จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 612 ไม่ลงแรงแต่รอผลประโยชน์
สำนักใหญ่ทั้งห้า พังไปแล้วหนึ่ง สี่สำนักใหญ่ที่เหลือสามารถไขความลับของหินทิพย์ได้มั้ย?
“จอมพล ท่านฟังอยู่หรือเปล่า?”
เห็นฟางเหยียนไม่พูดไม่จา เต๋ายอดเซียนรู้สึกตัวเองพูดจนรู้สึกไม่ดีแล้ว
“อ๋อ” ฟางเหยียนได้สติกลับมาทันใด แล้วกล่าว “สำนักไร้หน้าถูกผมล้างบางไปแล้ว และขลุ่ยวิเศษของสำนักฉิวหลงอยู่ในมือผม เอาล่ะ ในเมื่อคุณก็ไม่สามารถรักษาอาการของผมได้ งั้นก็เท่านี้แล้วกัน!”
พูดจบ ฟางเหยียนยืนขึ้น พูดกับต่งยู่ว่า “เราไปกันเถอะ! ต่งยู่”
ต่งยู่ส่งเสียงหาออกมา ยืนขึ้นอย่างไม่ได้สติ
เต๋ายอดเซียนนิ่งสงบ ราวกับไปเป็นตามที่เขาคิดไว้ “จอมพล สิ่งที่ผมรู้มีเท่านั้นแหละครับ เพราะนี่เป็นหินทิพย์ของเมื่อเจ็ดหมื่นปีก่อน ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนธรรมดาอย่างผมจะไขว่คว้าได้”
“ผมทราบแล้วครับ! ขอบคุณ!” ฟางเหยียนตอบอย่างชิลล์ๆ
ภายใต้การนำทางของเต๋ายอดเซียน ฟางเหยียนได้เดินลงภูเขาพร้อมกับต่งยู่
อารามเต๋านี้ตั้งอยู่ในป่าลึก ถ้าไม่คุ้นเคยกับป่าลึกนี้มากๆ คนอื่นอยากหาก็หาที่แบบนี้ไม่เจอ
ตลอดการเดินลงเขา ฟางเหยียนเงียบสนิทไม่พูด
หลังจากที่บอกลาเต๋ายอดเซียนแล้ว สองคนคนหนึ่งด้านนำหน้าคนหนึ่งตามหลังเดินลงภูเขาไป
คำพังเพยพูดไว้ดี ลงเขาง่ายขึ้นเข้าง่าย เดินทางของตีนเขา ต่งยู่รู้สึกผ่อนคลายมาก ไม่รู้ว่าใช่สูดกลิ่นสมุนไพรของด้านในมั้ย เธอจึงสดชื่นขึ้นมาก เดินแล้วผ่อนคลายเป็นพิเศษ
เมื่อคืน ดอกหญ้าเหล่านั้นที่อยู่ข้างๆอารามเต๋า ล้วนเป็นสมุนไพรทั้งนั้น!
ตลอดทางเดิน ในใจของต่งยู่เงียบสงบไม่อยู่ เธอรู้ว่าตัวตนของฟางเหยียนค่อนข้างลึกลับ แต่กลับไม่คิดว่าจะทรงเกียรติลือเลื่องขนาดนี้ เมื่อนึกถึงพ่อของตนต่งโป๋เหวินยังให้เธอเป็นอนุภรรยา เธอก็หน้าแดงใจเต้นขึ้นมา
ฟางเหยียนกลับท่าทีชิลล์ๆ นอกจากลงจากภูเขาแล้ว ก็ไม่พูดอะไรอีก
เดินไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ต่งยู่เริ่มข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ด้วยเหตุนี้เองจึงได้ถามอย่างแปลกใจว่า “ฟางเหยียน คุณคือจอมพลอะไรนั่นจริงมั้ย?”
คำถามนี้ทำให้เธออึดอัดมาก อยากถามตั้งนานแล้ว
ฟางเหยียนส่งเสียงอืมออกมา แล้วกล่าว “ใช่ครับ!”
“มิน่าล่ะคุณกล้าฆ่าคนต่อหน้าคนมากมายขนาดนั้น!” ดูเหมือนต่งยู่กล่าวอย่างค่อนข้างลังเล
เธอยังไร้เดียงสาคิดว่าฟางเหยียนฆ่าคนพวกนั้นเพราะเธอ ตอนนี้ดูๆแล้ว เขาไม่สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย จอมพลคนหนึ่งอยากฆ่าโจรแบบนี้ แค่พูด และแสดงท่าทางก็ได้แล้ว
เฮ้อ! แต่ฟางเหยียนกลับไม่รู้ว่าการกระทำแบบนี้ ทำให้ต่งยู่ยิ่งไปจากเขาไม่ได้เข้าไปใหญ่
ฟางเหยียนไม่พูดอะไรอีก ทั้งสองตกอยู่ในภวังค์เห็นความเงียบ
ไม่นาน ฟางเหยียนรังเกียจที่ต่งยุ่เดินช้าอีกครั้ง ถึงแม้การลงจากเขานั้นง่าย แต่ยังไงผู้หญิงก็คือผู้หญิง
ฟางเหยียนแบกเธอขึ้นหลังโดยไม่ลังเล เดินผ่าป่าอย่างเร็วอีกครั้ง
ความปลอดภัยแบบนั้นได้เกิดขึ้นโดยปริยาย ทันใดนั้นต่งยู่ก็ได้พิงหลังของฟางเหยียน
——
ตีนเขาภูเขาทิพย์
“ลูกพี่ ผ่านไปสี่วันแล้วนะ ไอ้นั่นมันตายที่ภูเขาทิพย์แล้วเปล่า นี่ก็ใกล้จะค่ำแล้ว พวกเรายังต้องเฝ้าอีกเหรอ?”
“ทางเข้าออกภูเขาทิพย์นี่เป็นทางที่ใกล้กับถนนใหญ่ที่สุดแล้ว และเป็นเส้นทางต้องผ่านที่เชื่อมต่อกับภายนอก เราต้องเฝ้าอยู่ที่นี่ เมื่อสี่วันก่อนพี่หวางไม่พอใจฉัน ตอนนี้ฉันไม่อยากกลับไปอย่างเศร้าหมอง”
หญิงสาวกล่าว “ใช่ พอนึกถึงเมื่อสี่วันก่อนให้ฉันกระโดดลงมาจากรถที่สูงขนาดนั้น ล้มจนไม่หวาดไม่ไหว ฉันยอมไม่ได้หรอกนะ ถ้าแม้แต่เด็กกระโปกคนหนึ่งยังจัดการไม่ได้ แล้วเรายังมีหน้าอยู่ที่นี่อีกมั้ย?ยังไงฉันไม่มีหน้าจะอยู่หรอกนะ”
“แกก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เอาตามนี้แหละ พวกเรารอต่อไป ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเจ้านั่นจะอยู่ในภูเขาทิพย์ตลอดไม่ออกมา ไอ้นั่นน่าจะมีเงินมาก เพียงแค่มีเงิน ลูกพี่หวางต้องดีใจมากแน่ๆ เพียงแค่เขาพอใจ ชีวิตของเราก็จะมีความสุข เข้าใจมั้ย?” ราวกับชายฉกรรจ์นึกอะไรออก จากนั้นกล่าวต่อว่า “อ้อ เมื่อหลายวันก่อนได้ยินว่าลูกพี่หวางพาคนไปภูเขาทิพย์ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากกลับครั้งนั้นแล้ว เหมือนลูกพี่หวางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน อึดอัดถึงขีดสุด ถ้ารอจนได้เจอไอ้นั่นจริง ให้ลูกพี่หวางมาระบายอารมณ์ได้พอดีเลย จำไว้ต้องโทรหาทันทีเลยนะ”
“วางใจได้ ลูกพี่ มือถือพร้อมรับคำสั่ง”
ใช่ สามคนนี้เป็นกลุ่มสามคนของ‘เซียนกระโดด’บนรถบัส และเป็นคนที่ถูกฟางเหยียนลงมือสั่งสอนมาแล้ว แต่สามคนนี้ยังคงเป็นหมาที่เลิกกินขี้ไม่ได้ ไม่เคยปรับปรุงตัวเริ่มต้นใหม่ กลับกันยิ่งหนักเข้าไปอีก การที่ออกมาใช้ชีวิตให้ความสำคัญกับเกียรติ คนนั้นต่อยพวกเขาไปไม่ว่า ยังทำให้พวกเขาเสียหน้าอีก เป็นใครก็ยอมไม่ได้ ตั้งแต่หลังจากได้ยินว่าคนนั้นเข้าไปในภูเขาทิพย์ พวกเขาทั้งสามคนได้เฝ้าอยู่ที่ตีนเขามาโดยตลอด พอเฝ้าก็ปาเข้าไปสี่วัน เมื่อสามวันก่อนหน้าล้วนผิดหวังกลับมา ทั้งสามล้วนหวังว่าวันนี้จะได้เจอคนนั้นเสียที
แต่สี่วันก่อน‘เรื่องอันรุ่งโรจน์’ของพวกเขาได้เลื่องลือไปทั่วหมู่บ้าน ทำให้พวกเขาอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี เดินไปทางไหนก็ถูกชี้ พวกเขาที่เดิมทีเก็บกดกับเรื่องนี้ ตอนนี้ได้ถูกสายงานเดียวกันต่างพากันนินทา ทั้งสามตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะลบล้างการเหยียดหยาม เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ดังนั้น‘เซียนกระโดด’สามคนแทบจะตกอยู่ในการล้างแค้นไปทั้งตัวและทั้งใจ แม้แต่‘เซียนกระโดด’ก็ไม่ไปแล้ว
ทุกวันล้วนผิดหวังกลับไป ส่วนเหตุผล มี‘สายงานเดียวกัน’จำนวนไม่น้อยกำลังรอดูเรื่องสนุก ไม่มีใครเห็นคนนั้นออกไป
สำหรับ‘การยืนหยัด’ของทั้งสามคนยังกลายเป็นคนที่‘สายงานเดียวกัน’ชื่นชมอีกด้วย!
นอกจากสามคนที่ไม่ลงแรงแต่รอผลประโยชน์แล้ว ยังมีหญิงสาวที่กำลังรออยู่ในขณะนี้ด้วย พูดถึงว่าทำไมเธอถึงอยู่ที่นี่ แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้ บางทีอาจเพราะเธอไม่อยากให้คนที่ดีแบบนี้หายไป การใช้ชีวิตที่นี่ แม้แต่หลักประกันขั้นพื้นฐานก็ไม่มี บางทีอาจจะเพราะฟางเหยียนกล้าต่อสู้กับความชั่วร้าย เธอจะไม่อยากให้เขาได้รับบาดเจ็บ
ตีนเขาภูเขาทิพย์ใกล้กับชายแดน สิ่งแวดล้อมและความสงบค่อนข้างซับซ้อน คนท้องถิ่นจำนวนไม่น้อยทนทุกข์ทรมาน เจ็บปวดจนพูดไม่ออก และตอนเธอเด็กๆก็ถูกละเมิด เกลียดความชั่วร้ายสุดๆ พอฟางเหยียนลงมือ จึงนำพาแสงสว่างมาให้เธอ
เธอก็รออยู่ที่นี่มาสี่วันแล้ว ไม่คาดคิดว่าเธอจะรอจนได้เจอชายคนนั้นจริงๆ
จู่ๆฟางเหยียนและต่งยู่หยุดลง ไม่รอให้ฟางเหยียนถาม หญิงสาวคนนั้นจึงได้เอ่ยปากว่า “นี่! คุณอย่าลงไปนะ มีคนรอคุณอยู่ด้านล่าง!”
ฟางเหยียนจำหญิงสาวคนนี้ได้ เป็นหญิงสาวที่เตือนเขาตอนอยู่บนรถบัสว่าภูเขาทิพย์มีสัตว์ประหลาดอยู่
และเมื่อหญิงสาวพูดประโยคนี้จบ จู่ๆก็หน้าแดงขึ้นมา เปลี่ยนเป็นระมัดระวังมากขึ้น ใจเต้นอย่างหยุดไม่อยู่ แม้แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าประโยคนั้นพูดออกมาได้อย่างไร โดยเฉพาะหลังจากที่เห็นสาวสวยราวกับหยกที่อยู่ข้างๆเขาแล้ว เธอก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา
ภูเขาทิพย์มีสัตว์ประหลาด นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กัน พวกเธอรู้มาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว
นึกไม่ถึงว่าคนตรงหน้านี้จะสามารถออกมาจากภูเขาทิพย์ได้ ทำให้หญิงสาวช็อกได้จริงๆ
แต่สิ่งที่ทำให้เธอคาดไม่ถึงก็คือ ผู้หญิงคนนั้นก็ลงจากเขามาด้วย และฟางเหยียนยังแบกเธออีกด้วย ดูท่าทางแล้วสองคนต้องเกิดอะไรขึ้นในภูเขาทิพย์แล้วแน่ๆ เมื่อนึกถึงสามารถมีความสัมพันธ์กับชายที่มีคุณธรรมแบบนั้นได้ ก็ทำให้คนอดที่จะอิจฉาไม่ได้