จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 640 นายน่ะเหรอฟางเหยียน
น้ำเสียงนี้มาพร้อมความสงบนิ่ง ในทางกลับกันยังมีความดูหมิ่นแฝงอยู่อีกด้วย!
ทว่าเพียงเสียงนี้ดังขึ้นมา ก็ทำให้ผู้คนทั้งหมดต้องตะลึงงันในทันที!
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้นมา ทันใดนั้นก็ทำลายทุกอย่าง ดั่งประโยคที่ว่าหลายครอบครัวมีความสุข ขณะเดียวกันก็มีหลายครอบครัวมีความทุกข์ ผู้ที่มีความสุขนั้นแน่นอนว่าเป็นผู้คนตระกูลฟาง ผู้ที่ทุกข์นั้นแน่นอนว่าเป็น หญิงหน้ากากพยัคฆ์ทั้งห้าคน
ความสิ้นหวังบนใบหน้าของผู้คนตระกูลฟางสลายหายไปทันทีนับแต่บัดนี้ ที่มาแทนที่นั่นคือความปีติจากการรอดชีวิตจากภัยพิบัติ ยิ่งมีบางคนที่อาการสาหัสถึงขั้นน้ำตาไหลนอง ดีใจจนน้ำตาไหลริน
เป็นเขาเอง!
ฟางเหยียน!
ฟางเหยียนผู้ที่ทำให้ขวังซือบาดเจ็บสาหัส!
เป็นเขาจริงๆ ด้วย เขากลับมาแล้ว!
ฟางจินหยวนน้ำตาเอ่อท่วมดวงตาเช่นเดียวกัน เนื้อตัวสั่นเทาเนื่องจากตื่นเต้น เขาถูตาอยู่หลายครั้ง กลัวว่าจะเป็นภาพหลอน ครั้นฟางเหยียนได้ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่อย่างเงียบๆ อยู่อย่างนั้น บนใบหน้าไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
ผู้คนตระกูลฟางมีความรู้สึกราวกับเพิ่งนั่งรถไฟเหาะมา พวกเขาไม่สามารถสงบนิ่งมานาน ทว่าการมาของฟางเหยียน ราวกับทำให้พวกเขาคว้าต้นข้าวช่วยชีวิตได้อย่างไรอย่างนั้น ราวกับลำแสงสาดส่องทะลุความมืดมิด
หญิงหน้ากากพยัคฆ์ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าจะสังหารหมู่ ทุกคนในตระกูลฟางต่างก็ทราบดี วันนี้จำต้องเป็นวันที่ตระกูลฟางจบสิ้นเป็นแน่แท้ ราวกับว่าทุกคนล้วนเตรียมพร้อมที่จะตายแล้ว รวมถึงฟางจินหยวนด้วย
เรื่องน่าเศร้าที่สุด ไม่มีสิ่งใดเกินกว่าความคิดโง่เขลา เย็นชา ไร้คุณธรรมน้ำใจ!
ใครก็ทราบ ว่าผู้คนตระกูลฟางยากที่จะรอดพ้นจากความตาย ทว่า…เรื่องราวได้กลับกันแล้ว!
คาดไม่ถึงว่าฟางเหยียนจะมา!
การมาของเขา ราวกับวีรบุรุษช่วยเหลือโลก เป็นการให้ความหวังในการมีชีวิตต่อให้แก่ผู้คนตระกูลฟางโดยแท้!
ฟางไห่อิงร้องห่มร้องไห้ สะอึกสะอื้นยกใหญ่ นี่คือน้ำตาแห่งความปีติ ฟางเหยียนไม่เป็นอันใด เธอก็สามารถสบายใจโดยสิ้นเชิงแล้ว ทว่าเธอไม่อยากให้ฟางเหยียนกลับมา ภายในใจเกิดความสับสนอย่างที่สุด
“ฟางเหยียน รีบหนีไปเร็ว รีบหนีไปสิ!”
สุดท้าย ฟางไห่อิงก็ตัดสินใจเอง เธอต้องการปกป้องฟางเหยียน ถึงอย่างไรตระกูลฟางก็มีเพียงแค่เธอที่ทำเช่นนี้
เสียงนี้ทำลายความเงียบทันทีทันใด และฟางเหยียนเพิ่งจะสังเกตเห็นฟางไห่อิง จากนั้นความเกรี้ยวกราดจึงได้พุ่งขึ้นมาอย่างขีดสุด!
จะทำลายตระกูลฟางนั้นไม่เป็นอะไร เพราะความเป็นความตายของคนในตระกูลฟางไม่เกี่ยวอันใดกับเขา ทว่าน้าสาวของเขา ฟางไห่อิง เขาไม่มีทางอนุญาตให้ผู้ใดมาแตะต้องเด็ดขาด แม้แต่อาเขยของเขาอย่างกาวหรงก็ไม่ยอม ทว่าบัดนี้ น้าสาวที่เขาเคารพรักมากที่สุดกลับมีเลือดอาบท่วมตัว มองไม่เห็นใบหน้าเดิมของเธอด้วยซ้ำ!
ไม่มีผู้ใดทราบว่า ภายในจิตใจฟางเหยียนในเวลานี้ทุกข์ทรมานและอัดอั้นมากถึงเพียงใด!
ความโกรธของนักรบ แค่ห้าก้าวก็นองเลือดได้!
เมื่อเทพแห่งสงครามโกรธขึ้นมา ก็เลือดนองกลายเป็นแม่น้ำได้!
เขาโกรธเข้าเสียแล้วจริงๆ !
เมื่อฟางจินหยวนเห็นฟางเหยียน ก็เคลื่อนย้ายร่างกายพยุงตัวเองขึ้นมาอย่างยากลำบาก บนใบหน้ามีน้ำตาแห่งความตื้นตันใจ “ฟางเหยียน แก ในที่สุดแกก็มาสักที ตอนนี้ต่อให้จะต้องตาย ฉันก็ตายตาหลับแล้ว”
“ปู่ควรจะตายตั้งนานแล้ว!” ฟางเหยียนเอ่ยขึ้นด้วยความเย็นชา “ผมจำได้ว่าผมเคยบอกปู่แล้ว ว่าหากน้าสาวของผมได้รับความทุกข์แม้แต่นิดเดียว ผมก็จะฆ่าปู่ซะ!”
เย็นชา!
เย็นชาจนถึงขีดสุด!
แรงอำมหิตนี้ ทำให้ฟางจินหยวนร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัว จากนั้นจึงได้กล่าวอธิบายน้ำเสียงสั่นเครือ “เสี่ยวเหยียน ความผิดปู่เอง ปู่ปกป้องไห่อิงไม่ดีเอง แต่ว่าพวกเขาแข็งแกร่งมาก แกลองดูตระกูลฟางในตอนนี้ดูสิ ดูได้ซะที่ไหน มีแต่เศษซากบ้านเรือนถล่ม พังทลายหลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว อีกทั้งผู้คนตระกูลฟางก็ใช้เลือดเนื้อเข้าแลก ชีวิตของผู้คนตระกูลฟางต้องจบลงในสนามรบ ปู่ได้ทำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุดแล้ว แต่ความสามารถไม่สู้กับฝ่ายนั้น ขอโทษด้วย ปู่ผิดไปแล้ว ปู่ผิดคำพูด”
ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง กล่าวพร้อมด้วยน้ำตาไหลพราก ฟางจินหยวนร้องห่มร้องไห้จนดูไม่ได้ ทว่าการแสดงความน่าสงสารนี้ของเขา เมื่ออยู่ในสายตาของฟางเหยียน เป็นเพียงการแสร้างทำเป็นซื่อเพื่อขอความเห็นใจเท่านั้น!
ฟางไห่อิงร้องห่มร้องไห้ยกใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดสดๆ จากนั้นก็ยิ้มปลอบใจขึ้นมา “แค่ในใจเขามีฉันก็พอแล้ว”
“เสี่ยวเหยียน ไปเถอะ รีบไปเถอะ จริงๆ นะ น้าดีใจมากที่หลานมาได้ แต่น้าก็ไม่หวังว่าหลานจะมาได้ แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน น้าจะได้เห็นหน้าหลานเป็นครั้งสุดท้าย แบบนี้ต่อให้น้าต้องตายไป ก็ตายตาหลับแล้ว ขวังซือเองก็ทำได้เพียงสู้รบจนเสมอกับพวกเขาได้เท่านั้น หลานจะต้องสู้พวกเขาไม่ได้แน่ๆ รีบไปเถอะนะ โอเคไหม?”
น้าสาวก็คือน้าสาว เมื่ออยู่ในช่วงวิกฤติ ก็คิดถึงเพียงแต่เขาเช่นเคย
ผู้คนตระกูลฟางกลับไม่ใช่แบบนี้ เมื่อเห็นฟางเหยียนมา ทุกคนราวกับมองเห็นดาวแห่งการช่วยเหลือ มีคำว่าช่วยชีวิตเขียนอยู่เต็มใบหน้า
มีเพียงฟางไห่อิงเท่านั้น ที่ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหนก็จะปกป้องเขาอย่างดี กลัวว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว
ครั้นฟางเหยียนกวาดสายตามองไปรอบๆ ผู้คนตระกูลฟางที่รอดชีวิตล้วนก้มหน้าก้มตาลงด้วยความรู้สึกอับอาย ไม่กล้าที่จะสบตากับเขาโดยตรง สำหรับฟางเหยียน พวกเขาติดค้างเขาอยู่มาก ยิ่งไปกว่านั้นคือการเกรงกลัว ไม่ต้องพูดถึงที่เขาต้องการที่จะทำลายตระกูลฟางครั้งแล้วครั้งเล่า บุกเข้ามาในเรือนครั้งแรก ก็ทำให้ขวังซือบาดเจ็บสาหัสได้ เนื่องด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงหวาดกลัวมาก
อีกทั้งในตระกูลฟางที่ไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย ทุกคนล้วนไม่สามัคคีกัน รวมถึงขูดรีดทรัพย์สินของตระกูลฟาง สู้กันเสียจนเลือดตกยางออก ไม่มีผู้ใดให้ความอบอุ่นแก่ฟางเหยียน และยิ่งไม่มีผู้ใดปฏิบัติต่อฟางเหยียนอย่างสมควรในฐานะที่เป็นคนในตระกูลฟางได้เลย
เขาไม่ได้ติดค้างตระกูลฟาง ครั้นตรงกันข้ามคือตระกูลฟางติดค้างเขา!
ใบหน้าที่ประจบเอาใจผู้มีอิทธิพล ตีสนิทได้ทุกฝ่ายเช่นนี้ เขารู้สึกว่าน่าขยะแขยง สะอิดสะเอียนจนถึงขีดสุด!
เขาผิดหวังในตระกูลฟางอีกครา!
ทว่าความเสียหายที่คนเหล่านี้ทำกับฟางไห่อิง จำต้องชดใช้ด้วยเลือด มีเพียงความตายจึงจะลบล้างบันดาลโทสะในจิตใจของฟางเหยียนได้!
อีกทั้งบัดนี้ ยามที่เขามองไปยังห้าคนนั้น ก็ราวกับกำลังมองร่างศพ! ยกเว้นหญิงสาวที่สวมใส่หน้ากาก สี่คนที่อยู่ข้างหลังเนื้อตัวสั่นเทาขึ้นมา แรงอำมหิตที่ออกมาจากดวงตาคู่นั้น แม้แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะสบสายตา ความเย็นยะเยือกไหลจากเท้าขึ้นสู่สมอง ทำให้สมองพวกเขามีเสียงดังหวืดๆ ขึ้นมา
โดยเฉพาะสายตาคู่นั้น มิใช่สายตาที่คน ‘กะปลกกะเปลี้ย’จะสามารถมีได้ ในสายตาคู่นี้ พวกเขารับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวและความกระส่ายกระสับ ราวกับสายตานั้นจะสามารถปลิดชีวิตคนได้อย่างไรอย่างนั้น!
ไม่เพียงแค่สี่คนนั้นที่มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน แม้แต่หญิงหน้ากากพยัคฆ์ก็ยังเป็นเช่นนี้ด้วย ความกระวนกระวายใจเปลี่ยนเป็นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ที่ฟางเหยียนผลักเปิดประตูเข้ามา ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจนั่นคือ เธอไม่รับรู้ได้ถึงร่องรอยคลื่นพลังภายในบนร่างของชายหนุ่มร่างผอมผู้นี้เลยแม้แต่น้อย
ทว่าบนกายของชายหนุ่มที่ ‘ผอมกะหร่อง’สีหน้าซีดเซียวผู้นี้ เธอสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อน ความหวาดกลัวเช่นนี้มิใช่ความกลัวที่มีอยู่แล้ว ครั้นเป็นความกลัวที่ลึกเข้าไปในกระดูก!
หญิงหน้ากากพยัคฆ์แข็งแกร่งมาก ผู้ที่สามารถทำให้เธอหวาดกลัวได้นั้นมีน้อยมาก ไม่มีทางเกินห้าคนแน่นอน นอกจากโผ้จวิน เทพแห่งสงครามแห่งประเทศหวาที่เป็นบุคคลลึกลับหาเจอตัวยากแล้ว ที่เหลือสามคนเธอก็ล้วนเคยมีปฏิสัมพันธ์กันเป็นการส่วนตัว โดยเฉพาะโผ้จวินเทพแห่งสงคราม ผู้ซึ่งชื่อเสียงประจักษ์ฟ้าดิน เมื่อศึกสงครามสู้รบกับศัตรูที่นิสัยที่โฉดชั่วเสมือนหมาป่าสิบประเทศ เขาได้ใช้พละกำลังเพียงคนเดียวในการสังหารศัตรู ทั้งประเทศต่างก็ตกตะลึง
โผ้จวินคือใคร!
เทพแห่งประเทศหวา เทพผู้สูงส่งเลิศล้ำ เทพผู้รักษาความสงบสุขของทั่วทั้งประเทศ เทพเช่นนี้ จะให้ผู้คนมองด้วยความเคารพและดูถูกได้ง่ายๆ ได้อย่างไร
เทพเช่นนี้ ทำได้เพียงเคารพศีรษะแนบเท้า ศรัทธาเคารพเหนือหัวเท่านั้น
พยายามคิดเช่นไร เธอก็คิดไม่ออกเสียที ว่าเหตุใดบนร่างชายหนุ่มผู้ผอมกะหร่องนี้ จึงได้สัมผัสได้ถึงพลังของผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนี้ โดยเฉพาะในตอนนี้ที่เขาเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันน่าหวาดผวา คิดไม่ถึงเลยว่าสายตาจะไม่สั่นคลอน สงบนิ่งยิ่งนัก ไม่เพียงเท่านี้ โดยเฉพาะสายตาคู่นั้นของเขา ราวกับปีศาจดุร้ายที่มาจากขุมอเวจีอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ผู้ที่ได้เห็นต้องขนหัวลุก
พลังแผ่ซ่านที่แข็งแกร่ง รวมกับสายตาคู่นั้นที่ลึกลับน่าดึงดูด ทำให้เธอมีความปรารถนาที่จะหนีไปเสีย อีกทั้งความปรารถนานี้แรงกล้ายิ่ง รุนแรงเสียจนเธออยากเผ่นหนีไปเลยในตอนนี้!
ทว่า การที่เธอบุกรุกเข้ามาทำลายล้างตระกูลฟางนั้น เป้าหมายก็เพราะฟางเหยียนมิใช่หรือ?
ดั่งคำที่ว่ากล้าที่จะเข้าไปเสี่ยงจึงจะได้รับผลประโยชน์มาก ในเมื่อมาแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะกลับไปมือเปล่า!
“นายเองเหรอฟางเหยียน?” หญิงหน้ากากพยัคฆ์กักเก็บความตื่นตระหนกเอาไว้ แล้วเอ่ยถาม