จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 635 1 VS 2
หญิงหน้ากากพยัคฆ์ถูกจ้องมองเช่นนี้ ภายในใจก็รู้สึกผวาขึ้นมาทันที ความเยือกเย็นที่แผ่ซ่านออกมาจากสายตาคู่นั้น ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความเย็น เสียวสันหลังวาบ สายตาคู่นั้นราวกับเป็นขุมนรกอเวจี ที่ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงความลึกความตื้นจากมันได้เลย ราวกับจะสามารถผ่านทะลุจิตวิญญาณของเธอได้ ทำให้เธอรู้สึกตกตะลึงตัวสั่น
ในเวลานี้หญิงหน้ากากพยัคฆ์จึงทราบถึงส่วนที่น่ากลัวที่สุดของสัตว์ประหลาดเบื้องหน้า ผู้ที่ไม่เคยเห็นความน่ากลัวของเขามาก่อน ไม่มีทางรับรู้ได้ว่าอะไรคือความหวาดผวาจนตัวสั่น ครั้นสิ่งที่หญิงหน้ากากพยัคฆ์ไม่รู้ก็คือ นอกจากเธอ สองคนที่อยู่ด้านหลังก็หวาดกลัวไม่น้อยไปกว่าเธอเลย มีแต่จะมากกว่าด้วยซ้ำไป!
เธอจำต้องรวบรวมอารมณ์ของตนเองกลับคืนมา เนื่องจากขวังซือได้เข้ามาใกล้ทั้งสามคนแล้ว ไม่มีเวลาให้คิดมาก เธอได้ตะโกนขึ้นเสียงดังทันที “ร่วมมือร่วมใจกัน ห้ามประมาทศัตรูเด็ดขาด!”
ทั้งสองคนนั้นขานรับพร้อมกัน พวกเขาได้ตั้งการ์ดเตรียมพร้อมสู้รบเรียบร้อยแล้ว ทว่าเธอได้พุ่งเข้าไปหาขวังซืออย่างรวดเร็วโดยไร้ซึ่งความลังเลใจ
การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้!
สามคนพุ่งเข้าไป ทันใดนั้นสถานที่ก็อลหม่าน พร้อมทั้งฝุ่นลอยคลุ้งตลบอบอวล และทั้งสี่ทิศเนื่องจากการต่อสู้ของทั้งสี่คน จึงทำให้มองสถานการณ์ข้างในไม่ชัดเจน ได้ยินเพียงเสียงกระทบกระแทกอันดังกึกก้องและรุนแรง
ศึกนี้สามารถเอ่ยได้ว่าเป็นศึกสะท้านพิภพสะเทือนนรก เรือนตระกูลฟางที่เดิมทีมีท้องฟ้าแจ่มใส ครั้นเวลานี้กลับกลายเป็นภาพอันพิลึกที่มีฝุ่นลอยคลุ้งตลบอบอบอวล ปกคลุมไปทั่วทั้งท้องนภา
ครั้นผู้ที่เห็นเหตุการณ์บริเวณด้านนอกตระกูลฟางนั้น ก็เริ่มพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยโดยไม่ทราบมูลเหตุด้วยความตกตะลึงอีกครา
“ตระกูลฟางน่ากลัวเกินไปแล้ว มีมังกรตัวจริงออกมาก็ไม่เท่าไร หรือว่าจะทำอีกครั้ง? มังกรตัวจริงเชียวนะ มีแต่ในนิทานโบราณเท่านั้นแหละ แม่เจ้าโว้ย น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้วนะ”
“……”
การต่อสู้ศึกใหญ่นี้ยังคงดำเนินต่อไป นอกจากฝุ่นตลบอบอวล ลมพายุพัดแรงแล้ว ก็ไม่มีอันใดที่มองเห็นได้อีก
อีกทั้งฟางจินหยวนเองก็อดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ร่างกายของเขาอ่อนปวกเปียกล้มลงไปยังพื้น ที่เขาสามารถฝืนทนมาได้นานถึงเพียงนี้ ล้วนเป็นเพราะกังวลว่าขวังซือจะเป็นอันตรายเพราะเขา และไม่สนใจคนตระกูลฟาง ทว่าบัดนี้ขวังซือได้ลงมือแล้ว เช่นนั้นเขาจึงฝืนทนต่อไปไม่ไหวแล้ว โดยเฉพาะถูกราชาดาบพันอย่างหม่างเทียนแทงจนร่างกายได้รับบาดเจ็บ และรวมกับต้องมาอดทนกับร่างกายที่อ่อนแอมีโรคภัยมากมายอยู่แล้วของตนอีก ส่งผลให้เขาอดทนต่อไปไม่ไหว
ทว่าเขามิได้หลับตาลงแต่อย่างใด ต่อให้จะนอนพับอยู่บนพื้น ดวงตาก็ยังคงจับจ้องไปยังภาพเหตุการณ์ที่ลมพัดโหมกระหน่ำภายในเรือนอยู่อย่างนั้นเช่นเคย ครั้นเขามองอันใดไม่เห็นเลย สิ่งที่ได้ยินเพียงหนึ่งเดียวนั้นก็คือเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดของขวังซือ เสียงตะโกนอันดุดันของสามคนนั้น รวมไปถึงเสียงดังลั่นที่เกิดจากการต่อสู้
ช่วงเวลาที่ฟางจินหยวนล้มลงนั้น เหล่าสตรีแห่งตระกูลฟางจึงได้กระส่ายกระสับไม่รู้จะทำอย่างไรขึ้นมาทันที แต่ละคนต้องการที่จะพุ่งเข้าไป แต่กลับถูกขัดขวางด้วยการต่อสู้เบื้องหน้า จึงทำได้เพียงตะโกนเสียงดังขึ้น ทว่าเสียดายที่การต่อสู้ทั้งสองฝั่งดุเดือดยิ่ง เสียงการต่อสู้ก็ยิ่งดังเข้าไปใหญ่ จึงไม่สามารถได้ยินเสียงอย่างอื่นโดยสิ้นเชิง
ส่วนทางหม่างเทียน เขาทราบว่าผู้ร่ำเรียนวรยุทธแห่งตระกูลฟางเหล่านี้ ก็เป็นเพียงกระบวนท่าเชยๆ ระดับล่างเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถขึ้นเทียบว่าเป็นระดับแนวหน้าได้เลย เมื่อเทียบกับนินจาระดับอย่างเขา ไม่คู่ควรหยิบยกมาเอ่ยถึงด้วยซ้ำ ทว่าเมื่อสู้รบกันมาจนถึงสุดท้าย ภายในใจของเขากลับหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด เขาและซื่อนวี่แข็งแกร่งมาก เป็นเรื่องจริง ทว่าท่าทางของชายฉกรรจ์ตระกูลฟางที่แสดงออกว่าไม่หวั่นเกรงต่อความตายเลย ทำให้เขาสับสนไปชั่วขณะ
ไม่หวั่นเกรงต่อความตาย!
ความหมายก็คือ หากไม่ได้ตายก็จะไม่ยอมหยุด ปกติจะใช้กับคนที่มีปณิธานแต่ทำไม่สำเร็จ ใช้ความตายพิสูจน์ความจงรักภักดี เหมือนว่าอธิบายถึงนักรบเดนตายที่ปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จ ทว่าคนเหล่านั้นล้วนเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลผู้ดีทั้งนั้นเลย
แน่นอนว่า ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการฆ่าล้างบางตระกูลฟาง ดูจากความกล้าหาญของคนตระกูลฟางที่กล้าลุกขึ้นมาต่อต้าน ก็สามารถเห็นได้ว่าพวกเขามีความเป็นวีรบุรุษกล้าหาญถึงเพียงใด ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวนี้ เกรงว่าคนธรรมดาทั่วไปหลายคนคงจะเทียบไม่ได้กับคนในครอบครัวตระกูลผู้ดี ถึงอย่างไรเมื่อคนธรรมดาได้พบเจอกับวิธีการอันเหี้ยมโหดเช่นนี้ คงจะตกใจกลัวจนหาที่หลบไปตั้งนานแล้ว หากจะบอกว่าต้องการที่จะคัดค้านก็ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่เพ้อฝันไปหน่อย
ความเข้มแข็งไม่ยอมใครง่ายๆ เช่นนี้ เกรงว่าจะเป็นสิ่งที่ใครหลายคนขาด ไม่เอ่ยไม่ได้ว่า การที่ได้เกิดอยู่ในตระกูลผู้ดีนั้น เรื่องบางเรื่องได้กำหนดไว้แล้วว่าควรแตกต่างจากคนทั่วไปธรรมดา โดยเฉพาะภายในครอบครัวผู้ดีนั้นมีการส่งทอดทัศนคติหนึ่งอยู่ตลอด นั่นก็คือทัศนคติที่ว่า คนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอด ครั้นผู้ที่อ่อนแอก็จะถูกคัดออก สามารถทำให้คนในตระกูลผู้ดีนั้นมีความสามัคคีและเหี้ยมโหดดั่งฝูงหมาป่าได้ เป็นพละกำลังที่แค่ได้ยินก็ต้องหวาดกลัว
ความไม่ยอมใครก็เป็นความสามัคคีดั่งฝูงหมาป่าที่ไหลเวียนอยู่ในสายเลือดของคนตระกูลฟางอยู่แล้ว
ทว่าบัดนี้หม่างเทียนกำลังได้ลิ้มรสความยากลำบาก ต่อให้คนตระกูลฟางจะล้มลงบนพื้น มือและเท้าขยับไม่ได้แล้วก็ตาม ทว่าวิธีต่อสู้ได้เปลี่ยนเป็นใช้ฟันแทน ต่อให้ตายไปแล้ว ก็จำต้องฝืนร่างกายไปกัดเนื้อของเขาให้จนได้
ไม่เพียงเท่านี้ สิ่งที่ทำให้หม่างเทียนหดหู่ยิ่งกว่าเดิมนั่นคือ ไม่ต้องพูดถึงว่าบาดแผลบนร่างกายเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทว่าพละกำลังของตนเองเมื่อถูกใช้งานนานเข้า ก็เปลี่ยนเป็นเคลื่อนไหวช้าลง เดิมทีเพียงแค่ดาบเดียวก็สังหารได้แล้ว ทว่าบัดนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น แถมตนเองยังถูกกระทำจนแผลเต็มตัว โดยเฉพาะความเจ็บปวดจากการถูกหมัดชกต่อยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันนี้ ซื่อนวี่ก็เช่นเดียวกัน สถานการณ์ของเธอมิได้ดีไปกว่าหม่างเทียนเลย ในทางกลับกัน พลังในร่างกายของเธอสูญเสียเร็วที่สุดด้วยซ้ำไป
ตู้ม!
เสียงกึกก้องดังขึ้น เรือนตระกูลฟางสั่นสะเทือนทันที ราวกับเกิดแผ่นดินไหวอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ทุกคนต่างก็ได้รับแรงสั่นสะเทือนนั้นด้วย และขณะเดียวกันนี้ สายตาสิบกว่าคู่ต่างก็จับจ้องไปยังที่เดียวกัน ภายในสายตาเต็มไปด้วยความสั่นคลอนและความหวาดกลัว
ตรงนั้นคือบริเวณที่ขวังซือและหญิงหน้ากากพยัคฆ์ต่อสู้กัน!
ในเวลานี้ ตรงนั้นไร้ซึ่งรูปร่างของเรือน ห้องหอถล่มทลาย กำแพงแตกกระจาย พื้นเรือนก็ถูกแรกทุบจนไม่เหลือซาก บริเวณที่มีพวกเขาเป็นจุดศูนย์กลาง ราวกับว่าเรือนทั้งเรือนถูกระเบิดจู่โจมเข้าอย่างไรอย่างนั้น มีร่องรอยของการเผาไหม้ และมีรูพรุนจากการต่อสู้อย่างโชกโชน!
นอกจากเรือนเก่าของตระกูลฟางที่ไม่ได้รับความเสียหาย ศึกนี้ถือได้ว่าเป็นการส่งผลกระทบต่อรอบข้างโดยที่คนอื่นไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ในช่วงเวลาที่เสียงระเบิดดังขึ้นมา นอกจากเรือนตระกูลฟาง ต้นไม้รอบๆ ในระยะสิบลี้ก็ได้โค่นล้มลง คฤหาสน์มีรอยแตกระแหง หน้าต่างเกิดรอยแตกร้าว ภูเขาถล่ม น่าอนาถเสียจนไม่กล้ามองดู!
ในเวลานี้ ราวกับเวลาหยุดนิ่งอย่างไรอย่างนั้น
เงียบสงัด!
บริเวณรอบๆ เงียบสงัดเสียจนสามารถได้ยินเสียงเข็มหล่นกระทบพื้น แม้แต่หม่างเทียนและคนอื่นๆ ต่างก็หยุดการกระทำลง หยุดหายใจตามสัญชาตญาณ
ทั้งสี่คนมองหน้ากันด้วยสายตาแวววาว บนร่างของทุกคนต่างก็มีรอยบาดแผลนับไม่ถ้วน ทั้งบาดเจ็บมากและน้อยแตกต่างกัน ไม่มีระเบียบแบบแผนใดๆ นอกจากบาดแผลที่ลึกจนเห็นเลือดอันน่าตกใจแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดเกิดขึ้น ราวกับว่าพวกเขาทั้งหลายกำลังเล่นพ่อแม่ลูกทะเลาะกันเล็กน้อยเท่านั้น
ทว่าไม่มีผู้ใดที่จะโง่เขลาหลงเชื่อ ศึกอันยิ่งใหญ่ของทั้งสี่คนนี้ ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
นักเบญจธาตุที่ตายไปนั้นเพียงพอที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงทัศนคติสามด้านของตระกูลฟางได้ใหม่ เฟิงหัวที่ทำให้ฟ้าดินต้องหวาดกลัว ที่แข็งแกร่งเสียจนไร้เหตุผลบรรยาย ทว่าเฟิงหัวเมื่อเทียบกับศึกใหญ่ทั้งสี่คนแล้ว ยังด้อยกว่าอยู่มากนัก
ไม่มีผู้ใดทราบว่า ศึกใหญ่นี้ผู้ใดจะเป็นผู้ที่ยิ้มจนถึงวินาทีสุดท้าย
สิ่งที่ชัดเจนเพียงหนึ่งเดียวนั่นก็คือ บัดนี้ขวังซือถือว่าทำได้ดีเยี่ยม อีกทั้งสิ่งที่ทำให้ฟางจินหยวนรู้สึกโล่งใจนั่นก็คือ ขณะที่เสียงระเบิดดังขึ้น พละกำลังอันคุ้นเคยได้โอบล้อมผู้คนทั้งตระกูลฟางเอาไว้ หากมิใช่พลังนี้ เกรงว่าทั้งเรือนตระกูลฟางเองก็คงจะกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง
“กรร!” ขวังซือตีอกชกหัวคำรามด้วยความโมโห เสียงคำรามนี้ ราวกับต้องการที่จะทำให้ท้องนภาแตกเป็นเสี่ยงๆ
หญิงหน้ากากพยัคฆ์มีสีหน้าตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ เธอเอ่ยเสียงเบา “เจ้าสัตว์ป่านี่แปลกประหลาดเกินไปแล้ว พวกเราร่วมมือกันกลับทำได้แค่ฝืนต่อสู้กับมัน แล้วผลออกมาเท่าเทียมกันเท่านั้น หากเป็นแบบนี้ต่อไป คงไม่ส่งผลดีต่อพวกเราแน่ และก็เหตุผลที่มันออมมือมีอีกอย่าง นั่นก็คือกลัวจะทำลายเรือนตระกูลฟางทั้งเรือน เมื่อครู่ที่ระเบิด ไม่คิดเลยว่ามันยังจะออกแรงอันน้อยนิดเพื่อปกป้องเรือนตระกูลฟางเอาไว้ด้วย พิลึกเกินไปแล้ว!”
สองคนนั้นมีสีหน้าขมขื่นขีดสุด สามารถกล่าวได้ว่า การประลองเมื่อครู่นี้ ทั้งสองฝ่ายเป็นดั่งคำพูดที่ว่า แปดเซียนข้ามทะเล แสดงอภินิหารกันไปคนละด้าน การโจมตีที่แรงกล้าที่สุดราวกับเป็นการโจมตีมั่วๆ สบายๆ คลื่นพลังภายในที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เพียงพอที่จะกวาดล้างทุกสรรพสิ่ง ทว่านอกจากหลุมลึกไม่กี่เมตรเบื้องล่างเท้านี้ เรือนตระกูลฟางเป็นจุดศูนย์กลางของระเบิด แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้รับผลกระทบไม่มากนัก ความหมายแฝงโดยนัยน์ดูเหมือนว่าไม่ต้องเอ่ยก็คงเป็นที่ทราบกันดี