กล่าว “เขาคือสัตว์ในตำนานตัวหนึ่งที่ฉันเลี้ยงไว้!”
เมื่อคำนี้ออกมา ก็อยู่ในการคาดเดาของฟางเหยียน ความจริงเมื่อคืนเขาก็พอจะเดาได้ว่าฉินเสียงหลินคือสัตว์ที่โหดเหี้ยมนั้น และผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้านี้ ไม่แน่ก็คือเจ้าของของฉินเสียงหลิน
แต่ที่แปลกคือ ศาสตราจารย์โจวไม่ได้เอ่ยถึงคนที่ชื่อเต๋ายอดเซียน เพียงแต่เอ่ยถึงชื่อของฉินเสียงหลิน
นี่มันแปลกประหลาดแล้ว! หรือผู้เฒ่ารู้จักศาสตราจารย์โจว แต่ศาสตราจารย์โจวไม่รู้จักผู้เฒ่า
ในตอนที่ฟางเหยียนกำลังเดาอยู่นั้น เต๋ายอดเซียนถอนหายใจออกมา แล้วกล่าว “สหายตัวน้อย แกยากที่จะเชื่อสัตว์ในตำนานใช่มั้ย?”
ฟางเหยียนไม่ตอบ ต่งยู่พยักหน้าอืมกล่าว “เชื่อได้ยากจริงๆค่ะ!”
คำพูดเมื่อกี๊เธอแทรกไม่ได้ แต่เมื่อเห็นผู้เฒ่าคุยสนุก ตนก็อดที่จะแทรกขึ้นมาไม่ได้
เต๋ายอดเซียนพยักหน้าเบาๆกล่าว “ก็จริงอยู่ แต่สัตว์ในตำนานมีสัตว์ในตำนานสวรรค์ประทานกับสัตว์ในตำนานมานะสร้าง!สัตว์ในตำนานสวรรค์ประทาน จากชื่อก็รู้ได้ทันที ว่าตอนเกิดร่างกายก็จะมาพร้อมกับพลัง คนหรือสัตว์แบบนี้ไม่เหมือนกับคนทั่วไป ยังไงสถานะก็ไม่เหมือนกัน!เช่นฉินเสียงหลินที่พวกแกพูดถึง และก็เป็นเจ้านั่นที่แกเห็นไปเมื่อคืน เขาคือสัตว์ในตำนานสวรรค์ประทาน ตั้งแต่เกิดก็ลักษณะแปลกประหลาด นี่เป็นเหตุผลที่เขาสามารถบำเพ็ญตนได้”