จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 610 คนที่มีอายุกว่าสามร้อยปี
“ส่วนสัตว์ในตำนานมานะสร้าง ก็คือสัตว์ที่บำเพ็ญตนภายหลัง เช่นงูเขียวฟ้าผ่าทัณฑ์ที่พวกแกรู้เป็นอย่างดี นั่นเป็นผลลัพธ์ของการบำเพ็ญตนภายหลัง การบำเพ็ญตนของสวรรค์ประทานหนึ่งวันเท่ากับการบำเพ็ญตนของมานะสร้างหนึ่งปี นี่เป็นความแตกต่างของทั้งสอง สัตว์ในตำนานฉินเสียงหลินนั่นฉันรับเลี้ยงมาเมื่อหลายปีก่อน ฉันเห็นมันแปลกประหลาดจากคนทั่วไปตั้งแต่เล็ก แล้วยังเชี่ยวชาญภาษาสัตว์ จึงได้สอนวิชาเขาไปบ้าง”
ผู้เฒ่าเพลิดเพลินกับการพูด!พูดพลางยังลูบเครายาวของตัวเองอย่างคึกคักมากอีกด้วย
ฟางเหยียนขมวดคิ้ว แล้วถาม “แล้วคุณล่ะ?”
ผู้เฒ่าชะงักไป แล้วกล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “ฉัน?”
ฟางเหยียนพยักหน้าถาม “คุณเป็นประเภทไหน?”
“ฉันเป็นพวกบำเพ็ญตนมานะสร้าง!” ผู้เฒ่าไม่รู้สึกแปลกใจ กับการที่ฟางเหยียนดูออกว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญตน
“งั้น คุณพอจะให้ผมดูบาดแผลบนร่างกายได้มั้ย?” เหมือนฟางเหยียนจะคว้าโอกาสได้ ว่าคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าคือผู้บำเพ็ญตน
ผุ้บำเพ็ญตนคืออะไร ผู้บำเพ็ญตนคือยอดฝีมือโลกภายนอก อาจารย์ของตนก็เป็นพวกผู้บำเพ็ญตน ในประเทศหวามีนินจา นินจาก็เป็นการบำเพ็ญตนอย่างหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่นินจาจะฝึกการต่อสู้ฝึกชี่ แต่ผู้บำเพ็ญตนไม่เหมือนกัน
ผู้บำเพ็ญตนฝึกฝนจิตใจ พูดอีกอย่าง คนพวกนี้กำลังบำเพ็ญเซียน!
สิ่งเหล่านี้ได้ยินแล้วบางทีก็ไร้สาระอยู่บ้าง แต่ความจริงก็คือในประเทศหวามีการซ่อนคนที่บำเพ็ญเซียนอยู่บ้าง ส่วนทำไมคนพวกนี้ไม่ปรากฏกาย คนปกติไม่สามารถมองเห็นได้ ไม่สามารถพบปะได้ เป็นเพราะคนเหล่านี้ได้ละทางโลก ไม่สนทางโลกไปแล้ว!พวกเขาเลือกจะหลบซ่อนอาศัยอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ดูดซึมพลังที่พระอาทิตย์ดวงจันทร์ปล่อยออกมา บำเพ็ญตนในทุกๆวัน
นานเข้า คนที่บำเพ็ญเซียนจึงได้ละจากทางโลกจากคนธรรมดา
บางทีพวกเขาจะอิ่มทิพย์ ใช้ท้องฟ้าเป็นบ้าน!
ส่วนฟางเหยียน เขาเป็นนินจา แล้วยังสุดยอดอีกด้วย มีเพียงขั้นสุดยอดจึงจะพบปะกับผู้บำเพ็ญตนแบบนี้ได้
แน่นอน บางทีคนธรรมดามากมายยังไม่เข้าใจ ไม่เชื่อว่าในโลกนี้มีผู้บำเพ็ญตน นี่เปรียบเสมือนมดเหยียบอยู่บนเท้าของช้างตัวหนึ่ง มันจะไม่รู้สึกว่าช้างเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิต
ความเข้าใจของคนมีขีดจำกัด คุณไม่มีทางรู้ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มี!
ผู้เฒ่าลูบเครา ส่ายหน้าเบาๆแล้วกล่าว “ถ้าอาการนี้ของสหายตัวน้อยเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บ บางทีฉันพอจะแนะนำได้บ้าง!แต่ตอนนี้ดูๆแล้ว เป็นแผลเก่า รวมเป็นหนึ่งกับร่างกายของแกไปนานแล้ว ฉันไม่มีทางรักษาได้”
ฟางเหยียนใจเต้นตึกๆ ตามที่คาดการณ์ไว้ ผู้บำเพ็ญตนก็เป็นแค่ผู้บำเพ็ญตน เขายังไม่ใช่เทพ!
ยิ่งสงบไปสักพัก ฟางเหยียนถาม “แล้วคุณคือระดับยอดดาวเหนือหรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ชะงักไปสักพัก เต๋ายอดเซียนเพิ่งจะรู้สึกตัวตอบว่า “แกหมายถึงแดนเหรอ?”
ฟางเหยียนพยักหน้า ไม่กล่าวใดๆ!
เต๋ายอดเซียนถอนหายใจ แล้วกล่าว “ตั้งแต่ฉันผู้เฒ่าอาศัยอยู่ในป่าลึกหลายร้อยปี ละจากแดนอะไรนั่นไปนานแล้ว ถ้าจะพูดแดนคำนี้ บางทีอาจจะเป็นระดับยอดดาวเหนือที่แกพูดก็ได้!”
หลายร้อยปี?
ระดับยอดดาวเหนือ!
นี่เป็นระดับสูงสุด!
ต่งยู่ที่ทานไปพอประมาณแล้วตกใจจนส่งเสียงอ้าออกมา จากนั้นเธอตาลุกโตถาม “หลายร้อยปี?”
ผู้เฒ่ามองต่งยู่ แล้วกล่าว “ใช่ นับดีๆ ประมาณสามร้อยปีได้แล้วมั้ง!”
คำพูดนี้ยิ่งทำให้ต่งยู่อ้าปากค้าง
ผู้เฒ่าที่อายุร้อยปีสำหรับความเข้าใจของเธอเป็นปาฏิหาริย์ไปแล้ว แล้วยังเป็นผู้เฒ่าที่อายุยืนมากด้วย แต่ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้ากลับอายุสามร้อยปี ในโลกมีคนที่อายุยืนขนาดนั้นจริงๆเหรอ?
เธอมองจากบนลงล่างอย่างแปลกใจ สังเกตผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน!
หลังจากจ้องมองแล้ว เธอกะพริบตากล่าว “ใบหน้าสามสิบปี ผมและหนวดร้อยปี คุณบอกว่าตัวเองใช่ชีวิตมาสามร้อยปี คุณไม่ได้ล้อเล่นกับพวกเราใช่มั้ยคะ?”
“ล้อเล่น?” เต๋ายอดเซียนหัวเราะฮ่าๆขึ้นมา แล้วกล่าว “แกสาวน้อยคนนี้น่าสนใจจริงๆ แกคิดว่าฉันเหมือนกำลังล้อเล่นกับแกอยู่มั้ย?”
ต่งยู่ไม่สามารถชั่งน้ำหนักได้ ทำได้เพียงมองไปยังใบหน้าของฟางเหยียน
ฟางเหยียนไม่กล่าวใดๆ คงสภาพนิ่งสงบไว้ ราวกับคำพูดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
ต่งยู่ยังคงไม่สามารถทำความเข้าใจได้ จากความคิดของเธอ สามร้อยปีไม่มีทางมีชีวิตแบบนี้ได้ ว่ากันว่าประเทศของเรามีคนประหลาดคนหนึ่งอายุสี่ร้อยกว่าปี สุดท้ายคนนั้นก็แก่แห้งเหี่ยว เกือบจะหดเล็กเป็นเด็กน้อยที่ไม่กระปรี้กระเปร่าแล้ว
ว่ากันว่าหนังนั้นไม่มีเนื้อแล้ว กระดูกเริ่มหดแล้ว
ผู้เฒ่าคนนี้ไม่เพียงสูงใหญ่ ยังละอ่อน ใบหน้าไม่มีริ้วรอย ถ้าไม่ใช่ผมขาวทั้งหัวกับหนวดขาวคิ้วขาว เธออาจจะคิดว่านี่เป็นพี่ชายที่สามสิบปี!
“แล้ว แล้วคุณคือเทพเซียนหรือเปล่า?”
หลังจากชั่งน้ำหนักแล้ว ต่งยู่ก็ทำได้เพียงพูดคนนั้นออกมา
บางทีเทพเซียนคือการบอกตัวตนของผู้เฒ่าคนนี้!
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ โบกมือกล่าว “ไม่ถึงขั้นเทพเซียน แต่ฉันเป็นคนที่พวกแกไม่เชื่อแน่ๆ”
เขาเป็นคนที่คนธรรมดาไม่สามารถเข้าใจได้จริง เหมือนกับที่ศาสตราจารย์โจวเชื่อว่าบนโลกนี้มีผี!แต่คนทั่วไปไม่เชื่อจึงว่าอาจารย์โจวเป็นคนบ้า แล้วยังเรียกเขาว่าเป็นศาสตราจารย์บ๊องอีกด้วย
ความจริงไม่รู้ก็เป็นเรื่องดี เพราะการไม่รู้จะไม่นำพาปัญหาที่ไม่จำเป็นเข้ามา
“ผมยังมีอีกเรื่องที่ไม่ค่อยเข้าใจ!ในเมื่อคุณพูดว่าเจ้านั่นคือสัตว์ในตำนาน แต่ทำไมมันทำร้ายคน?” ฟางเหยียนพะวงกับเรื่องที่ฉินเสียงหลินทำร้ายต่งยู่เมื่อคืนไม่หาย!
เต๋ายอดเซียนมองไปที่ต่งยู่ การมองนี้ทำเอาต่งยู่งงงวยไปหมด
แต่หลังจากคำพูดต่อไปของเขา ไม่ใช่แค่ต่งยู่เท่านั้นที่งง แม้แต่ฟางเหยียนก็ชะงักไป
“ที่ฉินเสียงหลินหยาบคายออกมา เพียงเพราะหยาจื้อของเขาหายไป ก็คือหยาจื้อที่หญิงสาวคนนี้พกติดตัวอยู่ไงล่ะ” พูดจบ เต๋ายอดเซียนเอาหยาจื้อที่ได้มาเมื่อคืนออกมา
เมื่อหยิบออกมา ต่งยู่ก็ช็อก เธอไม่รู้ว่าของสิ่งนี้ถูกเอาไปตั้งแต่เมื่อไหร่!
เต๋ายอดเซียนพูดต่อ “นี่เป็นสิ่งคุ้มภัยลัทธิเต๋าปีเกิดของเขา ให้เขาไว้ก่อนฉันจะบำเพ็ญตน กดพลังชั่วร้ายของเขาไว้ ใครจะไปรู้ว่าเขาจะทำหาย”
“ฉันบำเพ็ญตนนานหลายปี ถ้าไม่ใช่เมื่อคืนทุรนทุรายหนัก สัตว์ในตำนานเกือบตาย!ฉันก็ไม่คิดจะเลิกบำเพ็ญตนหรอกนะ ดีที่แกก็ไม่คิดจะเอาชีวิตเขา ถ้าแกจะเอาชีวิตเขาจริงๆ เกรงว่าตอนนี้เขาก็เป็นเพียงศพศพหนึ่งแล้วล่ะ!”
ที่แท้เต๋ายอดเซียนก็รู้หมดทุกอย่าง ฟางเหยียนปิดบังอะไรเขาไม่ได้เลย
เมื่อตัวเองอยู่ต่อหน้าของเต๋ายอดเซียน ให้ความรู้สึกของการมองทะลุ!แค่มอง เต๋ายอดเซียนก็สามารถมองทะลุปรุโปร่งแล้ว
ที่แท้ คนที่บำเพ็ญตนกับคนที่ฝึกการต่อสู้ฝึกชี่แตกต่างกันอย่างมาก!
ต่งยู่อ้าปาก กำลังจะพูดอะไร
“แต่…” ไม่รอให้ต่งยู่ตั้งคำถาม เต๋ายอดเซียนได้จ้องไปที่ต่งยู่อย่างไม่ละสายตาแล้วถาม “สาวน้อย ทำไมแกถึงไม่เป็นอะไรเลยล่ะ?”
ประโยคนี้ถามเอาต่งยู่งง แต่ไม่นาน เธอก็รู้สึกตัว แล้วกล่าว “ฉันไม่เป็นอะไรจริงอยู่ แต่พ่อของฉันล้มป่วย แรกเริ่มมีไข้ ต่อมากลายเป็นไม่ได้สติ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาบอกให้ฉันเอาหยาจื้อกลับมา ฉันยังไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“อย่างนี้นี่เอง” เต๋ายอดเซียนลูบเครา พยักหน้ารู้ได้ในทันที
ต่งยู่เพิ่งจะได้สติกลับมา แล้วกล่าวอย่างร้อนรนว่า “ผู้เฒ่าเทพเซียน ฉันไม่รู้ว่าของนั่นเป็นของเขา พวกเราได้มันมาโดยไม่ตั้งใจ ท่านช่วยพ่อฉันหน่อยได้มั้ยคะ!”
เต๋ายอดเซียนกล่าวอย่างสบายๆว่า “ไม่เป็นไร เรื่องจิ๊บจ๊อย”
ไม่เป็นไรประโยคนี้ดูเหมือนเตรียมการมาแล้ว จากนั้นเขาหยิบยาสีเขียวเม็ดหนึ่งออกมายืนให้ต่งยู่ แล้วกล่าว “สาวน้อย เพียงแค่ให้พ่อของแกกิน ไม่เกินหนึ่งวันจะรักษาหาย”
ต่งยู่ยื่นมือออกไปจะรับแต่มือที่ยื่นออกไปหุบกลับมา อดไม่ได้ที่จะมองฟางเหยียน เต๋ายอดเซียนไม่พูดอะไร หัวเราะเหอะๆ กลับเป็นฟางเหยียนที่กล่าว “รับไว้เถอะ”
แม้ฟางเหยียนไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าขัดการช่วยต่งยู่!
ต่งยู่รับยามาทันที หลังจากห่อไว้อย่างระมัดระวังแล้ว วางไว้ข้างกาย แล้วแสดงท่าทีเสียใจและขอบคุณต่อเต๋ายอดเซียน
“อ้อ!” เหมือนเต๋ายอดเซียนคิดอะไรออกอีก จ้องฟางเหยียนถาม “สหายน้อย ฉันเห็นแกละอ่อน ทำไมถึงได้เจ็บหนักขนาดนี้ได้ล่ะ? บาดหนักขนาดนี้ไม่ใช่แผลที่คนธรรมดาจะทนไหว แกเอาชี่ของตัวเองไหลย้อยกลับทั้งร่างกาย ถ้าไม่ใช่มีการควบคุมตัวเองแข็งแรง เกรงว่าแกจะเป็นศพไปแล้วนะ!