จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 630 แผนยุยงให้แตกแยก
วิชาลับเบญจธาตุอธิบายง่ายๆคือวิชาผสมผสานชนิดหนึ่ง ต้องการนินจาที่ในตัวขาดธาตุทอง ไฟ ไม้ น้ำ ไฟ ดินไปธาตุหนึ่งมารวมตัวกัน แต่ละคนฝีมือการต่อสู้ไม่เก่ง แน่นอนล่ะว่า ถ้าเป็นระดับปรมาจารย์ ค่อยว่ากันอีกที ถ้าวิชาเบญจธาตุในระดับต้าชี่มาต่อสู้ผสมผสานกัน สามารถสู้กับนินจาที่เป็นระดับปรมาจารย์ได้อย่างสูสีเลย
การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของวิชาลับเบญจธาตุคือ เฟิงหัว เทคนิคเฟิงหัวเป็นวิธีลับที่ใช้ธาตุประจำตัวของทั้งห้าคนมาเพิ่มพูนพลังตนโดยหลักการยืมค่ายกลเบญจธาตุ และความพิศวงขอวิธีลับนี้คือ สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของค่ายกลภายในพริบตา หนึ่งคนเป็นหนึ่งจุด ใช้คนแทน และจะได้พลังที่เหนือกว่าตัวเองเป็นผลตอบแทน
เฟิงหัวมันฝืนธรรมชาติเกินไป เหมือนจะชนะศัตรูแต่ก็ต้องเจ็บปางตายด้วย ผลสะท้อนกลับรุนแรงทำให้เหล่านักสู้เบญจธาตุได้รับบาดเจ็บไปตามๆกัน ปกติแล้วนักสู้เบญจธาตุจะไม่ใช้วิชานี้ และการโจมตีปกติแล้วน้อยคนนักจะรับไหว ต่อให้เป็นนินจาระดับปรมาจารย์ก็ประมาทไม่ได้
ฟางเหมี่ยวเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ รีบถามอย่างตะลึงว่า “คุณปู่ หมายถึงทั้งห้าคนนี้เป็นนักสู้เบญจธาตุ?”
“เสี่ยวเหมี่ยว หลานรู้จัก?” ฟางจินหยวนตะลึงเล็กน้อย พลางถาม
“ไม่รู้จักครับ แต่กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของการรวมตัวของนักสู้เบญจธาตุคือเฟิงหัว พอเฟิงหัวออกมาก็จะจัดการได้ทุกสิ่ง!” ฟางเหมี่ยวตอบตามมาตรฐาน เพราะข้อมูลพวกนี้บันทึกไว้อย่างจำกัด ส่วนเขาก็แค่รู้ตามที่บันทึกไว้เท่านั้น
วิชาเบญจธาตุในสมัยโบราณของประเทศหวามักใช้ในลัทธิเต๋า แต่เวลาผ่านไป หลังจากมนุษย์เกิดความคิดชั่วร้าย วิชาเบญจธาตุก็โดนพวกลัทธิมารสืบทอดลงมา โดยเฟิงหัวของวิชาลับเบญจธาตุถือเป็นหนึ่งในนั้น พวกเขาทำความชั่วทุกอย่างไม่มีละเว้น ทุกการกระทำนั่นเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาได้!
“พวกเขาห้าคนน่าจะเป็นอาชญากรของประเทศหวา!”
ผู้หญิงหน้ากากมังกรหัวเราะเหอะๆว่า “เด็กน้อย ผู้ใหญ่ที่บ้านไม่ได้บอกหรอว่า ข้าวน่ะกินผิดได้ แต่จะพูดจาซี้ซั้วไม่ได้นะ?”
เห็นได้ชัดว่า ผู้หญิงหน้ากากมังกรยอมรับกลายๆในคำพูดของฟางเหมี่ยวแล้ว
ส่วนคนตระกูลฟางพอได้ยินคำพนี้ ต่างพากันสะท้านเยือกไปตามๆกัน เป็นอาชญากรของประเทศหวา นั่นคือทำความผิดมหันต์ไว้จนต้องหนีตาย คนแบบนี้เรียกได้ว่าเป็นมือสังหารที่แท้จริง
ฟางเหมี่ยวระงับความพรั่นพรึงในใจ ทำหน้ามั่นถามว่า “ผมแปลกใจมาก ไพ่ตายของพวกคุณคืออะไร? หายไปนานขนาดนี้ ทำไมจู่ๆปรากฏตัวขึ้นมาอีก?”
“สำหรับพวกเราแล้ว เงินทองไม่เพียงพอแล้ว แต่ของบางอย่างดียิ่งกว่าเงิน ว่ากันว่า มีลงทุนก็จะมีตอบแทน มีกดดันถึงจะท้าทาย ของที่ตระกูลฟางของพวกแกมีมันดีมากเกินไป ต่อให้เป็นศึกสิ้นหวังแค่ไหน พวกเราก็ต้องได้มันมา”
“เด็กน้อย ฉันรู้ว่าแกพยายามถ่วงเวลา แต่แล้วยังไงล่ะ? ยังไงซะ เฟิงหัวของวิชาลับเบญจธาตุที่แกรู้ต้องใช้เวลามาพัฒนา งั้นฉันไม่ซีเรียสที่จะให้พวกแกอยู่นานต่ออีกหน่อย และจะบอกให้ว่าพวกเราต้องการอะไร ขลุ่ยไม้ไผ่อันหนึ่ง”
มั่นใจ!
ผู้หญิงหน้ากากมังกรแสดงออกมาถึงความมั่นใจสบายๆ ในคำพูดกลับเต็มไปด้วยคำดูถูก นี่ไม่ใช่อายุน้อยทำตัวกร่าง และไม่ใช่พูดจาโอ้อวดเกินตัว แต่เป็นความมั่นใจในฝีมืออันแข็งแกร่งของตนเลย!
ขลุ่ยไม้ไผ่?
คำตอบนี้ทำให้คนตระกูลฟางอึ้งอีกครั้ง แต่ทุกคนไม่ใช่คนโง่ ถ้าขลุ่ยไม้ไผ่นี่เป็นของธรรมดา พวกเธอคงไม่ต้องทำทุกอย่าง หรือแม้แต่ไม่เสียดายชีวิตตัวเองมาฆ่าล้างตระกูลฟางหรอก?
ฟางจินหยวนคิ้วขมวดตะคอกดังว่า “เพื่อขลุ่ยอันเดียวก็มาฆ่าล้างตระกูลฟาง?”
“บางทีสำหรับพวกแกเป็นแค่ขลุ่ยธรรมดา แต่สำหรับพวกเรามันพิเศษมาก” ผู้หญิงหน้ากากมังกรพูดเสียงเรียบ “ต่อให้พวกแกกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ แต่พวกแกแทบไม่รู้จักโลกนี้เลย ทุกก้าวภายใต้ฝีเท้าทุกคนเป็นการบ่งบอกลักษณะชีวิตอย่างหนึ่ง และพวกแกค่อนไปทางทรัพย์สินเงินทอง แต่พวกเราทำเพื่อสิ่งที่ปรารถนา ดังนั้นการเลือกเส้นทางต่างกัน ก็ไม่ควรมารวมกลุ่มกัน”
โลกที่นอกเหนือจากเงินทอง?
มีด้วยหรอ?
ฟางจินหยวนไม่รู้
แต่ผู้หญิงหน้ากากมังกรกลับพูดออกมาเป็นฉากๆ ทำให้เขาเหมือนได้เปิดประตูความรู้ใหม่ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
“ฉันทำได้แค่บอกพวกแกว่า ถ้าขลุ่ยไม้ไผ่ไม่ปรากฏตัว ตระกูลฟางไม่รอดแน่ เข้าใจไหม?”
ฟางไห่เซิงมองสบตาผู้หญิงหน้ากากมังกรตรงๆ พูดอย่างมั่นใจว่า “ตระกูลฟางเราไม่มีขลุ่ยไม้ไผ่ งั้นทำไมพวกแกถึงมาฆ่าล้างตระกูลฟางเรา!”
เห็นได้ชัดว่า ฟางไห่เซิงจงใจถามแบบน้ เขาอยากให้แน่ใจเรื่องหนึ่งว่า คนพวกนี้เกี่ยวข้องกับฟางเหยียนไหม
“ขลุ่ยไม้ไผ่เป็นของที่คนใกล้ตายคนหนึ่งมอบให้ฟางเหยียน และฟางเหยียนไม่ปรากฏกายนานขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าหลบซ่อนตัวอยู่ ในมื่อเขาชอบทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง งั้นพวกเราก็ทำได้แค่ฆ่าล้างบางตระกูลฟาง บีบให้เขาปรากฏตัว ก็แค่นี้เอง!”
ฟางจินหยวนเป็นคนแก่หัวดื้อ เลยเข้าใจจุดประสงค์ที่ฟางไห่เซิงถามแบบนี้ แต่เขากลับไม่คิดอธิบายชัดเจน ตรงกันข้ามกลับหันไปมองผู้หญิงหน้ากากมังกรตรงๆเลย จากคำพูดเธอ เขาดึงนัยยะได้สองความหมาย หนึ่ง พวกเธอไม่รู้ถึงฐานะที่แท้จริงของฟางเหยียน สองคือขลุ่ยนี้ไม่ธรรมดาแน่
พอคิดถึงตรงนี้ ฟางจินหยวนหัวเราะร่าเสียงดัง ทำเอาผู้หญิงหน้ากากมังกรมองอย่างไม่เข้าใจ โพล่งปากถามออกมาว่า “แกหัวเราะอะไร?”
“ลำบากคุณจริงๆเลยนะ เหนื่อยหน่อยล่ะ” ฟางจินหยวนหัวเราะจนหน้าเหี่ยวย่น เหมือนไม่เคยได้ยินเรื่องตลกอะไรแบบนี้มาก่อน เขากลั้นหัวเราะบอก “ตอนพวกคุณจะมา ทำไมไม่สืบมาให้ดีก่อนล่ะ?”
“หือ?”
“ฟางเหยียนเป็นลูกหลานตระกูลฟางจริง แต่ถ้าพวกคุณสืบสักหน่อย ก็คงไม่ต้องทำแบบนี้แล้ว ช่างเถอะ เชื่อว่าพวกคุณไม่สืบมาก่อน งั้นผมจะบอกให้ สิบหกปีก่อน พ่อแม่ของฟางเหยียนโดนผมฆ่าเองกับมือ เขาก็เลยต้องออกไปเร่ร่อนตามระเบียบ และได้รับการเลี้ยงดูจากเย่เทียนของเมืองจินโจว กลายเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านเมียของตระกูลเย่”
“สิบหกปีเต็มนี้ ตั้งแต่เด็กจนตอนนี้ เขาใช้ชีวิตท่ามกลางความแค้นมาตลอด พยายามฆ่าผมไม่รู้กี่ครั้ง แทบจะอยากล้มล้างตระกูลฟางด้วยซ้ำ แน่นอนล่ะ เขาทำไม่สำเร็จ ผมเชื่อว่าคุณรู้ว่าเพราะอะไร ใช่ เป็นความดีความชอบของสัตว์คุ้มครองในตำนานตรงหน้าผมนี่แหละ”
“คุณคิดดูนะ สำหรับลูกหลานที่คิดล้มล้างตระกูลฟาง คุณทำแบบนี้เขาไม่เพียงไม่ปรากฏตัว ยังจะขอบคุณพวกคุณด้วยซ้ำ ช่วยเขาขจัดเสี้ยนหนามออกไป ไม่แน่ตอนนี้ฟางเหยียนไปยืนหัวเราะอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้สิเนี่ย ฮะฮะฮะ…”
“ดังนั้นคิดฆ่าล้างตระกูลฟางบีบให้เขาปรากฏตัว ไม่เท่ากับเป็นการช่วยฟางเหยียนหรือไง? ไม่ได้! ผมขอหัวเราะต่อก่อน ฮะฮะฮะ…”
ฟางจินหยวนหัวเราะร่า หัวเราะจนขาดอากาศหายใจ ไอค่อกแค่กออกมา ไม่ต้องมองก็รู้ว่าสีหน้าผู้หญิงคนนี้ตกตะลึงแค่ไหน เพราะสีหน้าห้าคนด้านหลังเธอต่างไปในแนวเดียวกันคือ ตกตะลึงพรึงเพริด
“คุณครับ ผมพูดแบบนี้ไม่ได้คิดหาทางรอดให้ตระกูลฟาง พวกคุณมา ผมดีใจมาก เพราะพวกคุณยอมรับฟางเหยียนเป็นคนตระกูลฟาง มันก็เพียงพอแล้ว พูดตามตรง ถึงฟางเหยียนจะมีสายเลือดตระกูลฟาง แต่เดินคนละทางกับพวกเรา จริงสิ รากฐานตระกูลฟางถือว่ามั่นคงแน่นหนาใช่ไหม? เพื่อให้เขายอมกลับเข้าตระกูล ผมไม่เสียดายยกทั้งตระกูลให้ ต่อให้เป็นตำแหน่งเจ้าตระกูลของตระกูลฟางที่อำนาจล้นฟ้า เขายังไม่แคร์เลย จะจริงหรือเท็จ คุณไปสืบดูก็รู้”
ผู้หญิงหน้ากากมังกรแค่นเสียงเย็น “นี่คงไม่ใช่แผนยุแยงให้แตกคอกันของแกหรอกนะ?”